ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 52 เรื่องตลกครั้งใหญ่
ตอนที่52 เรื่องตลกครั้งใหญ่
หยางเสวี่ยปิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากซองเอกสาร และกล่าวว่า
“ทุกท่านต่างเห็นว่า ซองเอกสารดังกล่าวถูกปิดผนึกไว้อย่างดี ไม่มีใครนอกเหนือจากผู้จัดการบริษัทเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเอกสารภายในนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครทั้งในและนอกบริษัทรู้ว่า บริษัทไหนชนะการประมูล”
เมื่อหยามเสวี่ยปิงกล่าวออกไปแบบนี้ คนอื่นๆในงานประมูลต่างฉุดดึงความมั่นใจที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง อย่างที่จ้าวเฉียนพูดไป บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับซิงหยวน ไม่ปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลออกมาได้ง่ายๆ ดังนั้นในกรณีนี้ ทุกบริษัทยังมีโอกาสเสมอ
ทุกคนในงานประชุมต่างใจเต้นแทบกระโจนออกจากลำคอ ภายในแววตาของแต่ละคนเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง
หยางหมิงเค้นเสียงหัวเราะเย็นชา เอ่ยขึ้นเบาๆว่า
“เจ้าพวกโง่ เรื่องหลอกเด็กแบบนี้ โตๆกันแล้วก็ยังเชื่อลง? คิดว่ากูใช้เงินกว่าหลายล้านยัดใต้โต๊ะให้พวกมันโดยเปล่าประโยชน์อย่างงั้นเหรอ?”
ผู้ช่วยของหยางหมิงที่อยู่ข้างกายคลี่ยิ้มบางกล่าวเสริมว่า
“อย่าเสียเวลาใส่ใจคนเหล่านี้เลย พวกไม่เห็นโล่งศพไม่หลั่งน้ำตา”
“ฮ่าฮ่า…นั้นแหละที่ฉันอยากพูด! ไอ้โง่จ้าวเฉียน ฉันขอดูหน่อยว่า แกจะปั้นหน้ายังไงหลังประกาศผลแล้ว!”
ในเวลานั้นเองหยางเสวี่ยปิงก็คลี่แผ่นกระดาษออกมา ก่อนแสยะยิ้มแปลกๆ
“ผู้ชนะได้แก่…”
หยางเสวี่ยปิงมีลูกล่อลูกชนไม่ใช้น้อย เธอจงใจลากเสียงเร่งเร้าความตื่นเต้นของทุกคนจนถึงขีดสุด จนแต่ละคนใจเต้นแทบกระโดดออกมา
“บริษัทเกมฟางนี่!”
ทันทีที่สุ้มเสียงของหยางเสวี่ยฉิงเงียบลง ทั่วทั้งหอประชุมก็พลันเงียบสงัดราวกับป่าช้า
หยางเสวี่ยฉิงยิ้มปลอบใจทันทีว่า
“นายน้อยหยางได้โปรดสงบสติก่อนนะคะ ทางผู้จัดการบริษัทเองก็มีเหตุผลเช่นกันถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ ส่วนเรื่องที่ว่ามีคนในบริษัทของเราได้รับของขวัญจากคุณ ดิฉันจะรีบรายงานเรื่องนี้ทางสาขาใหญ่ ลงโทษพนักงานในฐานประพฤติตัวไม่เหมาะสม โปรเจคในครั้งหน้าหวังว่านายน้อยหยางจะได้รับผลที่น่าพึงพอใจนะคะ”
หยางหมิงไม่สามารถยอมรับผลแบบนี้ได้แม้สักนิด เมื่อครู่เขายังเพิ่งคุยโวโอ้อวดใหญ่โตไปเองว่า โปรเจคนี้ต้องเป็นของเขาแน่นอน แต่ปัจจุบันคนที่ชนะการประมูลกลับไม่ใช่เขา เสียหน้าอัปยศเกินบรรยายจนไม่รู้จะหัวหมุดดินที่ไหนแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือ ทุกบริษัทสามารถชนะการประมูลได้เขาไม่ว่า แต่ถึงอย่างไร บริษัทของจ้าวเฉียนห้ามชนะการประมูลโดยเด็ดขาด
“ไม่จริง! นี่ไม่ใช่เรื่องจริง! นี่มันไร้สาระชัดๆ! แกรีบไปเรียกหัวหน้าแกมาเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นฉันเอาตายแน่!”
หยางหมิงวิ่งตรงออกจากที่นั่งและพยายามปีนขึ้นเวทีไปหาหยางเสวี่ยซิง เธอที่ไม่มีทางเลือกอื่น จึงรีบตะโกนเรียก รปภ.ให้เข้ามาและจับตัวเขาเอาไว้
“มึงฟังกู! พวกมึงฟังกูไว้เลย! กูหยางหมิง! พ่อกูชื่อหยางเฉิง! ถ้าพวกมึงยังไม่ปล่อยโดนดีแน่!!”
เมื่อเห็นหยางหมิงตะโกนร้องโวกเวกโวยวายอย่างบ้าคลั่ง แทนที่จ้าวเฉียนจะรู้สึกสะใจ เขากลับรู้สึกเห็นใจเสียมากกว่า เหตุการณ์ตรงหน้าประหนึ่งภาพสะท้อนตัวเขาเมื่อห้าปีก่อนไม่มีผิด ตอนนั้นเขาขับรถไปชนอู๋ซินและถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกุม ทุกประโยคคำพูดที่หยางหมิงกำลังตะโกนร้องลั่นในขณะนี้ เขาเองก็เคยทำมาก่อน
ในไม่ช้า กัวหมิงต้าก็รีบเดินออกมาสอบถามสถานการณ์ และไปอธิบายกับหยางหมิงว่า
“นายน้อยหยาง ทางบริษัทของเราเองก็มีมาตรการคัดเลือกเช่นกัน หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“กูเข้าใจก็บ้าแล้วไอ้เวร! คนของมึงรับของขวัญราคาหลายล้านจากกูไปอย่างหน้าไม่อาย แถมยังให้สัญญาดิบดีว่า กูจะชนะการประมูลแน่นอน แต่ทำไมพวกมึงถึงทำแบบนี้! มึงกล้าเอาเปรียบกูเหรอ?!!”
“ทางคุณให้มาโดยเสน่ห์หา แล้วมีหลักฐานอะไรไหมว่าทางคนของเราเอ่ยปากรับประกันว่า บริษัทของคุณจะเป็นผู้ชนะ? ถ้าไม่มีหลักฐานอย่ากล่าวหากันส่งเดชดีกว่าครับ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ทางเราเองก็ไม่ยอมเช่นกัน!”
“กู…”
หยางหมิงตื่นตะลึงหนักจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาจ่ายมอบของขวัญเป็นเงินก้อนโตขนาดนั้น ก็พลางคิดไปว่า อีกฝ่ายจะไม่หักหลังอย่างแน่นอน ด้วยความสนิทใจจึงไม่ได้เก็บหลักฐานเอาไว้กับตัวสักอย่าง ไม่ว่าภาพหรือคลิปเสียง และสิ่งที่ซวยที่สุดคือ ของขวัญที่ว่านั้นคือการมอบเป็นเงินสด ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานการโอนเงินแต่อย่างใด
กัวต้าหมิงเค้นเสียงเย็นหัวเราะขึ้นคำหนึ่ง และกล่าวต่อว่า
“นายน้อยหยาง คุณไม่มีหลักฐานเลยสักชิ้น ใส่ความเอาเองมากกว่าว่า คนของเรารับเงินใต้โต๊ะ เห็นพวกเรารังแกกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำให้ชื่อเสียงของซิงหยวนต้องมัวหมอง ผมมีสิทธิ์ฟ้องคุณกลับได้!”
หยางหมิงโกรธจัดจนพูดไม่เป็นภาษาแล้ว ละทิ้งเรื่องนี้ออกไปจากสมอง และหันไปสนใจเรื่องรายละเอียดการประมูลแทน เขากล่าวถามขึ้นทันทีว่า
“ได้! ถ้างั้นผมขอถามคุณหน่อย ทำไมถึงปล่อยให้บริษัทเกมเล็กๆอย่างฟางนี่ชนะการประมูล ทั้งๆที่ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อีกหลายแห่งเข้าร่วมการประมูลเช่นกัน?”
คำถามนี้ของหยางหมิงทำให้ทุกคนฉุกคิดขึ้นได้ในทันใด แต่ละบริษัทที่เข้าร่วมการประมูลล้วนไม่ใช่บริษัทรายย่อย แต่ทำไมบริษัทเล็กๆอย่างฟางนี่ถึงชนะการประมูลครั้งนี้ไป? นี่มันไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยเหรอ?
กัวหมิงต้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบไปว่า
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเกณฑ์การตัดสินใจของทางเราจึงเป็นความลับ แต่ในเมื่อคุณสงสัยขนาดนั้น ผมก็ไม่รังเกียจเช่นกันที่จะเปิดเผยข้อมูลบางส่วนออกมาให้รับชม นี่คือจำนวนเงินของแต่ละบริษัทที่ส่งเสนอมาให้กับทางเรา ทั้งหมดอยู่บนจอมอนิเตอร์แล้ว”
หยางเสวี่ยฉิงรีบตรงเข้าไปเปิดตารางแสดงราคาของแต่ละบริษัทที่เสนอมา พร้อมขึ้นฉายบนหน้าจอมอนิเตอร์ทันที
ในบรรดาบริษัททั้งหมด มีเพียงบริษัทฟางนี่ที่มีอักษรตัวหนาสีแดงเน้นเป็นพิเศษ ซึ่งราคาที่เสนอให้มาก็สูงลิบลิ่วจนทุกคนอ้าปากค้าง
“นี่…นี่มันเรื่องตลกชัดๆ! เสนอราคาออกไปแบบนี้ ยอดขายถล่มทลายยังไงก็ขาดทุนชัดๆ! นี่บริษัทพวกคุณเป็นบ้ากันหมดแล้วรึไง?”
“ถูกต้อง! ราคาแบบนี้จงใจแกล้งกันชัดๆ แค่จ่ายค่ามัดจำไปก็ไม่เหลือเงินจ่ายให้พนักงานแล้วมั้ง!”
“นี่ยังเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมอยู่ได้ยังไง? จงใจเสนอราคาแพงเพื่อให้ได้สิทธิ์ แล้วค่อยไปต่อรองทีหลังแน่นอน นี่มันขี้โกงชัดๆ!”
“ใช่แล้ว! ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน!”
……
ทั่วทั้งหอประชุมระเบิดความโกลาหลขึ้นในทันใด ทุกคนต่างแสดงความเห็นต่างๆนาๆ ทั้งยังไม่เข้าใจว่า การที่ฟางนี่เสนอราคาแบบนี้ออกไป คิดจะทำอะไรกันแน่ นี่ไม่เท่ากับการทำลายราคาตลาดหรอกหรือ?
หยางหมิงยิ่งเดือดจัด ตะโกนถามจ้าวเฉียนสุดเสียงว่า
“นี่มึงยอมเสียเงินขนาดนี้ เพื่อฉกโปรเจคนี้ตัดหน้ากูใช่ไหม?!!”
จ้าวเฉียนร่วนหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนกล่าวน้ำเสียงเรียบว่า
“สำหรับนาย นี่เป็นราคาที่ควรสูญเสียแล้ว แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังด้วย ราคาที่เสนอไปทางฉันไม่ขาดทุนเลยแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากทางเรากับบริษัทซิงหยวนมีโครงการพัฒนาตัวเกมร่วมกันอยู่แล้ว เมื่อคำนวณผลกำไรหลังจากตัวเกมเปิดให้บริการ ก็อยู่ราวๆหลายสิบล้านหยวนต่อปี ซึ่งพวกเราได้ตกลงกันแล้วว่าจะแบ่งกำไรในส่วนนี้เพื่อชดเชยราคาประมูลดังกล่าวของโปรเจคต่อไป ดังนั้นเราใช้กำไรในอนาคตเป็นเม็ดเงินในการลงทุน เท่าที่คำนวนก็ยังกำไรไม่มีขาดทุนอยู่ดี ถ้าใจไม่ใหญ่พอ ก็อย่าเข้าร่วมการประมูลตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า”
จ้าวเฉียนที่ร่ายยาวจนจบชนิดไม่มีพักหายใจ ก็ปล่อยให้ทุกคนยืนอ้าปากค้างจนพูดอะไรไม่ออก
คนเหล่านี้รีบคำนวณตามที่จ้าวเฉียนพูดทันทีในหัว กลยุทธ์การบริหารปันส่วนด้านการเงินของจ้าวเฉียน ไม่ได้มองเผื่อแค่หนึ่งก้าว แต่เขาคิดล่วงหน้านำคนอื่นไปกว่าสองถึงสามก้าวแล้ว กล่าวได้ว่าพวกเขาอยู่คนละระดับกับจ้าวเฉียนเลย
แต่หยางหมิงกลับไม่เข้าใจเลยว่า จ้าวเฉียนกำลังหมายถึงอะไร เขาแค่รู้สึกว่าจ้าวเฉียนจงใจหักหน้าเขา ถึงขั้นยอมเสียเงินจำนวนมหาศาลเพื่อขโมยโปรเจคสำคัญไปจากมือ
“จ้าวเฉียน! มึงรอดูได้เลย! กูไม่ขออยู่ร่วมโลกกับมึง ไม่มึงตายกูก็ตาย!”
หยางหมิงอัปยศเกินกว่าจะหน้าด้านอยู่ที่นี่ต่อไป ขณะที่เขาหันควับและกำลังเดินจากไป จ้าวเฉียนก็เอ่ยปากหยุดเขาไว้
“นายน้อยหยาง นายเองก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งนะ พูดอะไรไปลืมไปหมดแล้วเหรอ? งั้นฉันจะช่วยเตือนความทรงจำให้ พวกเราเพิ่งเดิมพันกันไปเอง ฝ่ายไหนแพ้จะต้องคุกเข่าและโศกศีรษะให้อีกฝ่าย ความจำนายนี่ไม่ไหวเลย เอ๊า…ยังไม่รีบคุกเข่าอีก?”
บรรยากาศในตอนนี้ดูกดดันขึ้นมาทันตา เหล่าผู้คนจากบริษัทอื่นๆต่างรับ้เข้ามาเกลียกล้อมให้จ้าวเฉียน อย่าถือสาอีกฝ่ายเลย หยางหมิงเป็นถึงลูกชายของหยางเฉิง เจ้าของเฟยอวี่กรุ๊ป จะให้มาคุกเข่าโศกศีรษะต่อแทบเท้าแบบนี้ ไม่รู้ถึงผลที่จะตามมารึไง?
หยางหมิงถือโอกาสนี้รีบกล่าวข่มขู่จ้าวเฉียนซ้ำทันทีว่า
“เออ! กูยอมคุกเข่าขอขมามึงก็ได้ แต่นั่นจะต้องจ่ายกลับเป็นราคาชีวิตของมึงเอง! คิดดูให้ดีๆ!”
จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเยาะ สีหน้าคลุมเคลือบไปด้วยความเย็นชา เขาย่างสามขุมตรงไปหาหยางหมิงและเอ่ยตอบอย่างหนักแน่นว่า
“กูบอกว่าให้มึงคุกเข่า ไม่ได้ยินรึไง? ถ้าหนักหัวมึงมากนัก จนก้มไม่ได้ก็ไปซื้อหน้าหนังสือพิมพ์ ลงประโยคขอโทษกูตัวโตๆ หรือจะติดหน้ากูไปด้วยก็ได้นะ แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง กูจะไปซื้อโฆษณาแล้วประกาศว่ามึงมันไอ้ขี้ขลาด! อ่ะแฮ่ม…ฉันเคยยากจนมาก่อนน่ะ พอตอนนี้มีเงินเลยเป็นโรคประสาทนิดหน่อย วันไหนไม่ได้ใช้เงินฉันจะนอนไม่หลับ!”
แววตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหาร ราวกับต้องการจะฆ่าแกงกันจริงๆ หยางหมิงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆเช่นกัน แม้เขาจะสูญเสียไปหลายล้านหยวนไปโดยเปล่าประโยชน์ในการประมูลครั้งนี้ แต่เขาไม่ยอมเสียหน้าจนไม่มีที่ยืนในเมืองตงไห่แน่นอน
หยางหมิงกัดฟันกรอดโกรธจัด เค้นเสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบไปว่า
“มึงคิดจะสู้กับกูจริงๆใช่ไหม? คิดว่าเศษเงินในกระเป๋ามึงจะสู้กับกูได้จริงๆงั้นเหรอ?!!”
จ้าวเฉียนไม่ได้หวาดกลัวอีกฝ่ายเลยแม้สักนิด นัยน์ตาดำตีบแคบลงในทันใด น้ำเสียงที่เค้นออกมาแต่ละคำราวกับดังกึกก้องออกมาจากก้นบึ้งนรก
“มึง…ลองดูสิ!”
ทั้งสองล้วนเป็นคนประเภทเดียวกันคือ ไม่ยอมก้มหัวให้คนอื่นง่ายๆ ส่วนผู้คนในหอประชุมเริ่มหวาดระแวงกันแล้วว่า อาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้ จึงรีบจับกลุ่มไปคุยกับกัวต้าหมิง ในฐานะผู้จัดการใหญ่ของบริษัทซิงหยวนน่าจะทำอะไรได้บ้าง
แต่กัวต้าหมิงเองก็รู้อยู่แก่ใจ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสองทายาทเศรษฐี ลูกน้องตัวกระจ้อยอย่างเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปขวางได้เลย
คอมเม้นต์