ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 132 จับฉลาก
ตอนที่132 จับฉลาก
จ้าวเฉียนหยุดฝีเท้า เอ่ยถามขึ้นว่า
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“น้องชาย พูดมาตามตรงเถอะ ต้องการเท่าไหร่?”
“ใช่แล้ว! ขอเพียงไม่ใช่จำนวนที่มากเกินไป เท่าไหร่เราก็จ่าย”
“บอกมาเลย น้องชายต้องการกี่ล้านดี?”
จ้าวเฉียนอดขำไม่ได้ คนพวกนี้คิดว่าเขาต้องการเงินจริงๆ
“ทำไมคุณถึงไม่ถามต้องเองแทนว่า ตัวพวกคุณเองต้องการเท่าไหร่ ผมจะใช้เงินพวกคุณตามที่ต้องการเลย แต่ขออย่างเดียว ในภายภาคหน้าอย่ามาทำตัวน่าสงสารขอเงินผมก็พอ เพราะผมไม่อยากหัวเราะเยาะพวกคุณในภายหลัง เข้าใจที่พูดไหม?”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น หยางเฉิงและคนอื่นๆต่างระเบิดหัวเราะลั่นในทันใด
“ฮ่าฮ่าๆ…อะไรนะเจ้าหนู? จะบอกว่าตัวเองมีเงินมีทองไม่หวาดไม่ไหวขนาดนั้นเชียว? ใครเชื่อก็บ้าแล้ว”
“ฉันได้ยินมาว่า น้องชายใช้เงินไม่กี่ล้านตีสนิทกับหยางหู่ได้ จะบอกอะไรให้นะ เขามองน้องชายเป็นเพียงลูกค้าเท่านั้น อย่าตีตัวเสแสร้งทำเป็นสูงส่งกว่าเราไปหน่อยเลย!”
จ้าวเฉียนยิ้มเยาะและตอบกลับไปว่า
“จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามาแล้วกัน ผมของไปดื่มก่อนละกัน ประธานหยาง คุณมีโอกาสก่อนงานเลี้ยงจบนะ ถ้าหลังจากนี้ต่อให้กราบแทบเท้ายังไง ผมก็ไม่ยกโทษให้แล้ว”
หยางเฉิงตะคอกสวนตอบพร้อมเพลิงโทสะที่อัดแน่นอยู่กลางอก
“อยากให้ฉันขอโทษแกนักเหรอ? ฝันไปเถอะ!”
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจฟังอีกฝ่ายเลยสักนิด เขาหมุนตัวกลับไปในงานและเดินไปหาหวานเจียง แต่ระหว่างนั้นเองก็มีหลายต่อหลายคนในงาน ต่างเดิมถือแก้วไวน์ เข้ามาทักทายและขอแลกนามบัตร
มีทั้งระดับผู้บริหารและดาราคนดังระดับแนวหน้ามากมายล้อมรอบ เด็กหนุ่มที่สามารถสนิทกับลุงห้าดั่งพี่น้องได้ สานไมตรีเผื่อไว้ยังไงก็ไม่เสียหาย หากเป็นคนอื่นคงมีความสุขอย่างมากที่เหล่าคนดังมีหน้ามีตาในสังคม ถาโถมเข้ามา อยากทำความรู้จัก
แต่จ้าวเฉียนไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเลือกแค่บางคนเท่านั้นที่ยื่นนามบัตรทองคำขาวให้ กลุ่มเป้าหมายที่เขาเล็งเห็นในขณะนี้คือ เหล่าผู้กำกับและดาราดังที่หาตัวจับได้ยากเท่านั้น
เขาสนใจคนแค่สองประเภทนี้ สำหรับคนอื่นๆเขาไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ เพียงมอบนามบัตรบริษัทเกมฟางนี่ให้
พอทุกคนจากออกไป จ้าวเฉียนก็หันมาคุยกับหวานเจียงอีกครั้ง แต่ไม่นานก็มีผู้กำกับคนดังนามว่าหวังจิ้ง เดินเข้ามาทักทายพร้อมขอจับมือด้วย
“สวัสดีครับผู้กำกับหวัง”
หวังจิ้งตอบกลับอย่างสุภาพว่า
“สวัสดีครับคุณจ้าว”
“ผู้กำกับหวัง เร็วๆนี้ผมต้องการสร้างโปรเจคหนังจอเงินสักเรื่อง”
หวังจิ้งยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ผมว่างเสมอครับ ไม่ทราบว่าคุณจ้าวมีบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อยู่แล้วรึเปล่าครับ?”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบาง โดยไม่ต้องเอ่ยกล่าวอันใด เขาหยิบนามบัตรทองคำขาวยื่นให้แก่หวังจิ้งทันที
“นี่เป็นนามบัตรพิเศษของผม มอบให้เฉพาะกับคนที่ผมสนใจร่วมงานด้วยเท่านั้น ผมเป็นประธานบริษัท เฉียนเก๋อ ผู้ถือครองลิขสิทธิ์นิยายเรื่อง‘ล้ำฟ้าย่ำสวรรค์’อย่างเต็มรูปแบบครับ”
หวังจิ้งวางแก้วไวน์ลงทันที จับจ้องไปที่จ้าวเฉียนด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน และเอ่ยถามย้ำไปว่า
“คุณจ้าวไม่ได้โกหกผมใช่ไหมครับ?”
“ผู้กำกับหวังคิดว่าผมล้อเล่นรึเปล่าล่ะครับ?”
จ้าวเฉียนสวนกลับด้วยคำถาม
“ไม่เลยครับ ถ้าคุณจ้าวไม่รังเกียจ ผมขอไปเยี่ยมชมบริษัทของคุณสักครั้งได้ไหมครับ? ไม่ทราบว่าคุณจ้าวจะสะดวกเป็นวันพรุ่งนี้รึเปล่าครับ?”
จ้าวเฉียนทราบดีว่า หวังจิ้งต้องการยืนยันให้แน่ใจว่า สิ่งที่เขาพูดไปเป็นความจริงหรือไม่
“ไม่มีปัญหาครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ ผมว่าพอดี เจอกันที่ทางเข้าตึก หลู่เจียจุย เซ็นเตอร์ ตอนเก้าโมงเช้าครับ”
“เข้าใจแล้วครับ พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าเจอกันที่ตึก หลู่เจียจุย เซ็นเตอร์ครับ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินจากออกไป
ชางอี้เชี่ยวชาญด้านการบริหารต้นทุนสร้างภาพยนตร์ เพราะเธอเคยเป็นผู้กำกับมาก่อนจึงทราบถึง ต้นทุนที่แท้จริงและด้วยศักยภาพการคำนวณของเธอ จะสามารถทำให้จ้าวเฉียนสร้างหนังดีออกมาได้ในราคาทุนที่เหมาะสมที่สุด ในขณะที่หวังจิ้งเป็นผู้กำกับมือฉมัง หนังจอเงินโดงดังหลายต่อหลายเรื่องล้วนมีเบื้องหลังการกำกับเป็นเขาทั้งนั้น
ถึงอย่างไร หวังจิ้งก็ยังไม่เชื่อสนิทใจว่า จ้าวเฉียนจะเป็นคนถือหยิบนิยายดังเรื่อง‘ล่ำฟ้าย่ำสวรรค์’มาครองได้อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้นเขาจึงต้องการนัดพบกับจ้าวเฉียน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าทั้งหมดเป็นความจริง
ไหนๆพรุ่งนี้ต้องรับแขกอยู่แล้ว สู้ไม่นำสองผู้เชี่ยวชาญไปเยี่ยมชมบริษัทเฉียนเก๋อ พร้อมกันเลยล่ะ? คิดได้ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงเดินไปถามชางอี้ทันทีว่า
“ผู้อำนายการชาง สนใจไปเยี่ยมชมบริษัทผมพร้อมกับผู้กำกับจิ้งในวันพรุ่งนี้ไหมครับ? ถ้าไม่รังเกียจพบกันหน้าตึก หลู่เจียจุย เซ็นเตอร์ ตอนเก้าโมงเช้าครับ”
ชางอี้ยินดีอย่างมากที่จะได้ทำความรู้จักกับหวังจิ้ง เธอจึงตอบกลับไปทันทีว่า
“ไม่มีปัญหาค่ะ ดิฉันไปกับผู้กำกับหวังได้อยู่แล้ว แต่ประธานจ้าวควรถามอีกฝ่ายมากกว่าว่า รังเกียจไหมที่ต้องไปกับดิฉัน”
“ฮ่าฮ่า…ไม่มีปัญหา ผมจะไปแจ้งให้เขาทราบในภายหลังครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
“เจอกันค่ะ”
จ้าวเฉียนโบกมือลาอีกฝ่าย และเดินไปทักทายเข้าหาบรรดานักแสดงชื่อดัง แต่อย่างไรผลที่ได้รับกลับต้องทำให้ผิดหวังอย่างมาก นักแสดงชื่อดังเหล่านี้ มีสังกัดเป็นของตัวเองไม่สามารถรับงานมัวซั่วได้ แถมช่วงนี้ตารางงานก็เต็มชนิดที่ว่าอัดแน่น ราคาค่าตัวก็แพงหูฉี่ จ้าวเฉียรู้สึกว่า ถึงได้ตัวไปก็ไม่คุ้มทุนจึงตัดใจยอมแพ้ในที่สุด ในไม่ช้า งานราตรีก็ดำเนินไปถึงช่วงท้ายและกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว เซียนเชียงเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง เพื่อขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมงานในวันนี้ และก่อนจากกันก็มีเกมสนุกๆส่งท้ายอย่างการจับฉลาก
ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวสำหรับการจับฉลาก ทันใดนั้นหยางหมิงก็วิ่งขึ้นมาบนเวที กระชากไมโครโฟรออกจากมือพิธีกรพร้อมตะโกนลั่นว่า
“ลุงห้าไถ่เงินพ่อของผมไปสิบล้านหยวน เขาให้สัญญาว่าจะกำจัดจ้าวเฉียน แต่ตอนนี้หมอนั่นกลับยังสบายดี นี่หมายความว่ายังไง? ไม่ต่างอะไรกับหลอกเงินพ่อผมไปกินฟรีๆหรอกเหรอ? คิดว่าใหญ่โตแล้วจะมารังแกกันง่ายๆแบบนี้เหรอ? ถ้าไม่คืนเงินมาเรื่องนี้ไม่จบแน่นอน!”
พอเห็นภาพฉากดังกล่าว คนอื่นๆต่างคิดแค่ว่าหยางหมิงยังเด็กและไม่มีวุฒิภาวะพอ ถึงพูดจาทวงเงินจากลุงห้าแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เซียนเชียงรู้ดีว่า นี่ต้องเป็นการเตี้ยมกันระหว่างสองพ่อลูก
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องวงการธุรกิจมีกฎง่ายๆ จ้างค่าจ้างไปก็ใช่ว่าจะสำเร็จไปทุกครั้ง และนี่ก็เช่นกัน ต่อให้มอบเงินแก่ลุงห้าไปมากเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจาสำเร็จหรือไม่กลับไม่สามารถเรียกเงินคืนได้ในภายหลัง
แม้นี่จะไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก แต่ใครๆล้วนทราบดีว่าเซียนเชียงมีอำนาจอิทธิพลกล้าแกร่งเพียงใด ถึงเป็นกฎที่ไม่ค่อยยุติธรรมนัก แต่ทุกคนก็จำต้องยอมรับให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
หยางหมิงเป็นส่วนน้อยที่กล้าทำลายกฎดังกล่าว และออกมาป่าวประกาศให้ทุกคนทราบโดยทาวกัน หลายคนที่เฝ้ามองอยู่กับอายเกินกว่าจะทนดูต่อ เซียนเชียงที่เห็นการกระทำอันกระโตกกระตากของหยางหมิง ก็อายเกินกว่าจะบอกว่า ตนเอาเงินไปจริงเช่นกัน แต่หากให้บอกว่า เขาจะยอมคืนเงินให้ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ประการแรก นี่ไม่ใช่นิสัยโดยส่วนตัวของเขา และประการที่สอง นี่เป็นคำสั่งของจ้าวเฉียนที่ต้องไถ่เงินอีกฝ่ายมาให้มากที่สุด เพื่อสร้างความเดือดร้อนให้อีกฝ่าย แล้วจะยอมคืนไปง่ายๆได้ยังไง?
“ฮ่าฮ่า…นายน้อยหยางพูดถูก ฉันไม่ควรรับเงินก้อนนี้มาก็จริง แต่ไม่ว่ายังไง ทุกคนในที่นี้ล้วนทราบกฎของวงการธุรกิจกันดี ทุกการกระทำมีความเสี่ยงเสมอ จะมางองแงกันแบบนี้ก็ไม่ถูกจริงไหม?”
สีหน้าของเซียนเชียงตอนนี้บิดเบี้ยวน่าเกียจยิ่ง คู่สายตาของเขาจ้องเขม็งใส่หยางหมิงราวกับทีคมมีดสีเย็นพุ่งออกมาได้
แวบแรกที่เห็น หยางหมิงพลันรู้สึกสั่นกลัวภายในใจ แต่ท้ายที่สุดนี้ นั้นเป็นเงินจำนวนตั้งสิบล้าน เขาทำได้เพียงข่มกลั้นต่อความหวาดกลัวที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทวงเงินสิบล้านคืนมาให้ได้
จ้าวเฉียนไม่ต้องการทำให้เซียนเชียงตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้ จึงก้าวออกมาประกาศกร้าวเสียงดังว่า
“ลุงห้า ในเมื่อนายน้อยหย่างต้องการให้คุณสั่งสอนผมมากนัก งั้นมาเถอะ สั่งสอนสักครั้งจะเป็นไรไป?”
“น้องชาย ล้อเล่นกันแล้ว? พวกเราถือเป็นพี่น้องคนสนิท แล้วจะทำแบบนั้นกับน้องชายได้ยังไง?”
เซียนเชียงกล่าวเสียงแผ่วอย่างสุภาพ
จ้าวเฉียนที่ได้ยินแบบนั้นพลันตระหนักว่า ด้วยนิสัยของเซียนเชียน อีกฝ่ายสั่งสอนเขาไม่ลงแน่นอน จึงริเริ่มคิดหาวิธีอื่นทันที
“อย่างงี้แล้วกัน ลุงห้าทำตามคำขอของผมสักข้อได้ไหม?”
“น้องชายพูดมาเลย”
“ก็สมเหตุสมผลนะครับว่าลุงห้าไม่ควรเก็บเงินก้อนนี้ไว้คนเดียว ถึงแม้ทุกคนจะเข้าใจในกฎดังกล่าวดี แต่ปล่อยไปแบบนี้ก็เท่ากับไม่ให้หน้าสองพ่อลูกตระกูลหยาง ดังนั้นทางที่ดี สู้เอาเงินก้อนนี้นำมาเป็นรางวัลจับฉลากกันเถอะครับ ยอดเงินทั้งหมดที่ได้มามีจำนวนเท่าไหร่ หารเฉลี่ยเป็นจำนวนเงินที่แตกต่างกัน ใครได้รางวัลใหญ่ก็ได้มากหน่อย ส่วนใครได้รางวัลเล็กก็ถือว่าโชคไม่ดีนัก ไม่แน่พอสิ้นสุดงานจับฉลาก สองพ่อลูกคู่นี้อาจถอนทุนกลับไปได้บ้าง”
คนนอกฟังดูเหมือนกับว่าจ้าวเฉียนกำลังเสนอความคิดเห็น แต่สำหรับเซียนเชียงนี่คือคำสั่งของจ้าวเฉียน ดังนั้นเขาต้องปฏิบัติตามโดยธรรมชาติ
“ฮ่าฮ่า…เป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว น้องชายหัวไวจริงๆ ทุกคนว่ายังไง เห็นด้วยไหม?”
มีโอกาสจับเงินล้านฟรีๆโดยไม่ต้องทำอะไร ใครจะไม่เอา?
“ลุงห้า วิธีนี้เข้าท่าดีครับ ผมขอสนับสนุน!”
“ใช่แล้ว ดิฉันขอสนับสนุนอีกแรง!”
“ผมด้วย ผมด้วย…”
ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามคล้อยตามกันใหญ่ จนพ่อลูกตระกูลหยางอายเกินกว่าจะตอบปฏิเสธได้ แต่อย่างไร พวกเขาก็ไม่มีหลักประกันเลยว่า พวกตนจะถอนทุนกลับคืนมาเท่าไหร่ ถึงอย่างไรถ้าไม่ลองจับฉลากก็ไม่รู้จริงไหม?
เซียนเชียงเห็นว่าท่าทีของสองพ่อลูกคู่นั้นดูไม่จืดเลย เขายืดอกกล่าวขู่ซ้ำทันทีว่า
“แผนนี้ถือเป็นการคืนเงินที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว และทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน ถ้าคุณหยางยังไม่เห็นด้วย ก็เท่ากับว่าจงใจหาเรื่องเซียนเชียงคนนี้!”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำเยือกเย็นลงในยบัดดล แววตาเฉียบคมสาดสะท้านขวัญสองพ่อลูกเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาชายชราที่อยู่ด้านหลังหยางเฉิงรีบกระซิบ เกลี้ยกล้อมให้ยอมเห็นด้วยกับวิธีดังกล่าวไป ไม่อย่างนั้น มันไม่ใช่แค่จะทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองเพียงคนเดียวแล้ว แต่อาจทำให้คนในงานทุกคนขุ่นเคืองตามกันด้วย
หยางเฉิงกัดฟันดังกรอดด้วยความโกรธจัด สองมือกระชับกำหมัดแน่น ก่อนจะปริปากยอมกล่าวว่า
“ฉัน…ฉันเห็นด้วย!”
จ้าวเฉียนถึงกับแสยะยิ้มมุมปาก อย่าลืมไปว่า สถานที่จับฉลากคือบ้านของเขาเอง ดังนั้นเขาจะทำยังไงกับฉลากเหล่านั้นก็ได้ สามารถทำให้เงินสิบล้านไหลเข้ากระเป๋าของเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นขอดูสิว่า สองพ่อลูกตระกูลหยางจะปั้นหน้ายังไงเมื่อถึงตอนนั้น?
คอมเม้นต์