ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 141 ขอความร่วมมือ
ตอนที่141 ขอความร่วมมือ
จ้าวเฉียนไม่ต้องการให้พวกเพื่อนร่วมงานของตนรู้เยอะเกินไป เขาจึงสะบัดหน้าส่ายกล่าวตอบไปว่า
“ไม่ใช่แบบนี้ เด็กคนนี้เอาท่อนเหล็กมาทุบรถฉัน ฉันแค่สั่งสอนเขาไปไม่กี่คำเอง แล้วพวกนายก็เข้ามาเจอพอดี”
จ้าวเฉียนรีบพาเฉียงกุยหลงไปยังจุดที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน เพื่อพูดคุยต่อ
“นายจะบอกความจริงกับฉันได้รึยัง? ตราบใดที่นายยอมพูดความจริงออกมา ฉันสัญญาว่าจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดให้พี่สาวเธอเอง ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากที่พี่สาวเธอถูกตัดสินต้องจำคุกขึ้นมา โอกาสเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของนายเองก็พลอยจะหลุดลอยไปด้วย เพราะคดียาเสพติด มันจะสืบสาวไปต่อถึงญาติพี่น้อง นั้นหมายความว่าทั้งนายและพี่สาวจะต้องติดคุกตลอดชีวิต”
จ้าวเฉียนอธิบายให้ฟังไปตามความจริง
นี่ไม่ใช่คำข่มขู่แต่อย่างใด อนาคตของสองพี่น้องคู่นี้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของคนอื่นโดยปริยาย ขอเพียงอีกฝ่ายต้องการ พวกเขาอาจเน่าตายอยู่ในคุกเลยก็เป็นได้
เฉียงกุยหลงตื่นตระหนกอย่างมาก เขายิ่งร้องไห้หนักพร้อมกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยผมกับพี่สาวได้ไหม? มีเงินสี่แสนพอให้ผมยื่มไหมครับ?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะขึ้นทันที ตอบกลับไปว่า
“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่านายกำลังถูกใครบางคนบงการอยู่เบื้องหลัง ตราบเท่าที่นายยอมบอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ฉันจะรับผิดชอบทั้งเรื่องหนี้สินและชีวิตพี่สาวนายเองแบบฟรีๆ ขอแค่เราสามารถจับคนร้ายตัวจริงมาได้ ไม่ว่าคดีความของพี่สาวเธอจะใหญ่ขนาดไหน มันยอมถูกคลี่คลายโดยง่ายทันที สุดท้ายนี้นายนั้นแหละคือคนกำหนดชะตากรรมตัวเองหลังจากนี้แล้ว เอานี่ไป นามบัตรของฉัน ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทรมา แต่ทางที่ดีอย่าตัดสินใจนานนัก ไม่อย่างนั้น…ทุกอย่างอาจ‘สาย’เกินแก้แล้ว”
คล้อยหลังพูดจบจ้าวเฉียนก็หยิบนามบัตรให้เฉียงกุยหลง และเดินกลับเข้าไปในตัวตึกทันที
เมื่อจ้าวเฉียนมาถึง บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างก็แห่กันเข้ามาถามทันที
“จ้าวเฉียน นี่นายจะเอายังไงกับเด็กนั่น? ตอนนี้นายก็รวยมากอยู่แล้ว หวังว่าจไม่ไถ่เงินเด็กมานะ?”
“อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ นายคงไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอใช่ไหม?”
“ถูกต้อง นายมีเงินไม่รู้เท่าไหร่ ค่าซ่อมอย่างมากก็แค่พันสองพันหยวน?”
คนเหล่านี้ล้วนแต่เห็นอกเห็นใจเด็กหนุ่มคนนั้น หากจ้าวเฉียนปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาเองก็ต้องการร้องเรียนแทนเสียงของเด็กคนนั้นเช่นกัน
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบไปว่า
“เขากำลังจะเข้าเรียนต่อมหาลัย แถมสภาพการเงินของครอบครัวก็ไม่ค่อยจะดี ฉันจึงตำหนิไปสองสามคำและเตือนไปว่าอย่าทำแบบนี้อีกก็แค่นั้น ทุกคนเตรียมตัวไปทำงานเถอะ เดี๋ยวผู้จัดการมาเห็นเข้าก็มาบ่นฉันอีก”
ทันทีที่สิ้นเสียงจ้าวเฉียน ก็เป็นสุ้มเสียงของจางหยางที่ดังต่อขึ้นมาทันใด
“นี่นายนินทาอะไรฉันอีกแล้ว! จ้าวเฉียน นายนี่มันหน้าไห้วหลังหลอกจริงๆ! ต่อหน้าทำเป็นสุภาพเรียบร้อย แต่หลับหลังแอบด่าฉันงั้นเหรอ?”
จางหยางหัวเสียตั้งแต่เช้า
จ้าวเฉียนทราบดีว่า อีกฝ่ายแค่จงใจโวยวายเอะอะเสียงดัง และเขาเองก็ไม่อยากยุ่งกับตัวปัญหาแบบนี้เช่นกัน จึงกล่าวน้ำเสียงอ่อนไปว่า
“ผู้จัดการจางพูดถูกต้องแล้วครับ คราวหน้าผมจะไม่พูดจาให้คุณเสียหายหลับหลังใครอีกแล้ว”
จางหยางตะคอกสวนอย่างเย็นชาตอบไปว่า
“ฉันไม่สนใจนายอีกแล้ว ส่วนตอนนี้นายก็หัดสนใจเรื่องงานตัวเองบ้าง เรื่องดิลกับบริษัทคู่ค้าใหม่ไปถึงไหนแล้ว? รู้จักเตรียมตัวหาข้อมูลบ้างรึยัง? เพราะทางฉันเพิ่งจ้างวิศกรเทคนิคมาเพิ่มอีกหลายอัตราเข้ามาแล้ว! รีบไปทำงานตัวเองให้เสร็จ!”
“ผมกำลังจะเดินทางไปที่หัวโหย้วพอดีคครับ รอฟังข่าวดีได้เลย”
จ้าวเฉียนเอ่ยปากรับคำด้วยความมั่นใจ
“ฮ่าฮ่า…ทำให้ดีที่สุดล่ะกัน ถ้านายทำไม่สำเร็จเตรียมยื่นใบลาออกได้เลย! ฉันไม่อนุญาตให้นายสร้างความอับอายให้แก่บริษัทเราอีกต่อไปแล้ว เราต่างก็ลูกเป็นลูกผู้ชายกันทั้งคู่ พูดแค่นี้ก็คงจะเข้าใจนะ?”
หัวโหย้วกับซิงหยวนเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่บริษัทฟางนี่จะร่วมมือกับทั้งสองบริษัทนี้ได้พร้อมกัน จางหยางเชื่อว่า จ้าวเฉียนไม่มีทางร่วมมือกับบริษัทหัวโหย้วได้แน่นอน ซึ่งนั้นหมายความว่า จ้าวเฉียนเตรียมตัวลาออกได้เลยในอีกไม่ช้า
จางหยางใฝ่ฝันมานานแล้วว่า สักวันจ้าวเฉียนจะต้องไสหัวออกไปจากบริษัทแห่งนี้สักที มิฉะนั้นเขาจะไม่มีวันเฉิดฉายได้อีกเลย เขาจะผลักดันบริษัทนี้ด้วยปรัชญาทางธุรกิจของตัวเอง
ในขณะเดียวกัน จ้าวเฉียนก็จัดแจงข้อมูลเตรียมตัวขั้นสุดท้าย กินออกเดินทางไปลุยศึกใหญ่
ในฐานะที่เป็นบริษัทใหญ่บนอุตสหกรรมเกม หัวโหย้วเป็นที่รู้จักกันดีในด้านความเข้มงวด คนที่นี่ไร้ซึ่งมนุษย์สัมพันธ์โดยสิ้นเชิง และทำงานอย่างหนักชนิดที่ว่าอุทิศตัวให้กับบริษัทยิ่งกว่าข้าวสามมื้อ จนเจ็บป่วยกันไปข้าง หากพวกเขาต้องการคุณจริงๆ เขาจะเสาะหาโอกาสมาเข้าพบเอง ไม่อย่างนั้นใครก็ตามที่เข้ามารบกวนเวลาทำงานอันมีค่า จะถูกขับไล่ไสส่งอย่างไม่ไยดี
หลังจากเข้ามาในบริษัทนี้ได้ไม่นาน จ้าวเฉียนก็ถูกพนักงานต้อนรับหยุดไว้ทันที
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรที่นี่ค่ะ?”
แม้ท่าทางการแสดงออกของเธอจะไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร แต่เบื้องหลังของน้ำเสียงกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความร้อนรน ใครก็ตามที่ได้ยินล้วนรู้สึกไม่สบายใจ
“สวัสดีครับ ผมต้องการเข้าพบผู้จัดการ รบกวนติดต่อเขาให้หน่อยได้ไหมครับ?”
จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงสุภาพอย่างมาก
พนักงานต้อนรับสาวคนนั้นกวาดตามองจ้าวเฉียน ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเอ่ยตอบสวนกลับไปด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ขอโทษนะคะ ถ้าต้องการเข้าพบผู้จัดการ ต้องมีนัดหมายล่วงหน้าค่ะ”
“ขอโทษนะครับ พอดีนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางมาที่นี่ เพื่อต้องการดิลเป็นบริษัทคู่ค้า ครั้งต่อไปที่มาผมจะทำการนัดหมายก่อนล่วงหน้าแน่นอนครับ”
จ้าวเฉียนยังคงมารยาทสุภาพนอบน้อม
“ไม่ได้ค่ะ! ถ้าไม่มีนัดหมายล่วงหน้า ไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่สามารถเข้ารบกวนการทำงานของผู้จัดการได้ กรุณาอย่าสร้างปัญหาจะดีกว่านะคะ!”
พนักงานต้อนรับกล่าวปัดอย่างไม่แยแส
ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะกล่าวต่อ ทันใดนั้นเสียงสาวงามแสนหวานฉ่ำก็ดังขึ้นในทันใด
“จ้าวเฉียน นายมาทำอะไรที่นี่?”
จ้าวเฉียนเหลือบสายตาไปมองปรากฏว่าเป็น สาวสวยดูอ่อนหวาน แต่เขาไม่ยักจะจำได้เลยว่าเคยพบเจอกับเธอคนนี้มาก่อน แล้วอีกฝ่ายรู้ได้ยังไงว่าเขาชื่อจ้าวเฉียน?
ในเวลานั้นเอง พนักงานต้อนรับสาวรีบโค้งคำนับและกล่าวทักทายทันที
“สวัสดีค่ะคุณหนูเซียวหยุน ทำไมไม่โทรหาดิฉันก่อนละค่ะว่าจะมาที่นี่? เดี๋ยวดิฉันจะรีบโทรแจ้งท่านประธานเหลียวเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
แต่เหลียวเซียวหยุนรีบโบกมืดปัดกล่าวตอบไปว่า
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทรไปบอกพ่อเอง จะว่าไปจ้าวเฉียน นายมาทำอะไรที่นี่?”
ดูเหมือนว่าสาวงามตรงหน้าน่าจะเป็นลูกสาวของประธานบริษัทหัวโหย้ว หรืออย่างน้อยที่สุดต้องเป็นหลานสาว เพียงแต่…จ้าวเฉียนไม่เห็นจะจำได้เลยว่า เขาเคยไปรู้จักเธอที่ไหนมาก่อน?
พนักงานต้อนรับสาวกล่าวรายงานให้เหลียวเซียวหยุนทราบทันทีว่า
“คุณหนูเซียวหยุน ชายคนนี้เข้ามาขัดขวางการทำงานของผู้จัดการ โดยไม่มีนัดหมายล่วงหน้า จะให้ดิฉันจัดการยังไงดีค่ะ?”
เหลียวเซียวหยุนพยักหน้าและยิ้มตอบไปว่า
“เดี๋ยวฉันรับแขกแทนเอง จ้าวเฉียน ตามฉันมา”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินตามเหลียวเซียวหยุนเข้าไป ในขณะเดียวกัน พนักงานหญิงเป็นห่วงอย่างมากว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับคุณหนู จึงเร่งโทรหาผู้จัดการและรายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟังทันที
ท้ายที่สุดนี้ เหลียวเซียวหยุนยังเป็นแค่นักศึกษามหาลัย แถมยังเป็นถึงลูกสาวประธานบริษัท ดังนั้นจะปล่อยให้เธออยู่กับชายแปลกหน้าสองต่อสองในห้องส่วนตัวเธอไม่ได้เด็ดขาด
“ถ้านายอยากดื่มอะไรก็หยิบเอาในตู่เย็นได้เลยนะ”
เหลียวเซียวหยุนหันมาทักจ้าวเฉียนด้วยท่าทีสบายๆ
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มบางพลางโบกมือปัด
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ได้อยากดื่มอะไรเป็นพิเศษ จะว่าไปแล้ว…ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่น่ะครับ คือ…คุณรู้จักชื่อผมยังไง?”
เหลียวเซียวหยุนยกมือป้องปากหัวเราะคิกคักเสียงหวาน และยิ้มตอบไปว่า
“ไม่ใช่นายหรอกหน่อยที่โดดเด่นที่สุดแล้วในงานราตรีคืนนั้น? ฉันจะไม่รู้จักนายได้ยังไง?”
จ้าวเฉียนนึกออกในทันใดที่ได้ยิน และกล่าวตอบไปว่า
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง แต่ทำไมผมจำคุณไม่ได้กันนะ? ทั้งๆที่คุณสวยซะขนาดนี้ กลับไม่ได้แลกนามบัตรกับผมได้ยังไงกัน? วันไหนว่างๆผมคงต้องไปตรวจสายตาหน่อยแล้วล่ะ”
เหลียวเซียวหยุนหัวเระคิกคักอย่างมีความสุขยิ่ง และกล่าวว่า
“นายนี่มันปากหวานจริงๆ มีสาวกี่คนแล้วที่หลงเสน่ห์นายน่ะ?”
“นี่ผมไม่ได้โกหกเลยนะครับ ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง สำหรับผมแล้ว…คุณสวยมากเลย”
จ้าวเฉียนตอบน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา
เหลียวเซียวหยุนรู้ตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายหยอดคำหวาน เธอระเบิดหัวเราะพลางเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้ววันนี้มาหาผู้จัดการหลี่ทำไม? มีธุระสำคัญ?”
ในที่สุดจ้าวเฉียนก็ได้โอกาสเข้าเรื่องสักที เขารับนั่งบนเก้าอีกแขกและกล่าวตอบทันทีว่า
“ผมมาในนามบริษัทผลิตเกม แน่นอนว่าบริษัทนี้มีผมเป็นหุ้นส่วนด้วยเช่นกัน ที่ต้องการมาที่นี่เพื่อขอความร่วมมือกับบริษัทของคุณ ก็เลยอยากเจรจากับผู้จัดการน่ะ”
“อ่อเรื่องนี้นี่เอง งั้นนายช่วยพาฉันไปเดทที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นเวลาหนึ่งวัน แล้วฉันจะให้นายเข้าพบผู้จัดการหลี่ในวันพรุ่งนี้แทน ตกลงไหม?”
เหลียวเซียวหยุนคลี่ยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ
จ้าวเฉียนรู้สึกสับสนไม่ใช่น้อยเมื่อได้ยิน เขาเอ่ยถามย้ำทันทีว่า
“ผมไม่ได้ยินอะไรผิดไปใช่ไหมครับ? เอ่อ…เราเพิ่งพบกันไม่นาน แถมยังแทบไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ จะบอกให้พาคุณไปเดทที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคงไม่ค่อยเหมาะสมไปสักหน่อยจริงไหมครับ?”
“ก็ถือซะว่าใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกันไปเลย! ถ้านายสัญญาว่าจะไปเดทกับฉัน พรุ่งนี้นายได้พบผู้จัดการหลี่ตามต้องการแน่นอนในวันพรุ่งนี้ และตราบใดที่นายทำให้ฉันพอใจได้ รับประกันได้เลยว่า บริษัทหัวโหย้วของพ่อฉันจะให้ความร่วมมือกับบริษัทนายเป็นอย่างดี เป็นข้อตกลงที่ง่ายดีใช่ไหมล่ะ?”
เหลียวเซียวหยุนแสยะยิ้มหวานให้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงจ้าวเฉียนรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาโดยพลัน
ถึงไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอคืออะไร แต่แค่ไปเที่ยวกันวันเดียว คงไม่มีปัญหาอะไรจริงไหม?
“งั้นตกลงครับ!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วย
“เยี่ยมไปเลย!”
เหลียวเซียวหยุนคว้ากระเป๋าสะพายและพาจ้าวเฉียนตรงออกไปในทันที
คอมเม้นต์