Picking Up Attributes From Today ไปเก็บสเตตัสที่ต่างโลก – บทที่ 13 สัตว์เวทมนตร์ระดับเซียนเทพ และจอมเวทระดับเซียนเทพ
บทที่ 13 สัตว์เวทมนตร์ระดับเซียนเทพ และจอมเวทระดับเซียนเทพ
จำนวนเหรียญทองที่เขามีตอนนี้เพิ่มขึ้นจนไปถึง 916 เหรียญทองแล้ว
ค่าร่างกายของเขาก็มีตั้ง 126 แต้ม
ค่าวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก
รวมไปถึงพลังเวทและเวทมนตร์ของเขาด้วย
นอกจากวิชาลูกไฟ เถาวัลย์หนาม และฟองวารีที่เขามีอยู่แล้ว ตอนนี้เขายังมีเวทธาตุดิน เขย่าปฐพี แล้วก็เวทธาตุลม เพลงดาบสายลม แล้วก็เวทธาตุไฟหมัดเพลิงร้อนอีกด้วย
ถึงแม้ว่าพวกนี้จะเป็นแค่เวทมนตร์ระดับ 1 แต่มันก็เติมเต็มช่องว่างของธาตุเวทมนตร์ให้กับเหมิงเหล่ยได้เต็มพอดี
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ค่าเวทมนตร์ของเขาเองก็ยังคงน้อยอยู่ มันเพียงพอแค่การปล่อยลุกไฟ 10 ครั้ง ไม่ก็ดาบสายลม 10 ครั้งเท่านั้น แล้วก็จะหมดลงทันที
การที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้นั้น เขาเลยแอบลองวิถีจิตสมาธิ แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะลองหลายครั้งแล้วก็ตามแต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว
มันมีธาตุเวทมนตร์อยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ
ไม่เห็นเจออะไรเลย
เขาไม่รู้สึกเลยซักนิด
หลังจากลองไปหลาย 10 รอบ เหมิงเหล่ยก็เริ่มหมดท้อแท้ เขาเลยไปปรึกษากับเอริสันตอนที่หาจังหวะคุยกับเธอได้ และผลสรุปออกมาง่ายๆ คือ เขาไม่มีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์เลยแม้แต่น้อย
ใช่แล้วเขาไม่มี
มีเพียงคนที่มีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์เท่านั้นที่จะสัมผัสพลังธาตุได้ คนที่สัมผัสไม่ได้นั้นคือคนที่ไม่มีพรสวรรค์แม้แต่น้อย
เรื่องนี้ทำให้เหมิงเหล่ยผิดหวังเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาคิดเพ้อฝันไปว่าตัวเองจะได้เป็นเหมือนตัวเอกในนิยายตามเว็บ ผู้ซึ่งมีระบบที่ขี้โกงคอยช่วย มีวรยุทธแก่กล้า ทุกอย่างเป็นใจให้ไปหมด มาพร้อมกับพรสวรรค์มหาศาลที่พยายามไปแค่ครึ่งเดียวก็ได้ผลลัพท์กลับมาคูณ 2 การฝึกเพียง1 วันก็เท่ากับการฝึก 10 ปีของคนอื่นๆ
แต่ดูจากรูปการณ์ในตอนนี้แล้ว จินตนาการของเขามันฝันเฟื้องเกินไปมากๆเลย
หมายความว่าเขาต้องใช้วิธีการตามเก็บพลังเวทแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เหมิงเหล่ย ท้อใจสุดๆ ถึงแม้ว่าเขาจะมั่นใจในระบบเก็บของสุดๆ แต่ระบบนี้เองก็เป็นระบบที่ยากจะคาดเดาได้ และถึงแม้ว่าจะเก็บมาได้ก็จริง แต่ต้องใช้เท่าไรละถึงจะพอ
ตู้ม!!
สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ตกลงมากระแทกพื้น ร่างขนาดใหญ่ของมันดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย มันกำลังจะขาดใจตายแล้ว พอเห็นแบบนั้น ไมโล บ๊อบบี้ เยล และเอริสันก็ปัดฝุ่นออกจากมือของตัวเอง พวกเขาผสานกำลังกันได้ดีมากๆรอบนี้จนสามารถฆ่าหมูบินไฟได้ในที่สุด
“ติ้ง ค้นพบไอเทมดรอป จะเก็บมารึไม่”
“ใช่ เก็บมาเลย”
“ติ้ง ยินดีด้วย เจ้าของ คุณได้รับเวทระดับ1 วงแหวนไฟ”
เวทอีกแล้วเหรอ! เหมิงเหล่ยถอนหายใจ
ถ้าไม่มีพลังเวท จะเอาเวทไปทำไมเยอะแยะกัน
“นี้เจ้าหนู เหมิงเหล่ย ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้นละ” เอริสันพูดขึ้นมาแล้วเดินตรงเข้ามาหาเหมิงเหล่ยพร้อมคฑาเวทในมือ ในความคิดของเธอ เหมิงเหล่ยนั้นปรกติเป็นคนร่าเริงแจ่มใจ และดูจะกระตือรือร้นในการตามพวกเขาไปล่าสัตว์วิเศษ
แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้ซึมทั้งวันเลย
“เอริสัน มันเป็นไปได้ไหมที่ใครซักคนนึงจะกลายเป็นจอมเวท ทั้งๆที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์เลย” เหมิงเหล่ยถามขึ้นมาเหมือนเป็นการตอกย้ำตัวเองด้วยความจริง
“ถ้าไม่มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์ก็แน่นอน ไม่มีทางเป็นนักเวทได้อยุ่แล้ว”
ถึงแม้ว่ามันจะชัดเจนในคำพูดอยู่แล้ว แต่นางก็พูดต่อ “ดูอย่างบ๊อบบี้กับคนอื่นซิ ทุกคนนั้นต่างมาจากครอบครัวที่มีฐานะตระกูลดี แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็กลายมาเป็นนักเวทไม่ได้อยู่ดี นั้นก็เพราะพวกเขาไม่มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์”
“พรสวรรค์ทางเวทมนตร์มันเป็นกำแพงที่ใหญ่มากสำหรับการเริ่มต้นเลยนะ จะมีซักกี่คนกันเชียวที่ ข้ามกำแพงนั้นไปสู่พลังเวทที่ยิ่งใหญ่ได้”ไมโลคนกล้ามโตที่ถือขวานพูดขึ้นมาพร้อมเลิกคิ้ว “อะไรกัน เจ้าเองก็หวังอยากจะเป็นจอมเวทด้วยเหรอ เจ้าหนูเหมิงเหล่ย”
“ก็แหงอยู่แล้วซิ ไมโล ใครบ้างละจะไม่อยากเป็นนักเวทหน่ะหะ”บ๊อบบี้พูดล้อแล้วหัวเราะ
เยลพยักหน้าตอบรับ เห็นด้วยอย่างใจจริง มีมนุษย์จำนวนมากในทวีปแดนสวรรค์ และทุกๆคนนั้นต่างก็อยากจะเป็นจอมเวท แต่น่าเสียดาย ที่พวกเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์เลยแม้แต่น้อย ทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดนั้นเป็นเพียงแค่ฝันกลางวันเท่านั้น
เหมิงเหล่ยหัวเราะแห้งๆตามแล้วไม่พูด
“ไปต่อกันเถอะ”
“เจ้าหนูเหมิงเหล่ย ข้าจะปล่อยสัตว์เวทมนตร์ตัวหน้าให้เจ้าฆ่าละกัน อย่าพลาดโอกาสสำคัญละ”
“เหมิงเหล่ย เจ้าน้องชาย อย่าคิดมากหน่า เจ้ามีพละกำลังร่างกายที่แข็งแกร่ง เจ้าเกิดมาเพื่อฝึกออร่าสงครามชัดๆ จงกลายเป็นนักรบแบบข้าดีกว่า เวทมนตร์ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก”
“5555 ใช่แล้วละ”
ทั้งกลุ่มออกเดินทางกันต่อแล้วคุยเล่ยหัวเราะกันตลอดทาง หลังจากที่ผ่านการอยู่ด้วยกันมาหลายวัน ความระแวงที่ทั้ง4คนมีต่อเหมิงเหล่ยนั้นก็ลดหายลงไปมาก ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นไปได้ด้วยดี พวกเขากลายเป็นมิตรสหายที่คุยเล่นหยอกล้อกันได้อย่างสนุกสนาน
การคุยปรึกษากับบ๊อบบี้และคนอื่นๆนั้นทำให้อารมณ์ของเหมิงเหล่ยดีขึ้นมาก หลังจากที่พวกเขาเดินต่อไปอีกไม่กี่กิโล ทันใดนั้น เสียงคำรามที่สั่นสะเทือนพื้นดินก็ดังกึกก้องขึ้นมาจากด้านบนฟ้า
โฮก!!!
คลื่นเสียงนั้นอัดกระแทกเข้ามาเหมือนระเบิดปรมาณู ดังซะจนหูของทุกคนดับไปเป็นแถบๆ สีหน้าเจ็บปวดทรมารปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของทุกคนทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“สัตว์เวทมนตร์ระดับสูงหลุดออกมาแถบเขตป่าชั้นนอกรึไงกัน”
ทุกๆคนต่างระมัดระวังและหวาดกลัว เสียงคำรามเมื่อกี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสัตว์เวทมนตร์ระดับสูงเท่านั้นที่คำรามแบบนั้นได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงด้วยความสามารถทางการต่อสู้ของทุกคนตอนนี้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอคอยพวกเขาอยุ่แน่นอนถ้าต้องปะทะกับมันจริงๆ
“ดูบนฟ้านั้นซิ”บ๊อบบี้ตะโกนขึ้นมาทันที
พวกเขาทุกคนแหงนหน้ามองบนฟ้าทันทีที่ได้ยินเขาพูด และในวินาทีต่อมา ภาพที่พวกเขาเห็นมันทำให้พวกเขาสั่นกลัวเหมือนเห็นผียังไงอย่างงั้น
บนท้องฟ้า ห่างไกลออกไปนั้น มีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา ตัวใหญ่กว่า 100 เมตรกำลังลอยเหนือท้องฟ้า มันมีร่างกายที่คล้ายกับมังกรยักษ์ มีปีกเหมือนอินทรี และหัวเหมือนสิงโต
พร้อมด้วยหุที่ยาว กรงเล็บที่แหลมคม ตัวสีทองอร่ามเหมือนกับว่าใส่ชุดเกราะเอาไว้ เพียงแค่มองดูก็รู้ว่ามันน่ากลัวและน่าเกรงขามขนาดไหน
แต่ถึงอย่างนั้น ประเด็นหลักๆที่มันต่างจากสัตว์เวทมนตร์บินตัวอื่นๆนั้นก็คือ เจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวนั้น มันไม่กระพือปีกเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันยังคงลอยอยู่กลางอากาศด้วยตัวเองได้ ตัวตนของมันนั้นมีชื่อโด่งดังจนทุกคนต้องเคยได้ยินชื่อมาแล้ว
“เจ้านั้นมัน สัตว์เวทมนตร์เซียนเทพในตำนาน มังกรเพลิงทองคำไม่ใช่เหรอ (จริงๆแล้วไม่ใช่มังกร เพราะdragonne เป็นชื่อสัตว์เฉพาะอย่างในภาษาอังกฤษ มีคำว่า Dragon drake wyrm ซึ่งทั้งหมดนี้ภาษาไทยแปลได้อยู่คำเดียวคือมังกร ถ้าจะให้เทียบจริงๆ มังกรเพลิงทองคำนั้นจะคล้ายๆ สีหรามังกร สัตว์ในหิมพานต์มากกว่า) ”
เอริสันขบฟันและสั่นกลัวตอนที่เธอพูดขึ้นมา
บ๊อบบี้ ไมโลและเยลเองก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเป็นเจ้าเข้า สายตาของพวกเขานั้นไร้ซึ่งความกล้าที่เคยมีอยู่เลย
“กายมังกร ปีกอินทรี หัวราชสีห์ และใช้เวทบินดได้”
บ๊อบบี้พูดย้ำขึ้นมา “มันต้องเป็นมังกรเพลิงทองคำแน่ๆ สัตว์เวทมนตร์เซียนเทพในตำนาน”
“สัตว์เวทมนตร์เซียนเทพในตำนานมันควรจะไปอยู่กลางป่าสัตว์เวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ ทำไมมันถึงโผล่มาที่นี่ได้วะ”ไมโลพูดออกมา
“นั้นน่ะเหรอ สัตว์เวทมนตร์เซียนเทพ พระเจ้าช่วย!”
เหมิงเหล่ยมองจ้องเขม็งไปยังสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์บนฟ้า แค่เห็นมันก็ทำเอาลมหายใจของเขากระตุกและติดขัดเลย เขาเองก็มาอยู่ที่ทวีปแดนสวรรค์มาได้ซักพักแล้ว อีกทั้งได้มาอยู่กับพวกเอริสันหลายๆวันที่ผ่านมาทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนร้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ
ยกตัวอย่างเช่น การจัดอันดับความสามารถทางการต่อสู้
การเป็นนักรบ จอมเวท หรือเผ่าอื่นๆ สัตว์เวทมนตร์ ทุกๆอย่างถูกจัดอันดับความสามารถทางการต่อสู้ไว้ทั้งหมด ไล่จากล่างขึ้นบน จากระดับ 1 สู่ระดับ 9 ระดับ 1 นั้นกระจอกที่สุด ส่วนระดับ 9 นั้นแข็งแกร่งที่สุด
นักรบระดับ 1 นั้นจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายและเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วรวดเร็ว แต่นักรบระดับ 9 นั้นจะพุ่งตัวได้ไวเหมือนสายฟ้าฟาดและสามารถฆ่าคนได้จากระยะไกลมากๆโดยไม่ขยับตัวด้วยซ้ำ
และสูงกว่าระดับ 9 นั้น คือเหล่าตัวตนที่อยู่ในตำนาน เราเรียกพวกนั้นว่า ระดับเซียนเทพ
ลึกลับและยากที่จะเข้าใจ ตัวตนของระดับเซียนเทพนั้น เป็นตำนานเหนือตำนาน สิ่งมีชีวิตระดับเซียนเทพนั้นมีความสามารถในการควบคุมมิติจักรวาลทำให้มันสามารถลอยบนฟ้าได้โดยไม่สนกฏเกณฑ์ พวกมันมีอายุขัยที่ไม่จำกัด เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลที่พร้อมจะทำลายทั้งโลกและสวรรค์ได้ในพริบตา
ระดับเซียนเทพ
พวกมันอยู่บนจุดเหนือสุดของปีระมิดสิ่งมีชีวิตในแดนสวรรค์ เป็นเหมือนหัวอาวุธนิวเคลียร์เคลื่อนที่ได้ และเป็นตัวตนที่มีผลต่อการทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริง
ไม่เพียงเท่านั้น ในบรรดาสัตว์เวทมนตร์เซียนเทพทั้งหมด มังกรเพลิงทองคำนั้นเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งสัตว์เวทมนตร์เลยก็ว่าได้ มันเป็นส่วนผสมของมังกรยักษ์ สิงโต และอินทรี ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับที่ไหนบนโลก อีกทั้งมีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในตัวทำให้มันเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าสัตว์เวทมนตร์ระดับเซียนเทพตัวอื่นๆซะอีก
“ดูนั้นซิ”
สายตาของเยล เบิกกว้างขึ้นแล้วชี้ไปบนฟ้า
เหมิงเหล่ยมองหันตามทันที แล้วตกใจมาก ตรงหน้าของมังกรเพลิงทอง มีมนุษย์ตัวเล็กๆเมื่อเทียบกับมังกรเพลิงทอง 2 คน กำลังลอยอยู่บนอากาศ
ขนาดของพวกเขานั้นพอๆกับมนุษย์ธรรมดาเลย
มีคนแก่คนนึง กับวัยรุ่นอีกคนนึง
ชายแก่นั้น สวมผ้าคลุมเวทมนตร์สีม่วง เขามีใบหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์แต่ก็ดูใจดี ส่วนวัยรุ่นอีกคนนึงนั้นเป็ฯหญิงสาวอายุ 16-17 ปี ดวงตาของเธอเปล่งประกายและกระตือรือร้นพร้อมด้วยฟันสีขาวมุก เธอดูงดงามไม่ต่างจากเทพธิดา
สายลมแรงกล้าพัดปลิวรุนแรงแต่ถึงอย่างนั้น เกราะป้องกันสีม่วงล้อมรอบชายแก่และหญิงสาวก็ไม่ไหวติง ถึงแม้ว่าจะมีสายฟ้าเล็ดลอดแลบไปมาอยู่ด้านนอก ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่สะท้านได้เลย
“มนุษย์เหรอ?”
เอริสันกับคนอื่นๆอ้าปากค้าง พวกเขาอึ้งมากๆ การที่มนุษย์หรือจอมเวทจะบินได้อย่างอิสระเหมือนนกนั้น พวกเขาจะต้องเป็นระดับเซียนเทพขึ้นไปเท่านั้น
แน่นอนว่ามันยกเว้นจอมเวทสายธาตุลม
แต่ในเมื่อทั้งชายแก่และหญิงสาวที่ยืนอยู่บนอากาศนั้นกำลังใช้โล่สายฟ้าอยู่ แสดงว่าทั้งคู่ต้องเป็นจอมเวทธาตุสายฟ้าระดับเซียนเทพแน่นอน
“เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อย กล้าอาจหาญมาท้าทายอำนาจข้า คาลอสผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ามีประสงค์อันใดกัน”
คอมเม้นต์