จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up – ตอนที่ 87
อ่านนิยายจีนเรื่อง จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up ตอนที่ 87 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 87 ช่องว่าง
หลังเสียงกู่ร้อง โลกก็สั่นสะเทือน
รัศมีสีม่วงหลั่งไหลออกจากร่างของฉินเทียนอย่างบ้าคลั่ง
เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า ทักษะที่งูเขียวยักษ์ใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่หลายร้อยปีก่อนจะบรรลุ หากไม่ใช่เพราะสังหารมันจากภายใน ฉินเทียนก็คงเอาชีวิตไม่รอดไปแล้ว
ในเวลานี้เอง นัยน์ตาของฉินเทียนได้เปลี่ยนเป็นสีม่วง
ด้วยผลจากบ้าคลั้งขั้นที่หนึ่ง สายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาจึงแข็งแกร่งจากวิชาต้นกำเนิดถึงสี่เท่า พลังปราณที่เขาต้องจ่ายออกไปคราวนี้คือหนึ่งแสนจุด นับตั้งแต่ที่เขาได้รับเคล็ดวิชชุทะลวงฟ้ามา เขาก็ไม่เคยได้ใช้มันเลยสักครั้งเนื่องเพราะมีพลังปราณไม่เพียงพอ
การตายของฉินควงได้มอบพลังปราณให้เขาห้าหมื่นจุด ขณะที่การตายของฉินซานเทียนมอบให้เขาอีกเจ็ดหมื่นห้าพันจุด นั่นทำให้เขาสามารถใช้ออกด้วยทักษะที่ท้าทายสวรรค์ เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า!
ทักษะนี้กินพลังปราณถึงหนึ่งแสนจุด ดังนั้นมันย่อมต้องมีอานุภาพรุนแรง
อานุภาพที่มันแสดงออกถึงกับทำให้วิญญาณในนรกต้องร้องคร่ำครวญ
“ได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร?”
“นี่มันทักษะอะไรกัน? พลังของมันกระทั่งสะกดข่มพลังฟ้าดินได้ หรือจะเป็นทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” หยางหลินราวกับคลุ้มคลั่งขึ้นมา พรสวรรค์ของเขานับว่าเด่นล้ำเหนือธรรมดา เขาย่อมภาคภูมิใจกับพรสวรรค์ของตน ในสายตาเขาแล้ว คนอื่นๆล้วนไม่นับเป็นอัจฉริยะ แต่เมื่อมองไปยังฉินเทียนในเวลานี้แล้ว เขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ ระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณถึงกับมีพลังปราณหนาแน่นเพียงนี้ นั่นยังไม่พอ ฉินเทียนยังครอบครองทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ถึงสองทักษะ!
และทักษะที่ฉินเทียนใช้ออกในเวลานี้ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน สิ่งนี้อยู่เหนือความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้คล้ายมีแท่งน้ำแข็งทิ่มแทงใจ ทำให้ความภาคภูมิใจที่เขายึดถือมาตลอดหลายปีกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
ความตกตะลึงฉายชัดอยู่ในแววตาของหยางฮงเช่นกัน “คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังซ่อนความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนี้เอาไว้อยู่ ช่างน่าตกตะลึงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าภายในตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลฉินจะซ่อนสัตว์ประหลาดเช่นนี้เอาไว้”
“แต่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็เป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ ไม่อาจต่อกรกับข้าผู้เป็นจักรพรรดิได้อยู่ดี….”
“ข้าคือจักรพรรดิ ผู้ที่ต่อต้านข้าล้วนต้องตาย!”
ยิ่งพูด เสียงของเขาก็ยิ่งดังขึ้น
สิ้นเสียง กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไป จิตสังหารแผ่กำจายออกอีกครั้ง เงาร่างเทพสงครามดำทมึนปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ในมือของเทพสงครามยึดกุมไว้ด้วยทวนสวรรค์เล่มหนึ่ง ทั่วร่างของเทพสงครมมนั้นห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีเข้ม ที่ดูน่าหวาดหวั่น
หยางฮงเป็นผู้บ่มเพาะระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณ อีกทั้งตัวเขาในเวลานี้ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งขีดสุด!
“ข้าก็อยากจะรู้นักว่าพลังปราณของเจ้าจะหนาแน่นสักเพียงใด”
“ขอข้าดูว่าจุดตันเถียนของเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหน”
“ตาย!”
หยางฮงดึงพลังฟ้าดินมาใช้ เทพสงครามทมิฬยกทวนกรีดผ่านอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิวดังแสบหู หยางฮงผสานร่างของตนเข้ากับเทพสงครามทมิฬอย่างสมบูรณ์ ความกดดันที่ปลดปล่อยออกมาหลังจากดึงพลังฟ้าดินมาใช้นั้นราวกับสามารถสั่นสะเทือนสวรรค์ทั้งเก้า
ทั่วทั้งนครหลวงตกอยู่ในความโกลาหล ประชาชนต่างหลบหนีอย่างแตกตื่นจนเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เสมือนท้องฟ้าจะถล่ม โลกจะพังพินาศ ทั่วทุกมุมเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
ยอดฝีมือขั้นกลั่นวิญญาณที่อยู่ตรงนั้นต่างพูดไม่ออก พวกเขาไม่ต้องการอยู่รับเคราะห์อีกต่อไป พวกเขาคาดเดาไม่ได้แล้วว่าถัดจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น มองดูพลังสุดแกร่งสองขุมพุ่งปะทะกันอย่างรุนแรงแล้ว ความกลัวก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา
“เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า!”
“ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิแล้วยังไง บิดาจะทุบฟาดเจ้าจนกว่าจะจมดินเอง….”
“ลงมา!”
บนท้องฟ้า รัศมีเปลวเพลิงสีม่วงได้แทรกซึมเข้าไปในหมู่เมฆก่อเกิดเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ เมื่อสิ้นเสียงคำว่า ‘ลงมา’ สายฟ้าเส้นใหญ่ก็ฟาดผ่าลงมาด้วยพลังทำลายล้างมหาศาล………
ในเวลาเดียวกัน ทวนสวรรค์ในมือเทพสงครามทมิฬก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับจะฉีกแบ่งแผ่นฟ้า
พลังทั้งสองขุมปะทะกันอย่างรุนแรง………
ท้องฟ้ามืดหม่น โลกาอับแสง เสียงกรีดร้องดังให้ได้ยินทุกหนแห่ง เมืองขอบนภาในเวลานี้คล้ายกับเผชิญหายนะแห่งวันสิ้นโลก
ครืน ครืน ครืน………………
ทุกสิ่งที่สายฟ้าแล่นผ่านล้วนแต่กลายเป็นฝุ่นผง ฉินเทียนไม่สนใจเรื่องยิบย่อยเหล่านี้ เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า ยามเมื่อใช้ออก มันจะหยุดไม่ได้อีก และเมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวเขาคงกลายเป็นปีศาจใจเหี้ยมที่สังหารหมู่ผู้คนแล้ว
“ค่าบาป +1 , ค่าบาปปัจุบัน 56…….”
“ค่าบาป +1 , ค่าบาปปัจุบัน 198…….”
“ค่าบาป +1 , ค่าบาปปัจุบัน 598…….”
…………………………………
ค่าบาปของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่ผู้บริสุทธิ์ล้มตายลง ฉินเทียนหน้าขาวซีด และไม่ต้องการจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตามหากว่าเขาไม่ทำ เปลวเพลิงสีเข้มของหยางฮงก็จะกลืนกินคนเหล่านั้นเข้าไปอยู่ดี
รัศมีเปลวเพลิงนั้นกลืนกินทุกสรรพสิ่ง กระทั่งรัศมีสีม่วงที่เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าปล่อยออกมาก็ยังต้านทานไว้ไม่อยู่ แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาทำให้ฉินเทียนต้องรีบสงบจิตใจป้องกันห้วงความคิด
“รับความตายเสีย!” เปลวเพลิงของหยางฮงเพียงอ่อนแรงลงกึ่งหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าเส้นใหญ่ ความโกรธภายในกายก็ทบทวี จะปล่อยให้ฉินเทียนมีชีวิตรอดไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับการปล่อยเสือคืนสู่ป่า สำหรับกับตัวตนที่แข็งแกร่งตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ เขาจะหลายเป็นหอกข้างแคร่ของอาณาจักรขอบนภาในอนาคต
ฉินเทียนต้องตาย
จะให้เขามีโอกาสไม่ได้เป็นอันขาด
นามกรของตระกูลหยางจะล้ำค่าดุจทองคำ หยางฮงและบุตรชายทั้งสี่จะเฉิดฉาย
หยางฮงกลายเป็นบอสมนุษย์ที่ทรงพลังที่สุดที่ฉินเทียนเคยเจอ
“ทนไม่ไหวแล้วรึ?”
“ตายไปแล้วงั้นรึ?”
“ถล่มโครตเหง้าเจ้าสิ!…………”
ฉินเทียนคำราม เขาหยิบโอสถออกมากรอกใส่ปากอย่างบ้าคลั่ง และกระทั่งกลืนแก่นเข้าไปอีกแก่น แก่นทั้งสามภายในร่างหมุนเร็วขึ้น ด้วยการฟื้นฟูจากแก่นสัตว์อสูร และโอสถ พลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว……….
เผชิญกับแรงกดดันจากหยางฮง ฉินเทียนก็ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง การรับรู้ของกลิ่นอายนักล่าพลันถูกเร่งขึ้น ชุดเกราะปีศาจโลหิตสงครามปรากฏขึ้นสวมทับร่าง และกระดิ่งเบี่ยงวิญญาณก็หมุนรอบเองจะแทบจะกลายเป็นลูกข่าง……
เผชิญหน้ากับแรงกดดันที่โถมทับ ฉินเทียนรู้สึกราวกับโลกกำลังจะถล่มลงมา
ครืน………….
เสียงสายฟ้าดังขึ้นอีกระลอก
พรูด…..
ฉินเทียนกระอักโลหิตขณะที่ร่างปลิวกระเด็นจากหมัดของหยางฮง เขาทนไม่ไหวแล้ว พลังมังกรพิสุทธิ์พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะรักษาชีวิตเจ้านายเอาไว้……….
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก………..
เมื่อร่างร่วงกระแทกเศษหิน ฉินเทียนก็หอบหายใจอย่างหนัก แววตาของเขาฉายแววคลั่งแค้นถึงขีดสุด เขามองหยางฮงที่ย่างสามขุมใกล้เข้ามา เขารวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ฝืนลุกขึ้นคำรามเป็นเชิงต้องการต่อสู้อีกครั้ง
“ฮ่าๆ…….”
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่รับไว้เอง ดังนั้นที่เหลืออยู่จึงมีเพียงตาย…..”
หยางฮงเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หากแต่ในใจยังตกตะลึงไม่หาย อานุภาพของสายฟ้านั่นช่างท้าทายสวรรค์นัก หากไม่ได้ชุดเกราะขั้นอมตะช่วยไว้ ตัวเขาเองก็คงยากจะต้านทาน ยิ่งคิดความคิดที่ต้องการสังหารฉินเทียนก็ยิ่งแน่วแน่ขึ้น
ช่องว่างระหว่างขั้นรวบรวมวิญญาณ และขั้นกลั่นวิญญาณนั้นกว้างใหญ่เกินไปแล้ว……
‘ผู้บ่มเพาะระดับสูงสุดขั้นกลั่นวิญญาณแข็งแกร่งเกินไป หากข้าบรรลุขั้นกลั่นวิญญาณ ข้าเองก็จะสามารถดึงพลังฟ้าดินมาใช้ได้ และหยางฮงก็คงตายโดยไร้ที่กลบฝัง…..’ ฉินเทียนคิดขึ้นอย่างโกรธแค้น เขามองหยางฮงอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
“เครื่องรางโปรดวิญญาณ……..”
เสียงที่เบาสบายเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น แสงสีทองสายหนึ่งส่องลงมาจากฟ้าและรัดร่างเทพสงครามทมิฬเอาไว้จนไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
“ใครกัน ฝีมือของใครกัน?” หยางฮงคำรามขึ้นฟ้า หากแต่ไม่มีคำตอบกลับมา ในขณะที่เขาหันกลับไปทางด้านหลัง ฉินเทียนก็หายไปแล้ว…….
หยางฮงคำรามอย่างบ้าคลั่ง พลังของเทพสงครามทมิฬถีบทะยานขึ้นสูง หากแต่แสงสีทองนั้นกลับหายไปแล้ว…….
คอมเม้นต์