Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 72
ตอนที่ 72 ก่อนจะช่วยคน
มู่อี้กลับมาที่มณฑลหลินอานและนอนพักผ่อนตลอดทั้งคืน ในตอนนี้พลังแห่งจิตใจของเขาฟื้นฟูจนเกือบจะกลับมาปกติแล้ว
สำหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ นางเข้าไปอยู่ในธงราชันย์แห่งวิญญาณก่อนเป็นการชั่วคราว
หลังจากได้ทำความเข้าใจอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งมู่อี้ก็สามารถควบคุมธงราชันย์แห่งวิญญาณขั้นพื้นฐานได้และในตอนนี้ฉือกุยก็ตายไปแล้ว เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าธงราชันย์แห่งวิญญาณจะถูกแย่งชิงกลับไปอีก
และในตอนนี้ธงราชันย์แห่งวิญญาณก็ได้ดูดวิญญาณจำนวนมากเข้าไปภายในนั้นรวมถึงยังมีวิญญาณอาฆาตอีกด้วย หากเนี่ยนหนิวเอ้อร์สามารถดูดซึมดวงวิญญาณภายในธงราชันย์แห่งวิญญาณทั้งหมดได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อนางอย่างแน่นอน
ในเช้าวันถัดมาเซี่ยเหมี่ยวก็นำข่าวที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านร้างมารายงานให้เขาฟัง เมื่อคืนนี้หมู่บ้านร้างแห่งนั้นถูกเผาจนวอดวายโดยไม่มีร่องรอยของผู้ที่วางเพลิงเลย
หลังจากที่ได้ทราบข่าวเรื่องนี้มู่อี้ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเพราะเขารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ที่ลงมือวางเพลิงต้องเป็นหญิงชราคนนั้นที่เป็นผู้พิทักษ์วิญญาณอย่างแน่นอน
เดิมทีเขาไม่ได้คิดว่าเซี่ยเหมี่ยวจะไปที่นั่น แต่ในตอนนี้แม้เขาจะไม่ประหลาดใจเมื่อได้ทราบข่าวเรื่องนี้แต่เขาก็รู้ว่าหญิงชราคนนั้นสามารถสร้างปัญหาให้กับเขาได้มากมายเพียงใด โชคดีที่ความสัมพันธ์ของผู้พิทักษ์วิญญาณกับฉือกุยไม่ได้ถือว่าใกล้ชิดกันมากนัก มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่รีบหนีไปแบบนั้นและต้องต่อสู้กับมู่อี้จนตัวตายอย่างแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่
เพราะในตอนนั้นพลังแห่งจิตใจของมู่อี้กำลังจะหมดไปแล้วและยันต์ของเขาก็แทบจะหมดแล้วด้วยเช่นกัน สำหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์นั้นนางทำได้เพียงถ่วงเวลาเอาไว้ได้เท่านั้น
ถ้าหากศัตรูต้องการสังหารมู่อี้จริงๆ เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ไม่มีทางหยุดได้เลย
ยังโชคดีที่ศัตรูรู้สึกหวาดกลัวต่อมู่อี้และรีบหนีไป หญิงชราไม่รู้ว่าในตอนนั้นมู่อี้หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีแล้ว
บางทีนางอาจจะเข้าใจสถานการณ์ได้ภายหลังแต่ในตอนนั้นมู่อี้ก็รีบหนีกลับเข้ามาที่มณฑลหลินอานพร้อมกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์แล้ว นางจึงทำได้เพียงเผาหมู่บ้านร้างแห่งนั้นด้วยความโกรธเท่านั้น
เพราะนางย่อมรู้ดีว่ามู่อี้ไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆแน่นอน มู่อี้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่นางพยายามทำก่อนหน้านี้และอาวุธวิญญาณของนางยังถูกมู่อี้ช่วงชิงไปด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นนางคิดว่าถ้าหากนางยังไม่รีบหนีไปและรอให้มู่อี้เข้ามาประชิดตัวได้อีกครั้งคงเป็นเรื่องที่โง่มากอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นประตูที่จะนำไปสู่ความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจของมู่อี้นั้นได้เปิดออกแล้ว ตราบใดที่เขามีเวลามากพอเขาย่อมข้ามผ่านไปได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแม้ว่าผู้พิทักษ์วิญญาณอยากจะล้างแค้นมากแค่ไหน มู่อี้ก็คงไม่เก็บมาสนใจอีกต่อไป
สิ่งสำคัญต่อไปคือการตามหาซูจินหลุน ถ้าหากเขาคิดไม่ผิดซูจินหลุนน่าจะอยู่ในมือของกลุ่มโจรภูเขาในตอนนี้เพราะซูจินหลุนเป็นเพียงตัวล่อที่ฉือกุยใช้ล่อให้มู่อี้ออกมาติดกับดักเท่านั้น
แต่สำหรับกลุ่มโจรภูเขานั้นหลีหู่กลับคิดต่างออกไป ในฐานะที่ซูจินหลุนเป็นทายาทสืบตระกูลเพียงคนเดียวย่อมมีความสำคัญต่อตระกูลซูอย่างยิ่ง
หลีหู่และฉือกุยได้ร่วมมือกันขโมยทรัพย์สินจากเจ็ดตระกูลที่มั่งคั่งภายในมณฑลนี่แสดงให้เห็นถึงความโลภและความทะเยอทะยานของเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องการเงินเป็นจำนวนมากในตอนนี้ แม้ว่าตระกูลซูจะไม่ได้มีอำนาจมากมายในสังคมหรือมีชื่อเสียงที่โด่งดัง แต่เมื่อพูดถึงตระกูลซูแล้วผู้คนมากมายย่อมรู้จักตระกูลซูแห่งเมืองฟุเนียวเป็นอย่างดี
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วย่อมเป็นปกติที่หลีหู่จะรู้สึกสนใจตระกูลซูขึ้นมาทันที
เพราะไม่ว่ายังไงเมื่อหลีหู่และฉือกุยได้จับตัวซูจินหลุนมาแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ล่วงเกินตระกูลซูแล้ว ในเมื่อล่วงเกินไปแล้วพวกเขาก็ไม่สนใจอีกต่อไปว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเองหรือไม่และสนใจเพียงแค่ผลประโยชน์ที่จะได้รับเท่านั้น
แน่นอนว่าถ้าหากฉือกุยสามารถทำลายตระกูลซูอย่างที่พูดเอาไว้ได้ผลที่ตามมาก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่แม้ว่าฉือกุยจะล้มเหลวตราบใดที่ซูจินหลุนยังอยู่ในมือของเขา ก็ยังถือว่าเขาเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้วหลีหู่ก็พาตัวซูจินหลุนกลับไปที่หมู่บ้านของเขาก่อน
และตราบใดที่หลีหู่ไม่โง่จนเกินไป เขาจะต้องส่งคนไปจับตาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านร้างอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้หลีหู่จะต้องทราบข่าวที่เกิดขึ้นนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ตราบใดที่หญิงชราผู้พิทักษ์วิญญาณยังไม่ได้ไปที่ภูเขาเสี่ยวหาน เขาย่อมไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรและยังไม่รู้ว่ามู่อี้นั้นเป็นหรือตาย
แต่มู่อี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่อาจประวิงเวลาได้อีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้นซูจินหลุนอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้
แต่ก่อนที่เขาจะออกไปช่วยเหลือซูจินหลุนนั้น มู่อี้ตัดสินใจไปพบคนคนหนึ่งก่อน
ผู้พิพากษาของมณฑลหลินอาน กูเหยาเซิน
ในฐานะที่เขาเป็นประมุขของมณฑลแห่งนี้มู่อี้เชื่อว่าอีกฝ่ายย่อมทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะซูจินหลุนก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเขาย่อมรู้ว่ามู่อี้พยายามแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าหากเรื่องพวกนี้เขายังไม่ทราบอีกเขาก็คงไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขของมณฑลแห่งนี้แล้ว
ในทำนองเดียวกันมู่อี้ก็เชื่อว่าตราบใดที่กูเหยาเซินไม่โง่จนเกินไป เขาย่อมพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือซูจินหลุนอย่างแน่นอนแล้วเรื่องที่ตระกูลที่มั่งคั่งทั้ง 7 ตระกูลถูกขโมยสมบัติไปก็เป็นการดูแลของเขาเช่นเดียวกัน
เมื่อก้าวเข้ามาภายในเมืองมู่อี้ก็มีคนมาเชิญตัวเขาไปทันที เห็นได้ชัดว่ากูเหยาเซินทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ดีอยู่แล้ว
กูเหยาเซินกำลังรอคอยมู่อี้อยู่ที่สวนหลังบ้านของเขา นี่แสดงให้เห็นว่ากูเหยาเซินแสดงความเคารพต่อเขามากแค่ไหน
ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมู่อี้และตระกูลซูเลย เพียงแค่เรื่องที่เขาช่วยเหลือเผิงซ่งหลายก็มากพอที่จะทำให้กูเหยาเซินเห็นความสำคัญของมู่อี้แล้ว
ในตอนที่มู่อี้ก้าวเข้ามาในสวนหลังบ้านนั้น เขาก็เห็นคน 3 คนอยู่ที่นี่เป็นผู้ชาย 1 คนและผู้หญิง 2 คน
1 ใน 3 คนนั้นเป็นคนที่มู่อี้เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนอีก 2 คนที่เหลือเขาก็พอคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
ชายคนนั้นดูมีอายุประมาณ 30-40 ปี เขามีใบหน้าเหลี่ยมและผิวพรรณเรียบเนียนที่ปราศจากริ้วรอยใดๆ ดวงตาทั้งสองของเขากระจ่างใส เมื่อมู่อี้ปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่มู่อี้ทันที
แม้ว่าเขาจะยืนอยู่เฉยๆแต่ก็รับรู้ได้ถึงความน่าเกรงขามได้อย่างชัดเจน
ถ้าหากคนธรรมดาถูกผู้พิพากษาคนนี้จ้องมองตรงๆจะต้องตัวสั่นใจสั่นอย่างแน่นอน แต่มู่อี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าในยุคนี้จริยธรรมของภรรยาจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป แต่การที่ภรรยาของผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่ออกมาต้อนรับแขกนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและมันคงไม่ใช่เรื่องดีนักถ้าหากเรื่องราวเช่นนี้ถูกบอกต่อออกไปภายนอกบ้าน หลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาที่ภรรยาทุกๆคนต้องปฏิบัติตามนั้นยิ่งใหญ่ดุจภูเขาที่กดทับหญิงสาวทุกๆคนในยุคนี้เอาไว้
( หลัก “สามเชื่อฟัง”(三从)ประกอบด้วย
- 未嫁从父 หมายถึง สตรีที่ยังไม่ออกเรือนให้เชื่อฟังบิดา
- 既嫁从夫 หมายถึง สตรีที่ออกเรือนแล้วให้เชื่อฟังสามี
- 夫死从子 หมายถึง สตรีที่สามีเสียชีวิตให้เชื่อฟังบุตรชาย
ส่วนหลัก “สี่จรรยา”(四德)ประกอบด้วย
- ประพฤติงดงาม(妇德)คือ รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม
- วาจางดงาม(妇言)คือ พูดจาสุภาพไพเราะและรู้จักกาลเทศะ อีกทั้งต้องไม่พูดคำเท็จ คำนินทา คำด่าทอ คำเพ้อเจ้อ และคำยุแยง
- หน้าตาและกิริยางดงาม(妇容)คือ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าเรียบร้อย สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดตา กิริยามารยาทสำรวมและสุภาพอ่อนโยน
- งานฝืมืองดงาม (妇功)คือ เชี่ยวชาญงานบ้าน งานครัว งานเย็บปักถักร้อย และรู้จักขยันอดทน ประหยัดมัธยัสถ์ ดูแลปรนนิบัติสมาชิกในครอบครัวอย่างดี )
ในฐานะที่กูเหยาเซินก็ถือเป็นบัณฑิตคนหนึ่งและภรรยาของเขาก็ถือเป็นหญิงสาวที่งดงาม ไม่ใช่ว่านางตั้งใจจะทำเรื่องที่ผิดพลาดเช่นนี้แต่ใครจะคิดกันว่ามู่อี้ยังเป็นคนที่แปลกประหลาดมากขนาดนี้และอายุของเขาอย่างน้อยมากจนน่าตกใจด้วย
ในสมัยนี้นักพรตเต๋าต่างก็ได้รับสิทธิพิเศษมากมาย และบางครั้งแม้ว่าพวกเขาจะทำอะไรผิดไปผู้คนก็จะมองเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“เขาคงไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะหรอกใช่ไหม? แต่ความสงบนิ่งของเขาไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปเลย” กูเหยาเซินรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น
เขาไม่เคยพบกับนักพรตเต๋าเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจของเขาไม่ว่าใครต่างก็ต้องสั่นกลัวและระมัดระวังตัวแม้ว่าจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมายก็ตาม
มีเพียงมู่อี้เท่านั้นที่ยังมีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ กูเหยาเซินรู้สึกสนใจในตัวนักพรตเต๋าน้อยคนนี้มากแล้ว
“ท่านนักพรตเต๋า พวกเราได้พบกันอีกแล้ว” หลังจากที่กูเหยาเซินพูดจบ หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเขาก็ก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยและทำความเคารพมู่อี้พร้อมกับพูดออกมาเบาๆ
หญิงสาวคนนี้คือลูกสาวคนเล็กของเผิงซ่งหลาย เผิงมี่ และนางยังเป็นน้องสะใภ้ของกูเหยาเซินด้วยเช่นกัน
ส่วนหญิงสาวที่งดงามอีกคนที่อยู่ข้างๆนางก็ต้องเป็นภรรยาของกูเหยาเซินอย่างแน่นอน
คอมเม้นต์