Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke – บทที่ 12 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (12)
บทที่ 12 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (12)
ซูอี้อี้และพรรคพวกถูกลงโทษด้วยการให้กล่าวคำขอโทษต่อฉีเซิงเบื้องหน้านิสิตนักศึกษาทุกคนในพิธีเปิดการศึกษา เรื่องนั้นทำให้ซูอี้อี้โกรธจัดจนแทบกระอักเลือด ‘คนขี้ขลาดพวกนี้!! แค่ไม่อยากผิดใจกับซวีเฉิงเยว่ใช่ไหม? พวกเขาถึงได้มารังแกคนไม่มีทางสู้อย่างฉัน!’
เหตุการณ์ในวันนั้น ด้วยเพราะมีพยานรู้เห็นหลายคน ประกอบกับเธอเองก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง เรื่องที่ซูอี้อี้พยายามจะป้ายความผิดให้คนอื่นจึงถูกพูดกระจายปากต่อปากไปทั่วมหาลัย ชื่อเสียงที่เธอเพียรสั่งสมมาย่อมถูกทำลายลงหมดสิ้นด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนก็ต้องเผชิญกับคนชี้นิ้วซุบซิบนินทา นั่นยิ่งทำให้ความเกลียดชังที่มีต่อซวีเฉิงเยว่ของซูอี้อี้เพิ่มมากขึ้นไปอีก มากถึงขนาดว่าแค่ได้ยินชื่อหรือนึกถึงฉีเซิงก็ทำให้เธอปวดรากฟันจี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น หากคิดว่าเรื่องที่เธอใส่ความซวีเฉิงเยว่จะทำให้ชีวิตของซูอี้อี้แย่ลงแล้ว เรื่องที่เธอทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับหลิงฮ่าวจนมากเกินควร จนนักศึกษาหญิงบางคนในมหาลัยที่ชอบหลิงฮ่าวไม่ชอบใจเธอมากนัก ยิ่งทำให้ชีวิตของซูอี้อี้ยิ่งเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามต่อให้ชีวิตของซูอี้อี้ยากลำบากขนาดไหนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ เพราะหลิงฮ่าวติดธุระจึงไม่ได้มาที่มหาลัย ส่วนหนานกงจิ่งก็ต้องไปต่างประเทศเพราะได้รับมอบหมายงานจากทางบริษัท
เช่นเดียวกับชื่อเรียก ‘อีหนูของผู้มีอิทธิพล’ เมื่อมีข่าวลือเรื่องที่ฉีเซิงมีคนอุปถัมภ์แพร่ออกไป ชื่อนี้ก็กลายเป็นชื่อที่ผู้คนใช้เรียกลับหลังเธอ หรือไม่ก็เป็นคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการนินทาแทน
เพราะถูกลงโทษประจานจนอับอาย ความเกลียดชังของอันอันและเซี่ยหนิงที่มีต่อฉีเซิงจึงเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเธอไม่มีความกล้าที่จะไปทะเลาะกับฉีเซิงซึ่งๆหน้าอีก พวกเธอจึงทำได้แค่ปากเก่ง ปล่อยข่าวลือและนินทาฉีเซิงลับหลังเท่านั้น เพราะพวกเธอไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับทนายความของฉีเซิงอีก
ในช่วงเวลาเดียวนั้นฉีเซิง ก็กำลังยุ่งอยู่กับการหาหอพักใหม่ ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องไร้สาระกับคนพวกนั้น เธอรู้สึกว่าหากต้องอยู่ร่วมกับซูอี้อี้และพรรคพวกต่อไป เธอต้องตายด้วยความขยะแขยงไม่วันใดก็ได้
และราวกับว่าเทพีแห่งโชคลาภจะเข้าข้างเธอเสียที ในที่สุดเธอก็ได้เจอกับ อพาร์ตเมนต์ของนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อพาร์ตเมนต์แห่งนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยของเธอมาก ฉีเซิงจึงตัดสินใจเช่ามันทันที ไม่มีความลังเลให้เห็นในการตัดสินใจของเธอแม้แต่น้อย เนื่องจากอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ต้องรีโนเวทใหม่ก่อนที่เธอจะย้ายเข้าไปอยู่อาศัย ดังนั้นเธอจึงติดแหงกอยู่ที่หอของมหาวิทยาลัยไปอีกสักพัก
ฉีเซิงเดินลงมาข้างล่างหลังจากที่จัดการเรื่องการชำระเงินเสร็จ แต่ก่อนที่เธอจะออกจากที่นั่นนั้น สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับคนสองคนที่กำลังโอบกันเข้ามา สองคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุด…..หนานกงจิ่งและซูอี้อี้
ฉีเซิงจึงทำได้แค่เพียงขูดผนังแกรกๆในใจ ‘บังเอิญซะจนน่าโมโห!’ ทำไมฉันต้องเจอกับเจ้าพวกนี้ในทุกที่ ที่ฉันไปด้วย? ไอ้พล๊อตเรื่องเฮงซวยเอ๊ย!! นายจะให้ฉันอยู่อย่างสงบๆไม่ได้บ้างหรือยังไง นี่นายคิดจะเป็นศัตรูกับฉันใช่ไหมห๊ะ?!!
“ซวีเฉิงเยว่ เธอไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ที่ทำตัวเป็นวิญญาณอาฆาตตามติดพวกฉันไปทุกที่เนี่ย?” หนานกงจิ่งให้สายตาอันแสนเย็นชา จ้องมองไปยังผู้หญิงที่กำลังขวางทางเดินของพวกเขาอยู่ เขาเชิดคางขึ้นสูงและปรายตามองเธอ ราวกับว่าเขาคือกษัตริย์ ส่วนเธอคือราษฎรภายใต้อาณัติของเขา
‘วิญญาณอาฆาตบ้านป้านายสิไอ้กร๊วก! นายคิดว่าฉันอยากจะเห็นหน้านายนักเรอะ?’
ฉีเซิงตวัดสายตามองซูอี้อี้ผู้ซึ่งกำลังแสดงตัวราวกับต้องการให้หนานกงจิ่งเป็นที่พึ่งพิง เพื่อบรรเทาความหวาดกลัวของเธอ แม้ว่าในแววตาของเธอจะฉายแววประกาศชัยชนะอย่างชัดเจน
“คุณซวี ฉันต้องขอโทษสำหรับเรื่องในครั้งก่อนด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งที่กล่าวหาคุณจริงๆนะคะ เพราะตอนนั้นหัวของดิฉันโดนกระแทก ดิฉันก็เลยรู้สึกมึนๆ เลยทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องนักว่าพวกเขากำลังว่าร้ายคุณอยู่ ดิฉันได้ขอโทษคุณต่อหน้าคนทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว ดิฉันหวังว่าคุณคงจะให้อภัย…” เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ซูอี้อี้เปิดปากพูด เธอมักจะพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ราวกับว่าเธอเสียใจอย่างสุดซึ้งตลอดเวลา
‘โอ้ ดูแม่นี่สิใช้คำพูดกำกวมเบอร์ไหน สามารถใช้คำพูดจัดการกวาดความผิดออกจากตัวเองได้อย่างหมดจด พี่สาวคนนี้ต้องขอกดไลค์ให้เธอสักพันครั้ง!’
ได้ยินซูอี้อี้เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ใบหน้าของหนานกงจิ่งยิ่งแข็งกระด้าง ก่อนเขาจะพูดกับฉีเซิงด้วยน้ำเสียงหมดคามอดทน “ซวีเฉิงเยว่ ย้ายข้าวของของเธอออกจากหอไปซะ!”
“หนานกงจิ่ง นายดูละครน้ำเน่ามากเกินไปใช่ไหม?”
‘ย้ายของออกบ้านแม่นายสิ! นายเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยเรอะ ฉันถึงต้องย้ายออกเพราะคำสั่งของนายห๊ะ?’
ได้ยินที่ฉีเซิงย้อนถาม เส้นเลือดบนขมับของหนานกงจิ่งก็เต้นตุ๊บๆ “อย่าคิดจะลองดีกับฉัน!”
“อ๊า… ตัวฉันเองยังไม่เคยคิดจะลองดีกับนายเลยสักครั้งน่ะ ฉันว่านายลองถามเพื่อนสาวซูอี้อี้ของนายดูก่อนดีไหม เขาต่างหากที่น่าจะอยาก ‘ลองดี’กับความอดทนของนาย” ฉีเซิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์
ทีแรกซูอี้อี้ยังไม่เข้าใจความนัยของฉีเซิง แต่หลังจากวิเคราะห์แล้วนั้น ใบหน้าของเธอก็แดงซ่าน ไม่รู้เพราะว่าโกรธหรืออายกันแน่
“ทำไมถึงได้ทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ซวีเฉิงเยว่? หลายปีที่ผ่านมาลุงซวีเป็นคนสอนให้เธอหน้าหนาหนาทนขนาดนี้หรอ? ” หนานกงจิ่งโกรธจัด เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่เคยไล่ตามตื้อเขาแทบเป็นแทบตายคนนั้นจะกล้าพ่นคำพูดพวกนี้มาใส่หน้าเขา
“เหรอ? แต่ฉันคิดว่าหนังหน้าของฉันน่าจะบางกว่าของนายเยอะน่ะ” ฉีเซิงมองเขาด้วยท่าทางใสซื่อ “ดูสิ อย่างน้อยฉันก็ไม่ใช่คนถูกจับได้คาเตียง ตอนกำลังคั่วกับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าคู่หมั้นของตัวเองก็แล้วกัน ฉันพูดถูกไหม?”
‘เสียดายจริงๆ ตอนนั้นฉันน่าจะเรียกคนให้ไปดูให้มากกว่านี้’
หนานกงจิ่งอึ้งพูดไม่ออก
“คุณซวี พูดเกินไปแล้วนะคะ!” ซูอี้อี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่คลอไปด้วยน้ำตา “ฉันทราบค่ะว่าการที่ฉันคบกับจิ่งมันทำให้คุณรู้สึกแย่ แต่เรื่องของหัวใจ มันไม่ใช่เรื่องที่จะบังคับกันได้หรอกนะคะ คุณต้องการให้ฉันทำยังไง คุณถึงจะพอใจแล้วปล่อยฉันไปซักที?!”
“เกินไป? ถ้าเธอไม่ทำตัวอย่างนั้นเสียตั้งแต่ทีแรก คนอย่างฉันจะกล้าพูดจา ‘ล่วงเกิน’ เธอด้วยเรื่องแบบนั้นได้ยังไง?”
‘ให้ตายเถอะ!! เห็นชัดๆกันอยู่ว่า พวกนายต่างหากที่ไม่ปล่อยฉันไปซักที!!’
ซูอี้อี้สะอึก เธอจึงช้อนสายตามองไปที่หนานกงจิ่ง ดวงตาที่คลอไปด้วยหยดน้ำตาของเธอ กระตุ้นความรู้สึกอยากที่จะปกป้องของเขาให้พุ่งพล่าน
“พอได้แล้ว!!” หนานกงจิ่งปรามฉีเซิงเสียงเข้ม “ซวีเฉิงเยว่ ครั้งนี้ฉันจะเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่มีวันชอบคนอย่างเธอ เพราฉะนั้นยอมแพ้ แล้วก็เลิกสร้างปัญหาให้กับอี้อี้ได้แล้ว ไม่อย่างงั้นฉันไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่!”
ฉีเซิงหัวเราะ เป็นเชิงเยาะเย้ยคำพูดของเขา ‘ถ้าเลือกได้ ฉันขอไปต่อรองกับคนวิปริตอย่างฉู่ถาง ยังจะดีซะกว่ามาเสียเวลากับไอ้หมอนี่ อย่างน้อยเจ้าวิปริตฉู่ก็ยังดีกว่าคนหลงตัวเองอย่างหนานกงจิ่งเยอะ’
“อย่าตีค่าตีราคาตัวเองสูงเกินไปนักเลยหนานกงจิ่ง” ฉีเซิงหยุดก่อน ก่อนจะใช้สายตาเหยียดหยามของเธอมองไปที่ซูอี้อี้ “อันที่จริงสายตาของนาย ก็ใช่ว่าจะดีเด่สักเท่าไหร่น่ะ เฮ้อ… เมื่อก่อนฉันคงตาบอดแน่ๆ ถึงได้ไปชอบคนอย่างนาย แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ฉันรักษาตาคู่นี้จนหายดีแล้ว ดังนั้นฉันไม่มีทางเหลือบมองนายเกินความจำเป็นแน่ๆ เพราะฉันกลัวว่าถ้ามองนายแล้ว เชื้อโรคมันจะกระเด็นเข้าตาน่ะ”
‘แม่นี่กำลังแขวะฉันทางอ้อม!’ ซูอี้อี้คิดอย่างเกลียดชัง
อย่างไรก็ตามในหัวของหนานกงจิ่งกลับมีแค่ประโยคที่ว่า ‘ตีค่าตัวเองสูงเกินไป’ วนเวียนอยู่ข้างใน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าประโยคนี้จะถูกนำมาใช้กับผู้ชายที่ทั้งหล่อและรวยอย่างเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพวกนั้นดันมาจากซวีเฉิงเยว่ คนที่เคยตามตื้อเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ฉีเซิงเดินผ่านพวกเขาสองคนพลางโบกมือลา “ระวังไว้ให้ดีล่ะ อย่าให้อย่าให้แม่ดอกไม้ขาวของนาย กลายเป็นดอกซิ่งที่ยื่นข้ามกำแพงก็แล้วกัน!”
เมื่อคิดว่าหนานกงจิ่งและซูอี้อี้อาจจะมีที่พักอยู่ไม่ไกลจากที่ อพาร์ตเมนต์ที่เธอเพิ่งเช่านัก เธอจึงตัดสินใจยกเลิกการที่จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกในทันที ‘หนานกงจิ่ง’ นายอยากให้ฉันย้ายออกจากหอพักมากนักใช่ไหม? แล้วทำไมฉันต้องเชื่อฟังคำสั่งของนายด้วยละ?
ด้วยเหตุนี้ฉีเซิงจึงยังคงปักหลัก พักอยู่ในหอพักของทางมหาวิทยาลัยต่อไปอีก การที่ได้เห็นสามคนนั้นโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแต่ก็ไม่สามารถเล่นงานเธอได้ มันก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ฉีเซิงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
ในคืนวันนั้นซูอี้อี้ไม่ได้กลับมานอนที่หอพัก เช้าวันถัดมาเธอกลับมาพร้อมใบหน้าที่เอิบอิ่ม เมื่อถูกถามจากอันอันและเซี่ยหนิง ซูอี้อี้ก็ตอบว่า ญาติพี่น้องของเธอเพิ่งมาเมืองนี้ เมื่อคืนเธอเลยนอนพักที่โรงแรมกับญาติๆ แต่เพียงแค่เธอไดยินเสียงหัวเราะในลำคอของฉีเซิงที่ทะลุขึ้นกลางปล้อง ซูอี้อี้ที่กำลังเล่าเรื่องของญาติๆอยู่ ก็หุบปากอย่างฉับพลัน
ในที่สุดคืนงานบอลก็มาถึง เด็กสาวสามคนในห้องเริ่มแต่งหน้าตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ ซูอี้อี้ไม่ได้สวมชุดราตรี ชุดที่คล้ายกับชุดที่เสี่ยวเหว่ยเคยส่งมา ชุดราตรีตัวใหม่ที่ซูอี้อี้กำลังสวมอยู่นั้น เป็นสีขาวเหมือนกัน แต่ชุดนี้จะมีความยาวมากกว่าชุดเจ้าปัญหานั่น และนั่นยิ่งส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ซูอี้อี้ดูเหมือนกับนางฟ้า
“อี้อี้ คืนนี้เธอดูสวยมากจริงๆ อ๊า….ฉันเสียดายจังที่ไปกับเธอไม่ได้” ใบหน้าของอันอันเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ขอโทษน่ะจ๊ะ อันอัน ฉันเองก็อยากให้เธอไปด้วยกัน แต่ว่า…..” แม้ว่าบนใบหน้าของซูอี้อี้จะแสดงออกว่าเสียใจ แต่ถ้าหากเพ่งดูดีๆแล้วล่ะก็ จะพบในแววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิด
อันอันส่งยิ้มก่อนส่ายหัวเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก เธอกับรุ่นพี่หลิงไปสนุกกันเถอะ”
แม้ว่าปากจะพูดอย่างนั้น แต่ภายในใจของอันอันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉาจนแทบกระอัก หากเธอสามารถไปร่วมงานเลี้ยงที่หอประชุมทางตะวันตกได้ ไม่แน่ว่าเธออาจจะได้พบเจ้าชายในฝันของเธอก็ได้
ระหว่างนั้นเซี่ยหนิงก็เปลี่ยนไปสวมชุดราตรีของเธอแล้วเช่นกัน
หลังจากพวกเธอสามคนพูดคุยหยอกล้อกันจนพอใจแล้ว สายตาของเซี่ยหนิงก็หยุดอยู่ที่ฉีเซิง ผู้ซึ่งทำตัวเอ้อระเหย และไม่มีสัญญานว่าจะลุกขึ้นมาเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น “เธอไม่ออกไปงานเลี้ยงหรอซวีเฉิงเยว่?”
“หนิงหนิง เธอไม่เห็นหรอว่ายัยนั่นไม่ได้รับบัตรเชิญสักกะใบ แถมยังไม่มีใครชวนไปงานเลี้ยงอีก แล้วยัยนี่จะเอาปัญญาที่ไหนไปเข้าร่วมงานเลี้ยงได้!” อันอันเอ่ยเยาะ
“พูดอะไรอย่างนั้น ยังไงเธอก็ยังสามารถไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่หอประชุมทางทิศใต้กับพวกเราได้น่ะ?”
“อย่าพูดเรื่องตลกนักเลยน่า ด้วย ‘สถานะ’ ของยัยนี่ หล่อนจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพวกเราได้ยังไงล่ะ นี่ซวีเฉิงเยว่ ทำไม่เธอไม่ลองออกไปยั่วผู้ชายสักคนตอนนี้ดูล่ะ? ไม่แน่ว่าอาจจะทันเวลาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่หอประชุมทางด้านทิศตะวันตกก็ได้น่ะ เรื่องยั่วผู้ชายนี่ น่าจะเป็นงานถนัดของเธอเลยนี่นา!” เซี่ยหนิงและอันอันรวมหัวกันพูดถากถางฉีเซิง
ฉีเซิงปิดหนังสือในมือของเธอ ก่อนจะหันไปมองพวกเธอด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “อา…นั่นสินะ กับอีแค่เรื่องเข้าร่วมงานเลี้ยงที่หอประชุมทางด้านทิศตะวันตก ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นสำหรับฉันนัก แต่กับคนอย่างพวกเธอนี่สิ เกรงว่าต่อให้จนจบการศึกษาก็คงไม่มีปัญญาแม้แต่ไปเหยียบ แม้แต่ทางเข้าประตูงานก็ได้น่ะ”
สีหน้าของอันอันและเซี่ยหนิงเปลี่ยนไปทันที ท้ายที่สุดแล้วอันอันก็อดไม่ได้ที่จะโต้กลับ “เธอมันก็แค่ผู้หญิงหากิน มีอะไรให้ภูมิใจกัน? เธอนี่มันไร้ยางอาย ไม่ละอายที่จะสู้หน้าคนอื่นบ้างเลยหรือไง”
“ถ้าฉันไม่มีหน้าตาแบบนี้ไปออกไปเจอกับคนอื่น แล้วฉันจะไปจับผู้ชายได้ยัง?”
อันอัน “………….”
สุดท้ายอันอันก็พ่ายแพ้ในสงครามนี้อย่างราบคาบ
เมื่อใครบางคนทำตัวไร้ยางอายอย่างน่าร้ายกาจ หากคุณไม่สามารถทำตัวไร้ยางอายได้เท่ากับเขา สิ่งเดียวที่คุณพอจะทำได้คือ อดทน……
คอมเม้นต์