Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke – บทที่ 13 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (13)

อ่านนิยายจีนเรื่อง Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke ตอนที่ 13 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 13 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (13)

ภายในหอประชุมทางทิศตะวันตกในคืนนี้ ถูกประดับตกแต่งในสไตล์ยุโรป แม้ว่าพื้นที่ในหอประชุมจะไม่กว้างมากนัก แต่ก็เหมาะสมกับจำนวนแขกที่มาเข้าร่วมในงานเลี้ยงพอดี เนื่องจากด้วยข้อกำหนดที่ว่าผู้ที่จะได้รับบัตรเชิญให้เข้าร่วมงานนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวที่มีความร่ำรวย 500 อันดับแรกของทั่วโลกเท่านั้น เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าลูกหลานของตระกูลเหล่านั้น ย่อมไม่ได้ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทุกตระกูล หรือต่อให้กำลังศึกษาอยู่ที่นี่ แต่บางคนก็ยังอาจจะอยู่ที่ต่างประเทศ ดังนั้นต่อให้นับจำนวนคู่ควงของผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมงานแล้ว จำนวนของคนในหอประชุมในค่ำคืนนี้ นับดูแล้วยังไม่ถึงหนึ่งร้อยคนเสียด้วยซ้ำ

 

ฉีเซิงเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้โดยไร้คู่ควง เธอเลือกที่จะยืนอยู่ในมุมเงียบๆเพียงคนเดียว เพื่อที่จะยืนสังเกตใบหน้าและท่าทางของคนในงาน

 

คนเหล่านั้นล้วนสวมหน้ากากเข้าหากัน ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากที่สวยงามนั้น พวกเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่?

 

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเธอปลีกตัวออกมาสังเกตการณ์อยู่ภายนอก ฉีเซิงกลับเห็นท่าที ที่แสดงออกถึงความรังเกียจ, หึงหวง, หรือ อิจฉา ริษยา ที่พวกเขาลอบแสดงออกอย่างชัดเจน เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สนใจ

 

“มองอะไรน่ะ? เห็นใจจดใจจ่อเสียเหลือเกิน” น้ำเสียงเย่อหยิ่งของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ข้างๆตัวเธอ

 

เจ้าของเสียงนั้นคือ เสี่ยวเหว่ย วันนี้เจ้าหล่อนอยู่ในชุดราตรีรัดรูป ที่เผยให้เห็นทรวดทรงอันอวบอิ่ม ใบหน้าอันสวยงามถูกประดับตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต เส้นผมถูกดัดเป็นลอนยาวสลวยราวกับคลื่นน้ำตก ด้วยรูปลักษณ์นี้ส่งผลให้ทุกความเคลื่อนไหวของเธอ เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน

 

ด้วยเพราะฉีเซิงเองก็ค่อนข้างจะเริ่มเบื่อกับงานเลี้ยงนี้แล้ว ฉีเซิงจึงเหลือบตามองเสี่ยวเหว่ย ก่อนจะเป็นคนเอ่ยปากเริ่มสนทนากับเธอ “เธอไม่คิดว่าพวกเขาน่าตลกเหรอ?”

 

“น่าตลกตรงไหนกัน?”

 

“ก็ที่เดินใสหน้ากากร่อนไปร่อนมาทุกวัน เธอไม่คิดว่าพวกเขาควรจะรู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ?”

 

เมื่อได้ยินคำถามเสี่ยวเหว่ยถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองไปยังไปยังฉีเซิงราวกับว่าเธอเพิ่งเจอสัตว์ประหลาด เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่ฉีเซิงใช้มองคนในงานอย่างกระตือรือร้น ขณะนั้นเองเธอก็รู้สึกราวกับว่าเธอไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ คนนี้เลย

 

แม้ว่าตัวเธอจะได้สนิทกับซวีเฉิงเยว่มากนัก ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของหนานกงจิ่ง แต่เธอก็ได้ส่งคนไปสือข้อมูลของศัตรูหัวใจอย่างซวีเฉิงเยว่มามากพอสมควร อย่างไรก็ตามเมื่อลองเปรียบเทียบข้อมูลดูแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าซวีเฉิงเยว่ที่อยู่ตรงหน้า กับ ซวีเฉิงเยว่ในรายงานที่ได้รับมาช่างดูแตกต่างราวกับว่าเป็นคนละคน

 

ตามรายงานเหล่านั้น ซวีเฉิงเยว่เป็นคนหยิ่งยะโสและเอาแต่ใจ เหตุเพราะถูกประคบประหงมจากบุพการี ราวกับเธอเป็นเจ้าหญิงน้อยๆอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ต่างจากทายาทตระกูลที่ร่ำรวยอื่นๆที่อยู่ในวัยเดียวกันนัก

 

แต่เด็กสาวผู้ที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของเสี่ยวเหว่ยตอนนี้กลับมีบรรยากาศแปลกๆ ที่ยากจะคาดเดากระจายอยู่รอบๆตัวของเธอแทน หากจะให้อธิบายอย่างจำเพาะเจาะจงก็พอจะนิยามได้ว่า…..เป็นความบ้าคลั่งภายในจิตใจที่พร้อมจะทำร้ายผู้คนอย่างไม่เลือกหน้า…

 

‘ทำไมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจเหมือนกับว่ายายนี่กำลังวางแผนเตรียมล้างแค้นสังคมและมวลมนุษยชาติ?’ เสี่ยวเหว่ยอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกกับความคิดของเธอเอง เธอเหลือบตามองเด็กสาวผู้ซึ่งใบหน้ายังคงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของฉีเซิงดูไม่ต่างจากแมวที่กำลังจับจ้องไปยังของเล่นที่น่าสนใจเลยสักนิด ท่าทางเช่นนี้ดูอันตรายตรงไหนกัน? เสี่ยวเห่ยปัดความคิดไร้สาระของเธอทิ้ง ดูเหมือนว่าเธอคงจะคิดมากไปจริงๆนั่นแหละ

 

“กำลังจะมีอะไรสนุกๆเกิดขึ้นที่นี่ เธอสนใจจะไปดูกับฉันไหม?” จู่ๆ ฉีเซิงก็เอ่ยปากชวนเสี่ยวเหว่ย

 

เสี่ยวเหว่ยบังคับตัวเองกดความรู้สึกประหลาดๆ ที่เธอได้ผลกระทบจากความคิดก่อนหน้านี้ลง ก่อนจะแสดงท่าทางดั่งนางพญาตามแบบฉบับเดิมของเธอต่อ “เธอหมายถึงอะไร?”

 

‘เรื่องสนุก? ยายนี่หมายถึงเรื่องอะไร?’

 

“เถอะน่า… ฉันรับรองว่าเธอจะต้องไม่ผิดหวัง”

 

เหตุผลเดียวที่เธอเอ่ยปากชวนเสี่ยวเหว่ยเป็นเพราะ เสี่ยวเหว่ยเป็นนางร้ายอับโชคที่มีจุดจบอย่างอนาถในเนื้อเรื่องเดิม

 

เสี่ยวเหว่ยใช้เวลาคิดไม่นานนัก เธอก็พยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงตอบรับ เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าซวีเฉิงเยว่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่

 

สายตาของซวีเฉิงเยว่จ้องมองไปยังซูอี้อี้ที่กำลังยืนควงแขนอยู่กับหลิงฮ่าว ดูจากท่าทางการสนทนาของพวกเขาแล้ว พวกเข้าน่าจะกำลังสนุกสนานกันอยู่ไม่น้อย เมื่อหลิงฮ่าวพูดอะไรสักอย่างออกมา ก็ทำให้ซูอี้อี้หลุดหัวเราะออกมาอยู่บ่อยครั้ง นั่นจึงส่งผลให้เด็กสาวที่ยืนอยู่ถัดไปจากซูอี้อี้ริษยาเพิ่มมากขึ้น สายตาของเธอแข็งกร้าวราวกับว่าปรารถนาจะให้สายตาของเธอสามารถใช้ฆ่าคนได้ ซึ่งถ้าหากสายตาของคนสามารถฆ่าคนตายได้ ซูอี้อี้คงไม่แคล้วตกตายด้วยสายตาของเธอไปหลายครั้งแล้ว

 

เมื่อซู่อี้อี้และหลิงฮ่าวผละออกจากกัน ฉีเซิงก็เดินออกมาจากมุมของเธอ เธอเดินนำเสี่ยวเหว่ยเข้าไปในกลุ่มคน และ เธอไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินเอื่อยๆ ฝ่ากลุ่มคนไปอย่างไร้จุดหมาย อาจจะมีการพยักหน้าเป็นเชิงทักทายบ้าง เมื่อเธอเจอพบคนที่รู้จัก นั่นยิ่งทำให้เสี่ยวเหว่ยรู้สึกสงสัยยิ่งขึ้นไปอีกว่า จุดประสงค์ของฉีเซิงคืออะไรกันแน่

 

“ซูอี้อี้ นี่เธอตั้งใจชนฉันสินะ!”

 

“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่คิดว่าจู่ๆ คุณจะหันกลับมา ก็เลย…..” ซูอี้อี้รีบกล่าวขอโทษขอโพย

 

“ช่างเถอะ หยุดพูดแล้วหยิบกระเป๋ากลับขึ้นมาให้ฉันซะ” เด็กสาวชี้ไปยังกระเป๋าถือของเธอซึ่งหล่นอยู่บนพื้นพลางแสดงท่าทีราวกับจะสื่อว่า ‘ฉันไม่อยากจะลดตัวลงไปยุ่งกับเธอ’

 

ซูอี้อี้วางแก้วเครื่องดื่มของเธอ ลงบนโต๊ะบุฟเฟต์ใกล้ๆ ก่อนจะก้มลงไปหยิบกระเป๋าถือใบนั้น และเพียงแค่ซูอี้อี้ก้มตัวลงไปเด็กสาวเจ้าของกระเป๋าก็รีบส่งสายตาไปยังคนที่ยืนข้างๆ เธอในทันที คนผู้นั้นจัดการสลับเเก้วเครื่องดื่มของซูอี้อี้ด้วยความรวดเร็ว แต่เด็กสาวเจ้าของกระเป๋าไม่คิดว่า ณ ขณะนั้นซูอี้อี้กำลังจะเงยหน้าของเธอขึ้นมา เด็กสาวผงะด้วยกลัวว่าซูอี้อี้จะจับแผนการของเธอได้ ก่อนที่เด็กสาวจะสังเกตเห็นว่า มีใครสักคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ คนผู้นั้นก็ช่วยดึงความสนใจของซูอี้อี้ไปได้อย่างพอดิบพอดี

 

“ คุณหนูซวี สวัสดีค่ะ ” แม้เธอจะแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เธอก็แอบรู้สึกกังวลเล็กๆด้วยเช่นกัน ‘คุณหนูซวีเธอมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหรือเปล่าน่ะ?’

 

ฉีเซิงพยักหน้าทักทายเธอ ก่อนจะกล่าวกับเด็กสาวด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนคุณช่วยส่งน้ำผลไม้ให้ดิฉันสักแก้วหน่อยได้ไหมค่ะ?”

 

เด็กสาวรีบหยิบแก้วน้ำผลไม้ เพื่อส่งให้กับฉีเซิงทันที และเมื่อได้รับของที่ต้องการแล้ว ฉีเซิงก็เดินกลับเข้าไปในกลุ่มคนในทันที โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองไปยังซูอี้อี้

 

เมื่อเด็กสาวเจ้าของกระเป๋า ได้รับการยืนยันจากเพื่อนร่วมขบวนการว่า แก้วเครื่องดื่มของซูอี้อี้ถูกสลับเป็นที่เรียบร้อย เธอจึงก้มลงไปหยิบกระเป๋าด้วยตัวเธอเอง ก่อนจะก้าวเดินจากไปโดยไม่สนใจมองไปยังซูอี้อี้อีกคนด้วยเช่นกัน

 

สำหรับเสี่ยวเหว่ยผู้ซึ่งไม่ทันได้สังเกตว่า มีคนเล่นลูกไม้สลับแก้วเครื่องดื่มของซู่อี้อี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม ฉีเซิงจะต้องทะเล่อทะล่าเข้าไปเอาน้ำผลไม้ในเวลาแบบนั้นด้วย

 

ตามเนื้อเรื่องเดิมเหตุการณ์สลับแก้วก็ได้ระบุไว้ด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะว่าใครบางคนเกิดความอิจฉาริษยาต่อความสนิทสนมที่หลิงฮ่าวมีให้กับซูอี้อี้ จึงต้องการที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับซูอี้อี้ โดยทำการเปลี่ยนแก้วเครื่องดื่มของซูอี้อี้กับแก้วเครื่องดื่มที่ผสมยาปลุกกำหนัดไว้ แต่ว่าซูอี้อี้กลับรู้แผนการนี้เข้าเสียก่อน แต่แทนที่จะเปิดโปงแผนการนี้ ซูอี้อี้กลับนำเครื่องดื่มแก้วนั้นไปสลับกับแก้วเครื่องดื่มของซวีเฉิงเยว่แทน

 

ซูอี้อี้ประคองร่างของซวีเฉิงเยว่ผู้ซึ่งกัลงสะลึมสะลือไม่ได้สติด้วยฤทธิ์ยาในเครื่องดื่ม ไปยังห้องรับรองแห่งหนึ่งด้านหลังของหอประชุม เมื่อทิ้งซวีเฉิงเยว่ไว้ในห้องรับรองแล้ว ซู่อี้อี้ก็ไปสร้างเรื่องดึงความสนใจของผู้วางแผน จนผู้วางแผนไม่มีเวลามาตรวจสอบว่าแท้จริงแล้ว คนที่ถูกวางยาอยู่ในห้องรับรองแห่งนั้นไม่ใช่ซู่อี้อี้อย่างที่พวกหล่อนต้องการ

 

หลังจากนั้นซูอี้อี้ก็แสร้งทำเป็นรู้สึกไม่ค่อยสบาย และเดินมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองแห่งนั้น อย่างจงใจให้ผู้วางแผนเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนสกปรกของพวกหล่อนแล้ว เมื่อเข้าไปในห้องซูอี้อี้ก็จัดการเปลี่ยนชุดของเธอกับชุดของซวีเฉิงเยว่ เพื่อเป็นการทำให้ฝั่งผู้วางยาคิดว่าคนในห้องคือเธอ…ซูอี้อี้ ด้วยเหตุนี้จึงกลับกลายเป็นว่าซวีเฉิงเยว่เป็นคนที่ถูกข่มขืนแทนซู่อี้อี้

 

แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือ การที่ซูอี้อี้โทรตามให้หนานกงจิ่งมาหาที่งาน และปล่อยให้เขาเห็นเหตุการณ์ในห้องรับรองด้วยตาของเขาเอง

 

หนานกงจิ่งจึงใช้เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นข้ออ้างโดยชอบธรรมในการยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับซวีเฉิงเยว่ในทันที ในขณะที่ซูอี้อี้กลับกลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากแผนการวางยาในครั้งนี้แทน

 

สิ่งที่ฉีเซิงทำเมื่อครู่ เป็นเพียงการดึงความสนใจของซูอี้อี้ เพื่อให้ซูอี้อี้ไม่รู้ว่าเเก้วเครื่องดื่มของเธอถูกสลับโดยเด็กสาวเจ้าของกระเป๋า

 

เสี่ยวเหว่ยผู้ซึ่งยืนอยู่ใกล้กับฉีเซิงรู้สึกว่า รอยยิ้มของฉีเซิงค่อนข้างจะน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจค่อยๆขยับตัวออกห่างจากฉีเซิงไปอีกสักเล็กน้อย

 

ฉีเซิงรอจนกระทั่ง เธอเห็นว่าซูอี้อี้ถูกนำตัวออกไปจากหอประชุม ในขณะที่หลิงฮ่าวกำลังถูกดึงตัวให้สนทนากับทายาทตระกูลอื่นๆ อย่างติดพัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่า ซูอี้อี้กำลังถูกใครบางคนพาตัวออกไปจากงาน

 

“ เธอมีเบอร์โทรศัพท์ของหนานกงจิ่งไหม?” ฉีเซิงหันไปถามเสี่ยวเหว่ย ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักจากหน้าฝ่ายนั้น

 

“โทรหาเขา บอกเขาว่าซูอี้อี้เมามาก ให้เขารีบมารับซูอี้อี้กลับไป”

 

“แล้วทำไมเธอไม่โทรไปเองล่ะ?” แน่นอนว่าเสี่ยวเหว่ย ย่อมเห็นตอนที่ซูอี้อี้ถูกพาตัวออกไปด้วยเช่นกัน เธอจึงรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้น

 

ฉีเซิงยกยิ้มมองหน้าเสี่ยวเหว่ย “ไม่ว่าเธอจะโทรหรือไม่โทรก็ไม่สำคัญอะไร เพราะยังไงฉันก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้อยู่แล้ว”

 

เสี่ยวเหว่ยย่นคิ้ว เธอผละออกไปไม่นานนัก เมื่อเธอกลับมา แววตาของเธอกลับฉายแววประหลาดใจ เธอรีบปราดเข้ามาประชิดชิดตัวฉีเซิงก่อนกระซิบถามเบาๆว่า “นั่นฝีมือเธอหรือ?”

 

“คุณหนูเสี่ยวเหว่ย…… โปรดจำเอาไว้ คุณอาจจะรับประทานอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการจะรับประทาน แต่คุณไม่สามารถพูดอะไรก็ตามที่คุณอยากจะพูดได้ คุณอยู่กับดิฉันตลอดเวลา ดวงตาข้างไหนของคุณกันที่เห็นว่าดิฉันเป็นคนทำ?”

 

เสี่ยวเหว่ยนึกย้อนกลับไป ‘เธอพูดเรื่องจริงเสียด้วยสิ ตลอดทั้งคืนฉันจับตามองยายนี่ตลอด มีแค่เมื่อครู่ที่หล่อนเดินเข้าไปตรงหน้าของซูอี้อี้และอยู่ตรงนั้นไม่นานนัก ไม่มีทางที่เวลาแค่นั้นจะใช้วางยาใครได้ แต่…หล่อนกลับรู้ว่าซูอี้อี้ถูกวางยา หรือเป็นไปได้ไหมว่า ที่ซวีเฉิงเยว่อาจจะไม่ได้ลงมือเองแต่เป็นผู้บงการเรื่องนี้?’

 

เสี่ยวเหว่ยคิดว่าหากเรื่องเป็นเช่นนั้นก็พอจะมีทางเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าที่น่ารักของฉีเซิง เสี่ยวเหว่ยไม่เข้าใจตัวเธอเองเหมือนกันว่า ทำไมเธอจึงรู้สึกเชื่อไม่ลงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างที่เธอคาดเดาจริงๆ

 

“ฉันให้คนเอามือถือของซูอี้อี้มาส่งข้อความไปหาคุณชายจิ่งแล้ว” เสี่ยวเหว่ยพูดเสียงเบา

 

“โอ้ ไอคิวของเธอก็ไม่ได้ต่ำนี่นา……”

 

‘แล้วทำไมในเนื้อเรื่องเดิม เธอถึงได้โง่บรมจนต้องตายอย่างอนาถาขนาดนั้น? นักเขียนประเภทแม่แท้ๆ นี่เข้าข้างตัวเอกมากเกินไปแล้ว!’

 

เสี่ยวเหว่ยจ้องฉีเซิงตาเขม็ง ‘ยายนี่หมายความว่าอะไร? แล้วทำไมน้ำเสียงของหล่อนต้องฟังดูผิดหวังขนาดนั้นด้วยล่ะห๊ะ?!’

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด