Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke – บทที่ 18 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (18)
บทที่ 18 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (18)
ชายผู้นั้นรีบตะครุบแฟ้มจากมือของเธอ ก่อนจะรีบตรวจดูเอกสารเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาอีกหลังจากนี้
“อย่ากังวลไปเลยครับคุณหนูซวี ผมรับรองว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้แน่นอนครับ” เขาเอ่ยอย่างระมัดระวังด้วยท่าทีที่คล้ายกับจะประจบประแจงเธอ
ฉีเชิงพยักหน้ารับ “คุณกลับไปได้แล้ว”
ราวกับนักโทษที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ เขากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งเขายังโกรธตัวเองเสียด้วยซ้ําที่เคลื่อนไหวได้ไม่เร็วเท่ากับที่สมองสั่งการ!
“สิ่งไหนควรทํา สิ่งไหนไม่ควรทํา คุณควรจะพึงเอาไว้ระลึกให้ดี” เธอเปรยขึ้นยามที่มือของเขากําลังยื่นไปเปิดประตู
ร่างกายของเขาแข็งที่อ เหงื่อเย็นไหลออกมาขึ้นไปทั่วแผ่นหลัง เขาหันกลับมามองเธอก่อนจะค้อมศีรษะลงตอบรับ แล้วรีบเผ่นออกจากห้องรับรองหรูหรานั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อลับร่างของชายผู้นั้น ฉีเชิงก็โยนภาพลักษณ์ของเธอ ทิ้งไปในทันที เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาราวกับเจ้าแมวเหมียวตัวน้อยแสนเกียจคร้าน
ตระกูลหลิงมีเรื่องสกปรกให้ขุดคุ้ยมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้คนจํานวนไม่น้อยเช่นกันที่เฝ้ารอ และอยากเห็นตระกูลหลิงย่อยยับลงต่อหน้าพวกเขา ดังนั้นแม้ในช่วงแรกจะเป็นผลงานของเธอ แต่ก็แค่นั้นเมื่อเหตุการณ์ในช่วงหลังเธอไม่จําเป็นยื่นมือเข้า ไปทําอะไรเลยเสียด้วยซ้ํา
โจากข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการตรวจสอบโฮสต์ ร่างก่อนหน้านี้ของคุณหรือแม้กระทั่งในร่างนี้ คุณไม่ควรจะมีความสามารถในการเจาะระบบ คุณพอจะอธิบายได้ไหมว่าคุณได้ความสามารถนี้มาได้อย่างไร?]
ด้วยเพราะหลักฐานการกระทําความผิดเหล่านั้นล้วนได้มาจากการเจาะระบบทั้งหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบได้เห็นวิธีการหาหลักฐานของเธอ มันน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ฟังก์ชั่นร้านค้าจากแต้มสะสมของระบบยังไม่ได้เปิดทําการเลยด้วยซ้ํา แล้วโฮสต์ไปเอาความสามารถพวกนั้นมาจากไหน? ดูเหมือนว่าสามัญสํานึกของมนุษย์ปกติจะเอามาใช้กับโฮสต์รายนี้ไม่ได้!
“ระบบ นายไม่คิดว่าบ้างเหรอว่าฉันอาจจะเป็นพวกเก่งตั้งแต่เกิด แบบพวกบอร์นทูบี(born to be) อะไรประมาณนั้นนะ”
[ถ้าอย่างนั้นโฮสต์พอจะอธิบายได้ไหมว่าเหตุการณ์ระเบิดวันก่อนเกิดขึ้นได้อย่างไร?]
“ฉันขอปฏิเสธในการตอบคําถามของนาย” ซือเซิงฮัมเสียงต่ําในลําคอ “นายไม่รู้วิธีการอ่านความคิดหรือ? หือ? ถ้ารู้ก็ลองเขามาอ่านในหัวของฉันเอาเองสิ!”
[…] ช่วงนี้ดูเหมือนว่าโฮสต์จะอารมณ์แปรปรวนมากขึ้น
ทุกวัน
เมื่อทําให้ระบบปิดปากได้สําเร็จ ฉีเชิงก็จัดเสื้อผ้าของเธอให้เข้าที่เข้าทางก่อนก้าวเท้าออกจากห้องรับรอง
หมู่ตึกจินหม่านสถานที่ที่ชายผู้นั้นเป็นคนเลือก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ให้ความเป็นส่วนตัวได้อย่างดีเยี่ยม
หากมองลงมาจากบนท้องฟ้า ตัวระเบียงของหมู่ตึกจะมีรูปลักษณ์ดังเช่น E] ซึ่งมีผังการจัดวางที่คล้ายคลึงกับหอนางโลมในยุคโบราณ การสร้างระเบียงในลักษณะนี้ทําให้เธอผู้ซึ่งยืนอยู่ชั้นบนสามารถมองลงไปสังเกตการณ์เบื้องล่างของหมู่ตึกได้
ผู้คนข้างล่างไม่ได้มีอยู่หนาแน่นนัก พวกเขานั่งจับกลุ่มพูดคุยกันเบาๆ บนโซฟาซึ่งถูกจัดเรียงรายอยู่เป็นชุด
ในหลืบมุมบางส่วนซึ่งแสงไฟสาดส่องไปไม่ถึง ฉากน่ารังเกียจและเสียงครางแผ่วต่ําถูกบรรเลงอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น
ฉีเซิงกวาดมองเบื้องล่างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะละสายตาออก หนังสดนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจสําหรับเธอเลยสักนิด
ฉีเซิงเดินเลียบทางไปเรื่อยๆ ตามทางเดินของระเบียงจนกระทั่งพบกับบันไดซึ่งเป็นทอดยาวเป็นทางลงไปยังชั้นล่าง ขณะที่เธอก้าวผ่านประตูบานหนึ่ง ประตูบานนั้นกลับเปิดผลัวะออกมา
ร่างสูงใหญ่คละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้าของใครคนหนึ่งลอยออกมาจากห้องห้องนั้น ด้วยเพราะจิตใต้สํานึกสั่งการให้ฉีเชิงขยับหลบอย่างรวดเร็ว ร่างที่พุ่งออกมาร่างนั้นจึงไปชนเข้ากับราวระเบียงเข้าอย่างจัง เขาเอนกายค้างพาดบนอยู่รั้วระเบียงด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะน่าสมเพช
“คุณชายจิ่งค่ะ ให้ฉันช่วยคุณเถอะน้าา…” หญิงสาวแต่งหน้าหนาเตอะสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นผู้หนึ่งโผตามเขาออกมา
“ไสหัวไปให้พ้น!” หนานกงจิ่งผลักหญิงสาวผู้นั้นออก พลางพยายามพยุงตัวโดยใช้ราวระเบียงเป็นตัวช่วย สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
พายุความชิงชังพุ่งผ่านออกมาจากสายตาอย่างชัดเจน เมื่อสายตาของเขาพบเข้ากับหญิงสาวผู้ซึ่งยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร่างเขานัก
“ซวีเฉิงเยว่!” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันเรียกชื่อเธอออกมา
ก่อนหน้านี้ยามที่เขาถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องนั่งดื่มกับผู้คน ภายในห้องนั้น เขาก็เห็นซวีเฉิงเยว่ผู้ซึ่งแต่งกายอย่างประณีตเดิน ผ่านหน้าห้องไปเต็มสองตา เพียงเห็นเธอความเกลียดชังที่อธิบายออกมาไม่ได้พากันพุ่งทะลักเข้าท่วมท้นในจิตใจของเขา
“โอ๊ะ สวัสดี คุณอดีตคู่หมั้น!” ฉีเชิงทําราวกับเธอเพิ่งจะจําเขาได้ “เราเจอกันอีกแล้ว โลกกลมอะไรอย่างนี้”
ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่คุ้นเคย ความโกรธเกลียดในใจ ของหนานกงจิ๋งยิ่งพลุ่งพล่าน “กล้าดีอย่างไรถึงได้ทําตัวเหมือนกับไม่ไยดีฉัน?!”
หนานกงจิ้งบดกรามแน่น “ยังกล้าโผล่หน้ามาให้ฉันเห็น อีกนะซวีเฉิงเยว่” ทั้งๆที่ครั้งก่อนเขาปล่อยให้เธอหนีไปได้แล้วแท้ๆ
“หือ? แล้วฉันต้องกลัวอะไร? ฉันไม่ได้เป็นคนที่ลักพาตัวคนอื่น เขาเสียหน่อย นี่เพราะฉันเป็นคนใจกว้างหรอกนะ เลยยังไม่ได้ไปแจ้งตํารวจให้จับนายยัดเข้าซังเต ดังนั้นคนที่ควรจะละอายแล้วไสหัวไปน่าจะเป็นนายไม่ใช่ฉัน!
เหตุผลง่ายๆ ที่ทําให้เธอไม่ไปแจ้งความ คือการที่เธอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าต่อให้แจ้งความไป อย่างไรก็ตามอิทธิพลของตระกูลหนานกงในช่วงนี้นั้น ก็น่าจะสามารถทําให้คดีนั้นเลือนหายไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วเธอจะลงแรงทําเรื่องไร้ประโยชน์ไปเพื่ออะไร?
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขารอดจากคุก ฉันก็ยังสามารถรังแกเขาให้อยู่ไม่สู้ตายได้อยู่ดีนั่นล่ะ”
หนานกงจิ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเธอดูน่าชิงชังยิ่งนัก ภายใต้อิทธิพลของน้ําเมาที่เขาดื่ม ความขาดสติทําให้เขาเงื้อฝ่ามือขึ้นสูง ฟาดลงมายังใบหน้าของเธอ
ฉีเชิงขยับถอยหลังหลบโดยสัญชาตญาณ แต่แทนที่จะหลบได้โดยสะดวกเธอกลับชนเข้ากับแผงอกอุ่นของใครบางคน แขนของใครคนนั้นยกขึ้นเหนือศีรษะของเธอ นิ้วเรียวสวย ราวกับสลักมาจากหยกของเขาคว้าลงบนข้อมือของหนานกงวิ่งอย่างแม่น
เสียงปะทะดังขึ้นก่อนหนานกงจิ่งจะหน้าซีดเมื่อข้อมือของเขา ห้อยลงใช้การไม่ได้แล้ว ในขณะที่คนกระทําปล่อยมือของเขาออก แล้วนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดทําความสะอาดมือตนด้วยท่าทางรังเกียจ
“หนานกงจิ่ง ได้เห็นว่านายมีเวลาว่างถึงขนาดเอามาใช้รังแกผู้หญิงได้ งั้นเรื่องภายในครอบครัวของนายคงจะจัดการกันเรียบร้อยแล้วสินะ…” แม้นเสียงของฉู่ถางจะยังคงราบเรียบแต่มันกลับทําให้คนที่ได้ยินอย่างหนานกงจิ่ง เย็นวาบไปถึงไขสันหลัง
“คุณ” ต่อให้หนานกงจิ่งเมาแค่ไหน เขาก็ยังจําชายผู้นี้ได้ ฉู่ถาง” บุคคลผู้เป็นดังตํานานของโลกธุรกิจ
“ฉู่ถางรู้จักกับซวีเฉิงเยว่! คืนนั้นพวกเขาสองคนรวมหัวกัน! กระนั้นแล้วซวีเฉิงเยว่ยังมีหน้ามาเสแสร้งว่าเธอถูกเขาหักหลังอย่างสาหัส ผู้หญิงคนนี้ช่างแสดงละครได้เก่งอะไรอย่างนี้ เก่งถึงขนาดที่หลอกเขาได้เสียสนิท!?
หนานกงจิ่งจ้องเขม็งไปยังเซิงก่อนจะยอมให้หญิงสาวในเสื้อผ้าน้อยชิ้นพยุงเขากลับเข้าไปในห้อง
ในเมื่อตอนนี้เขาไม่สามารถหาเรื่องคนคู่นี้ได้ อะไรจะดีไปกว่าการหนีไปตั้งหลักก่อนกัน?
ฉีเซิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาสนใจเรื่องของหนานกงจิง เธอก้าวเท้าออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเธอกับฉู่ถาง
“ทําไมฉันต้องเจอกับคุณทุกๆที่ที่ฉันไปด้วย?”
“หรือเจ้าหมอนี่คือวิญญาณตามติดตัวจริงเสียงจริงในตํานาน?!?
“หือ? ไม่ใช่คุณหรอก หรือคุณซวีที่บอกว่าจะจีบผม?” ฉู่ถางชําเลืองมองฉีเชิง
อากัปกิริยาของเธอดูคลับคล้ายคลับคลากับสัตว์เลี้ยงที่ถูกเจ้านายยัดของที่มันเกลียดเข้าปาก บนใบหน้าของเธอมีสีหน้าที่แปลเป็นประโยคได้ว่า “ฉันไม่ได้ยินดีที่ได้เห็นคุณเลยสักนิด” แปะ แสดงเอาไว้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน
“เฮ้! ตอนอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ ไม่ใช่เธอหรือไงที่ออกปากว่าจะจีบฉันนะ?!?
“…
” โอ้….ลืมไปเลยแฮะ”
ฉีเพิ่งรีบเปลี่ยนท่าทางของเธอโดยทันทียามเอ่ยปาก
“แหม…ดูเหมือนว่าคุณฉู่กับฉัน พวกเราอาจจะมีวาสนาร่วมกันอยู่นะคะ ดูสิคะไม่ว่าจะไปทางไหนก็ได้เจอกันเสียทุกที่ เช่นนั้นแล้วคุณนูจะไม่ลองพิจารณารับรักฉันดูบ้างหรือคะ?”
ฉู่ถางรู้สึกว่าเรื่องนี้มันชักจะน่าสนุกขึ้นทุกที
“ฉันยอมเดิมพันด้วยทรัพย์สินทุกอย่างที่ฉันมี เธอไม่ได้ชอบฉันแน่ๆ แต่ทําไมเธอต้องฝืนแกล้งทําเป็นชอบฉันด้วย ให้ตายสิ น่าสนใจชะมัด!”
“ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ว่าคุณซวีควรจะแสดงถึงความจริงใจให้ผมเห็นก่อนหรอกหรือ?”
ฉู่ถางคิดว่า เมื่อเขามีโอกาสได้พบกับใครคนหนึ่งที่มีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับเขามาก มาตามมาจีบเขาก็ควรจะลองดื่มกับการเป็นฝ่ายถูกไล่เกี้ยวดูบ้างสักครั้ง
นี้เซิงหวังเหลือเกินว่าเธอจะสามารถตบตีเขาจนตายได้ แต่ในความเป็นจริงเธอทําได้เพียงกระตุกริมฝีปากฝืนยิ้ม “ไม่ทราบว่า คุณฉูอยากให้ฉันแสดงความจริงใจอย่างไรล่ะคะ?”
“ไอ้คนเฮงซวย! นี่ฉันคนนี้อุตส่าห์เสนอตัวให้นายเลยเชียวนะ มีตรงไหนกันที่ฉันไม่จริงใจนะห๊ะ? สวรรค์อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ทําไมไม่รู้จักคว้า?!?
“ผมจะให้โอกาสคุณซวี หากภายในสามปี ถ้าคุณสามารถหา ทรัพย์สินมูลค่าเท่ากับทรัพย์สินหนึ่งในสิบ ของผมได้ ผมจะตอบตกลงรับรักคุณ แล้วคุณล่ะจะรับเงื่อนไขข้อนี้ ของผมไหม?”
“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
ฉุ่ถางยกยิ้มบางเป็นคําตอบไม่เอ่ยอะไรต่อ อย่างไรก็ตามกลับเป็นเหล่าบอดี้การ์ดของฉถางที่อยากจะโพล่งถาม “คุณรู้ไหมว่า ทรัพย์สินทั้งหมดของนายท่านของเรามีมูลค่าเท่าไร? รู้ไหมว่าตั้งหนึ่งในสิบน่ะมันเยอะขนาดไหน? แล้วคุณยังอยากจะหาทรัพย์สินมูลค่าเท่านั้นภายในเวลาแค่สามปีเนี่ยนะ? ถ้าคุณไม่ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างของตระกูลซวีทิ้ง คุณจะไปเอารายได้มากขนาดนั้นมาจากไหน?!?
“คุณหนู! คุณไปเอาความกล้าที่จะพูดคําว่า ง่าย” นั่นมาจาก ที่ไหนกัน?!”
“ได้ ฉันตกลง” ฉีเซิงคิดคํานวณมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของฉู่ถางอย่างรวดเร็ว
“ยังมีเงื่อนไขอีกข้อ”
“เงื่อนไขเฮงซวยอะไรอีก?” ท่าทางของฉีเซิงไม่ต่างอะไรจากท่าทางของแมวที่ถูกเหยียบหางเลยสักนิด
“ยังอยากจะจีบผมอีกไหม?”
“………………..” ไปนอนตายให้หนอนแดกซะ!”
ฉีเซิงปลอบตัวเองให้ใจเย็น “บอกเงื่อนไขของคุณมาเถอะ”
“ภายในสามปีนี้คุณจะต้องตามจีบผมแบบเดียวกับที่คนปกติเขาจีบกันด้วย”
“ฉันเนี่ยนะ!”
“เจ้าระบบ นายแน่ใจนะว่าไอ้ตูดหมึกนี่ไม่ใช่ตัวปัญหาที่ถูกส่งมาสร้างหายนะให้กับฉันนะ? ต่อให้แก่ตาย ฉันก็คงไม่มีทางจีบไอ้คนวิปริตประเภทนี้ติดแน่ๆ!”
ขณะเดียวกัน บอดี้การ์ดของทั้งฉ่ถางและฉีเซิงต่างตกตะลึง
ตรรกะของพวกคนรวย ให้อย่างไรพวกเขาก็ทําใจให้เข้าใจไม่ได้เลยจริงๆ พับผ่าสิ!
คอมเม้นต์