Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke – บทที่ 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15)

อ่านนิยายจีนเรื่อง Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke ตอนที่ 15 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 15 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (15)

 

เรื่องที่เกิดขึ้น ณ หอประชุมทิศตะวันตกในคืนงานบอลในที่สุดก็ถูกแพร่ออกมาภายนอก แม้ว่าหนานกงจิ่งจะข่มขู่ผู้เห็นเหตุการณ์ไปแล้วก็ตาม และเป็นที่แน่ชัดว่าหนานกงจิ่งย่อมไม่สามารถควานหาตัวคนปากสว่างเจอ เพราะในวันงานมีผู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งนอกจากผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว ก็ยังมีพนักงานเสิร์ฟที่ถูกจ้างชั่วคราวรวมอยู่ด้วย

 

หากว่าเรื่องคราวก่อนได้ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้อี้ด่างพร้อยแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ถือว่า ได้ทำให้ชื่อเสียงของซูอี้อี้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นเลยทีเดียว

 

อันที่จริงฉีเซิงก็คะเนเอาไว้ว่าหนานกงจิ่งคงต้องปรี่มาหาเรื่องเธอเป็นแน่ แต่เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะถึงกับกล้าลงมือลักพาตัวเธอ

 

“หนานกงจิ่ง ฉันคิดว่านายคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ นั่นล่ะ” ฉีเซิงนั่งอย่างสงบอยู่ตรงกลาง ระหว่างชายร่างใหญ่กล้ามล่ำสองคน สีหน้าของเธอยังแสดงถึงความใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว มุมปากของเธอเหยียดขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา

 

หนานกงจิ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ ท่าทางอันเหนื่อยล้าที่แสดงออก ทำให้ใบหน้าของเขาดูราวกับว่ามีอายุเพิ่มขึ้นไปอีกสองถึงสามปี

 

หนานกงจิ่งไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกหวาดกลัว ตื่นตระหนก กังวล หรือแม้แต่…ความรู้สึกรักจากผู้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอแสดงออกมีแต่เพียงความนิ่งสงบเท่านั้น

 

‘ซวีเฉิงเยว่ที่เขาเคยรู้จักไม่ควรที่จะมีท่าทางแบบนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น…เธอไม่ควรที่จะได้อยู่อย่างสงบสุข’ หนานกงจิ่งคิดอย่างเกรี้ยวกราด

 

“ฉันจะให้เธอได้ลิ้มลองความเจ็บปวดแบบที่อี้อี้เคยได้รับ แต่เธอจะต้องทรมานกว่าอี้อี้เป็นร้อย..…ไม่สิ คนอย่างเธอต้องทรมานกว่าอี้อี้เป็นพันเท่าถึงจะสาสม” หนานกงจิ่งว่าก่อนจะเบนสายตาออกจากใบหน้าของเธอ เขาเกลียดท่าทางเฉยชาไม่ทุกข์ร้อนใดๆที่แสดงอยู่บนใบหน้าของเธอ เขาเกลียดที่เธอทำราวกับเขาไม่อยู่ในสายตาของเธอ สิ่งที่เขาต้องการอยากจะเห็นคือ ภาพของเธอที่คุกเข่าอ้อนวอนร้องขอความเมตตาและพร่ำบอกขอโทษซูอี้อี้

 

“การที่ซูอี้อี้ทุกข์ทรมานแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน?”

 

ไอ้คนงี่เง่า สมองหมู !’

 

“เธอกล้าสาบานไหมล่ะ ว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ นั่น?” แม้ว่าเขาจะตามสืบจนรู้ว่าใครคือ คนที่วางยาในเครื่องดื่มของซูอี้อี้ แต่เขาก็ยังปฏิเสธความจริงข้อนั้น และไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงไม่เชื่อว่าซวีเฉิงเยว่จะไม่มีส่วนรู้เห็น คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องเป็นซวีเฉิงเยว่แน่ๆ มีแค่เธอที่เกลียดอี้อี้มากพอ ที่จะทำลายชีวิตของอี้อี้ให้พังย่อยยับ”

 

ฉีเซิงผลักชายกล้ามโตคนหนึ่งออกไป เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เธอนั่งได้อย่างสบายมากขึ้น “ถ้าฉันเป็นคนบงการจริงๆ ฉันไม่มีทางให้เรื่องมันจบแค่นั้นแน่”

‘แล้วไง? ซวีเฉิงเยว่ทำอะไรผิด? ในเนื้อเรื่องเดิม ทั้งๆ ที่ซูอี้อี้ก็รู้อยู่แก่ใจว่าในเครื่องดื่มแก้วนั้นมียา แต่เจ้าหล่อนยังเลือกที่จะเอาแก้วนั้นมาสลับให้กับซวีเฉิงเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนยังโทรเรียกหนานกงจิ่งมาอีก ตอนนี้สิ่งที่ฉันทำก็แค่คืนทุกอย่างกลับไปให้หล่อน ฉันยังไม่ได้เริ่มทำอะไรหล่อนเลยด้วยซ้ำ’

 

“ทำไมเธอถึงโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้?!” จู่ๆ หนานกงจิ่งก็หันกลับมาจ้องหน้าเธอ กลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่กระจายรอบตัวเขา

 

“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่นายไม่ได้เป็นคนแรกที่พูดอย่างนี้กับฉัน”

 

“ไร้เหตุผลสิ้นดี”

‘เฮ้! ใครกันแน่ที่ไร้เหตุผลก่อน! คุณพระเอก…ตรรกะในสมองของนายนี่มันช่าง…แปลกประหลาดเสียจริง ช่างเถอะ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว พูดกับนายไปก็เสียเวลาเปล่า คอยดูเถอะ สักวันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะตรรกะพวกนี้’

อาจเพราะเขาคิดว่าตัวเธอไม่สามารถที่จะก่ออันตรายใดๆ ได้ หนานกงจิ่งจึงไม่ได้สั่งให้คนของเขามัดเธอเอาไว้

 

เวลาล่วงเลยมาสักพักที่เธอถูกคุมตัวอยู่ในรถ พื้นถนนมีความเป็นหลุมเป็นบ่อมากขึ้นมากขึ้นจนกระทั่ง รถมุ่งหน้าขึ้นเนินและจอดลงตรงหน้าบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งในหุบเขา ฉีเซิงถูกลากลงจากรถ หนานกงจิ่งสั่งให้คนของเขาขังเธอไว้ในห้อง ห้องหนึ่งบนชั้นสอง และครั้งนี้เธอถูกมัดไม้กับเก้าอี้

 

[โฮสต์ คุณยั่วโมโหหนานกงจิ่งทำไม?]

 

ฉีเซิงบิดตัวของเธอไปมา ทำให้เชือกที่พันธนาการเธออยู่คลายออกอย่างรวดเร็ว

 

[……] ‘ฉันจำไม่ได้ว่าเคยให้ความสามารถนี้กับโฮสต์!’

 

 

“เพื่อจะได้มีเหตุผลดีๆ มาใช้ทรมานหมอนั่นตามใจชอบไง” ฉีเซิงตอบพลางโยนเชือกลงบนพื้น ก่อนจะนวดๆ ถูๆ รอยแดงบนแขนของเธอ

 

[…การปะทะกับพระเอกนางเอกของโลกไม่ได้บรรจุอยู่ในภารกิจของคุณ] เนื่องจากนี่เป็นโลกภารกิจโลกแรกของเธอ ระบบจึงเลือกโลกที่มีภารกิจง่ายๆ เพื่อให้โฮสต์ได้ทำความคุ้นเคยกับงานก่อน

 

 

“แล้วไง? ไม่ได้เป็นภารกิจแต่ฉันไม่ชอบขี้หน้าพวกเขานิ” ฉีเซิงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากที่ไหนสักที่ เธอไถนิ้วลงบนหน้าจอไม่กี่ครั้งก่อนจะสอดมันลงในกระเป๋ากางเกงของเธอ

 

 

สำหรับฉีเซิง คนพวกนี้เป็นเพียงแค่ตัวละครในเกมไม่มีชีวิต ส่วนเธอคือผู้เล่น ดังนั้นความสุขของเธอย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งกว่าเจ้าระบบจะสังเกตเห็นความคิดที่มีปัญหานี้ของเธอ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในภายหลัง

 

ในห้องมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง ฉีเซิงมองออกไปข้างนอก เธอเห็นคนสองคนยืนเฝ้าอยู่ในสนามหญ้าข้างล่าง ฉีเซิงหยุดพินิจพิเคราะห์ถึงทางหนีที่ดีสุด ในระหว่างที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เธอก็เห็นรถคุ้นตาคันหนึ่งปรากฏขึ้นภายนอกรั้วบ้าน

‘!!! เจ้าวิตถารฉู่ถางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?’

 

ฉู่ถางนั่งอยู่ในรถ สายตาของเขามองออกมานอกรถ เขามองตรงมายังหน้าต่างชั้นสองของบ้านพักตากอากาศที่ซึ่งฉีเซิงถูกคุมตัวอยู่ ฉีเซิงชะงัก แม้ว่าหน้าต่างจะเป็นสีเข้มแต่เธอกลับรู้สึกราวกับว่าสายตาของฉู่ถางกำลังจับจ้องมายังเธอ แต่อย่างไรก็ตามรถคันนั้นก็ขับผ่านรั้วไป โดยไม่แม้แต่จะผ่อนความเร็วลง

 

จากจุดที่ฉีเซิงยืนอยู่ เธอสามารถมองเห็นบ้านพักตากอากาศหลังอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปได้ บ้านพักในหุบเขาเหล่านี้นอกจากจะถูกใช้พักผ่อนตากอากาศแล้ว บ่อยครั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่เจรจาต่อรองทางธุรกิจ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องประหลาดที่ฉู่ถางจะมาที่นี่ เพียงฉีเซิงระลึกได้ถึงเหตุผลข้อนี้เธอก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอปลอบใจตัวเองด้วยการย้ำกับตัวเองว่ามันเป็นเเค่เรื่องบังเอิญ…บังเอิญ…และบังเอิญ

 

รถของฉู่ถางเคลื่อนเข้าไปยังบ้านพักตากอากาศสีขาวหลังหนึ่ง เมื่อรถของเขาผ่านเข้าไป บอดี้การ์ดหลายก็คนกรูกันออกมาจากบ้านพักก่อนจะยืนแถวตรง เรียงเป็นสองฝั่งเพื่อรอต้อนรับเขาอย่างเคารพ ผู้ช่วยของฉู่ถางลงมาเป็นคนแรกเพื่อเปิดประตูรถให้กับฉู่ถาง

 

ฉู่ถางก้าวลงมา ราศีนายท่านผู้ร่ำรวยยังคงแผ่ออกมาจากตัวของเขา ท่ายืนสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงแม้ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นท่วงท่าที่สง่างาม แต่เมื่อฉู่ถางเป็นผู้กระทำเขากลับดูสง่างามได้กับท่าทางเช่นนั้น

 

 

“นายท่าน เราสามารถยืนยันจุดที่คุณหนูซวีอยู่ได้แล้วครับ” ผู้ช่วยรับแท็บเลตมาจากหนึ่งในบอดี้การ์ด หน้าจอของมันแสดงแบบจำลองบ้านพักตากอากาศหลังที่หนานกงจิ่ง กำลังขังฉีเซิงไว้ในรูปแบบสามมิติ จุดสีแดงจุดหนึ่งปรากฏอยู่บนชั้นสองของแบบจำลองนั้น

 

ฉู่ถางปรายตามองแบบจำลองก่อนยกยิ้ม “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น เฝ้าระวังอยู่ข้างนอกเพื่อให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย”

‘ไม่ใช่ว่าเราต้องรีบบุกเข้าไปช่วยเธอหรอกหรือ? แล้วหลังจากนั้นด้วยความซาบซึ้ง คุณหนูซวีก็จะได้ตอบแทนนายท่านด้วยร่างกายของเธออย่างเต็มใจ’ ผู้ช่วยของฉู่ถางสงสัย ‘ความคิดของนายท่านนี่คาดเดาได้ยากขึ้นทุกวัน’

 

ในสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถที่จะเข้าใจความคิดของฉู่ถางได้ ผู้ช่วยทำได้เพียงทำตามคำสั่งของฉู่ถางอย่างเคร่งครัด เขากระจายคำสั่งของฉู่ถางคำต่อคำไปยังบอดี้การ์ดรอบนอก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณหนูตระกูลซวีจะปลอดภัย ‘กว่านายท่านฉู่จะสนใจผู้หญิงสักคนไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ดังนั้นคุณหนูซวีจะตายไม่ได้!’

 

ด้วยเพราะกลัวว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจนทำให้แผนของพวกเขาคลาดเคลื่อน ผู้ช่วยของฉู่ถางจึงขึ้นเป็นผู้ควบคุมทีมด้วยตนเอง จนเวลาพลบค่ำ รถคันหนึ่งเคลื่อนเข้าไปในบ้านพักตากอากาศหลังนั้น เพียงเห็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนก้าวลงมาจากรถคันนั้น ผู้ช่วยก็ระลึกได้ว่าชายผู้ซึ่งเพิ่งมาถึงคือคุณชายเล็กตระกูลหลิง น่าสงสารอะไรอย่างนี้ แตะต้องสมบะ.. เพ้ย! คนสิคน แตะต้องคนของนายท่านฉู่ คุณชายตระกูลหลิง คุณมีประกันชีวิตแล้วใช่ไหม?’

 

“ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนั้นมาซะ” ผู้ช่วยสั่งบอดี้การ์ดข้างตัวเขาก่อนจะแตะลงบนหน้าจอของแท็บเล็ต ห้องที่ฉีเซิงถูกขังอยู่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอในทันที และราวกับเธอจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เธอจึงจ้องเขม็งตรงกลับมายังเขา…หมายถึงเธอมองตรงมายังกล้องนั่นล่ะ

 

ฉีเซิงมองออกไปยังนอกหน้าต่างชั่วขณะก่อนจะเบนสายตากลับมายังในห้อง ไม่นานนักหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก

 

เพียงสังเกตเห็นฉีเซิงยืนกอดอกอยู่ในห้อง หนานกงจิ่งก็ตวัดขาเตะชายร่างยักษ์ข้างๆตัวเขาทันที “ฉันสั่งให้พวกแกมัดเธอไว้ แล้วนี่อะไร?”

 

ชายผู้นั้นตกอยู่ในความงุนงงและรู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อเขามั่นใจว่าเขามัดเธอเอาไว้แล้ว!

 

ซูอี้อี้เดินออกมาจากข้างหลังของหนานกงจิ่ง เธอจ้องตรงไปยังฉีเซิงด้วยสีหน้าอึมครึม ‘ ฉันอยากให้ยัยนี่ตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด! ชีวิตฉันถูกทำลายก็เพราะมัน!’

 

อาจเป็นเพราะว่าเธอกลัวว่าหนานกงจิ่งและหลิงฮ่าวจะเห็นด้านที่ไม่ใช่เด็กสาวอ่อนโยนใสซื่อของเธอ ซูอี้อี้จึงจำต้องเก็บความเกลียดความอาฆาตแค้นไว้ภายในใจ

 

“มัดเธอซะ!” หนานกงจิ่งเตะชายร่างยักษ์อีกครั้ง เขาจึงรีบกระวีกระวาดพุ่งเข้าไปเพื่อจะมัดฉีเซิง ‘ฉันมัดเธอแล้วจริงๆนะ!’ เขาโอดครวญในใจ

 

สีหน้าของฉีเซิงยังคงสงบไม่มีเปลี่ยนแปลง เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มีเพียงมือที่เคยสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอที่ถูกดึงออกมา ได้เห็นของที่อยู่ในมือของเธอด้วยสองตา ชายร่างยักษ์ก็พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที

 

ด้วยเพราะถูก ร่างสูงใหญ่ของชายผู้นั้นบังทัศนะวิสัยของคนด้านหลังเสียหมด พวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมชายร่างยักษ์จึงหยุดชะงักอยู่กับที่ หนานกงจิ่งจึงเร่งเขาให้เข้าไปมัดฉีเซิงอีกครั้งอย่างหมดความอดทน แต่เขาก็ยังไม่ยอมขยับตัว หากผู้คนที่อยู่ด้านหลังได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนี้ พวกเขาจะเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของชายผู้นี้เบิกโพลงอย่างตื่นตระหนกและบนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลออกมาอย่างมากมายด้วยความกลัว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด