Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke – บทที่ 16 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (16)
บทที่ 16 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (16)
แม้ว่าร่างกายอันใหญ่โตของชายร่างยักษ์จะบดบังทัศนะวิสัยของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จนทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรอยู่ในมือของฉีเซิง แต่ผู้ช่วยของฉู่ถางกลับเห็น ‘มัน’ ผ่านทางเลนส์ของกล้องวงจรปิดชัดๆ เต็มสองตา ‘มัน’ คือระเบิดมือ หน้าตาไม่ผิดแผกกับชนิดที่ทางกองทัพใช้งานนัก แม้ว่าจะมีบางจุดที่ดูแตกต่างอยู่บ้างก็ตาม
‘เหี้ยเอ๊ย! ยายบ้านี่เอามันมาจากไหนวะ?!’ ภายในหัวของชายร่างใหญ่มีเพียงคำถามนี้
“แกจะยืนบื้ออยู่ทำไมอีก? รีบเข้าไปมัดเธอซะสิ!” หนานกงจิ่งเอ่ยอย่างหัวเสีย
ชายผู้ถูกสั่งเหงื่อแตกพลั่ก จากนั้นจึงรีบเบี่ยงร่างของเขาออกไปทางด้านข้าง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนด้านหลังได้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า ฉีเซิงกำลังถืออะไรอยู่ในมือ
‘แหกตาดูซะ! นั่นมันระเบิดมือเลยนะเว้ย! ยังคิดว่ากูจะกล้าเข้าไปจับแม่นี่มัดอีกเรอะ?’
แม้ว่าหนานกงจิ่งจะดูไม่ออกว่ามันคืออะไรในแวบแรก แต่หลิงฮ่าวกลับรู้ได้ทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน จากนั้นเขาจึงรีบดึงซูอี้อี้ออกไปทางประตูในทันที
“เธอเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหมซวีเฉิงเยว่?”
ฉีเซิงเล่นกับของในมือของเธอ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “โอ้ ดูพวกนายสิ แค่เจ้านี่ก็ทำให้กลัวกันจนหัวหดขนาดนั้นเชียว นี่มันก็แค่ของเล่นเอง ฉันเพิ่งเจอมันในห้องนี้เมื่อกี้เอง”
หลิงฮ่าวสังเกตระเบิดในมือของเธออย่างละเอียดอีกครั้ง แต่เขาก็ยังดูไม่ออกว่านั่นเป็นของจริงหรือของปลอม แต่หลังจากลองคิดพินิจพิเคราะห์ดูแล้ว เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเป็นเพียงลูกสาวของตระกูลที่ถือได้ว่าพอจะมีฐานะเท่านั้น เช่นนั้นเธอมีระเบิดมือของจริงได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นเธอย่อมต้องถูกค้นตัวก่อนจะพาตัวมาที่นี่ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางซ่อนเจ้าสิ่งนี้ติดตัวมากับเธอได้แน่ๆ บ้านพักตากอากาศหลังนี้เป็นของคุณลุงของเขา คุณลุงเองก็มีลูกชาย เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นของเล่นของเด็กๆ ‘พวกเขาอาจจะทิ้งเอาไว้ตอนมาพักที่นี่ในวันหยุดครั้งที่แล้วล่ะมั้ง?’
“ซวีเฉิงเยว่ จะตายอยู่แล้วยังมีหน้าจะมาขู่พวกฉันอีก มัดเธอซะ ฉันจะสั่งสอนให้เธอรู้สำนึกซะบ้าง” หลิงฮ่าวสั่งด้วยใบหน้าทะมึน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อหันไปมองซูอี้อี้ “ออกไปก่อนเถอะนะอี้อี้”
ด้วยฉากนองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นน่ากลัวจนเกินไป เขาจึงไม่อยากให้ซูอี้อี้เห็นมัน ซูอี้อี้เม้มปากแน่นก่อนจะกระตุกชายเสื้อของหนานกงจิ่งแล้วช้อนสายตาขึ้นมองเขาด้วยท่าทางน่าสงสาร หนานกงจิ่งจึงใช้สายตาที่โหดเหี้ยมของเขากวาดมองฉีเซิงก่อนเขาจะพาตัวซูอี้อี้ออกไป
ก่อนก้าวออกจากห้อง ซูอี้อี้แอบส่งสายตาเย้ยหยันและภาคภูมิในชัยชนะให้กับฉีเซิง ‘ต่อให้ฉันมีมลทินแล้วยังไง? อย่างไรเสียผู้ชายสองคนนี้ก็ยังเห็นฉันเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเขาอยู่ดี!’
ชายร่างยักษ์เดินเข้าไปยังฉีเซิงแล้วรีบคว้าระเบิดมือออกจากเธอ น้ำหนักและสัมผัสละม้ายคล้ายของจริงเป็นอย่างมาก ไม่มีส่วนใดที่ดูเป็นของเล่นเลยแม้แต่น้อย ชายร่างยักษ์ผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะสำรวจมันให้ละเอียดขึ้นอีกครั้ง ใช้โอกาสที่เขากำลังถูdระเบิดมือดึงความสนใจไว้ ฉีเซิงก็รีบพุ่งตัวออกไปทางหน้าต่าง
เธอได้ปลดล็อกกลอนหน้าต่างเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นเพียงแค่ออกแรงผลักเบาๆ หน้าต่างบานนั้นก็เปิดออกอย่างง่ายดาย เธอรีบกระโดดข้ามกรอบหน้าต่างก่อนที่ชายร่างยักษ์ผู้นั้นจะตอบสนองได้ทัน “น่าเสียดายชะมัด ทั้งๆ ที่ฉันคิดจะกำจัดพวกนายสามคนไปพร้อมๆ กันเลยแท้ๆ” เธอว่าในขณะที่ร่างของเธอร่วงลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ในขณะเดียวกันนั้นเองระเบิดในมือของชายร่างยักษ์ก็ส่งเสียงดัง ปี๊บบบ… ก่อนจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง บ้านพักตากอากาศทั้งหลังสั่นสะเทือนด้วยแรงระเบิด กระจกหน้าต่างชั้นสองแตกละเอียดร่วงกราวลงมาพร้อมเศษซีเมนต์และฝุ่นที่ปลิวคุ้งไปทั่วบริเวณ
บริเวณเบื้องล่างที่ฉีเซิงกระโดดลงไปคือชานไม้ซึ่งยื่นออกมาจากตัวผนังบ้าน ด้วยเพราะระเบิดมือลูกนั้นไม่ได้มีรัศมีการทำลายล้างที่สูงนัก เธอจึงไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากแรงระเบิดที่เกิดขึ้น
บอดี้การ์ดของพวกหนานกงจิ่งผู้ซึ่งทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่ในสนามหญ้า เมื่อได้ยินเสียงระเบิดพวกเขาก็รีบเงยหน้าขึ้นมองจุดที่เกิดเสียงทันที เมื่อพวกเขาเห็นฉีเซิงผู้ซึ่งไต่อยู่บนขอบผนัง พวกเขาจึงรีบปรี่เข้ามาเพื่อที่จะจับตัวเธอทันที
ฉีเซิงกระโดดลงไปยังสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความว่องไว ก่อนจะโยนระเบิดมืออีกลูกไปทางพวกเขา แรงระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้บอดี้การ์ดไม่สามารถเข้ามาประชิดตัวฉีเซิงได้ เธอจึงรีบใช้โอกาสนี้ในการวิ่งหนีพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงสังเกตเห็นฉีเซิงกำลังจะหนีออกมาจากบ้านพักตากอากาศหลังนั้น ผู้ช่วยของฉู่ถางก็รีบสั่งให้คนเอารถออก เพื่อไปรับเธอในทันที เมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งจอดเทียบอยู่เบื้องหน้าเธอ ฉีเซิงจึงลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ในแววตาของเธอส่อประกายครุ่นคิดก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปบนนั่งบนรถคันนั้น จากนั้นรถคนนี้ก็มุ่งหน้าสู่บ้านพักตากอากาศหลังสีขาวของฉู่ถางทันที ในรถมีเพียงผู้ช่วยและคนขับรถของฉู่ถางเท่านั้น ฉีเซิงจำพวกเข้าได้เพราะเธอเคยพบพวกเขามาก่อน
“คุณหนูซวี” สีหน้าของผู้ช่วยดูไม่จืด มันเต็มไปด้วยอาการตระหนก ตกใจ สงสัย ‘คุณหนูซวีพก ระเบิดมือไปไหนมาไหนกับเธอในชีวิตประจำวัน…พระเจ้า! น่ากลัวเหลือเกิน! นายท่านฉู่ นับแต่นี้ไปผมจะไม่ใช้คำว่าน่ากลัวกับคุณอีกต่อไปแล้ว!’
ฉีเซิงปัดฝุ่นที่อยู่บนร่างของเธอออกพลางมองเขาด้วยสายตาสงบราบเรียบของเธอ “คุณเห็นทุกอย่างเลยหรือ?”
ผู้ช่วยพยักหน้าตัวแข็งทื่อ “งั้นดิฉันควรจะปิดปากคุณเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหม?”
ผู้ช่วยเคราะห์ร้ายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ‘ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า คุณหนูซวีในตอนนี้เหมือนนายท่านฉู่ตอนที่ต้องกำลังเจรจากับคนที่กล้าล่วงเกินท่านอย่างกับก๊อปปี้มาแปะล่ะ?!’
“ผมไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง” ผู้ช่วยรีบเปลี่ยนคำตอบของเขาโดยทันที
………………………..
ผู้ช่วยรีบเดินนำฉีเซิงเข้าไปภายในบ้านพักตากอากาศของฉู่ถาง ก่อนจะหนีออกจากรัศมีสายตาของเธอด้วยความเร็วที่สุดในชีวิตที่เขาเคยทำมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขายังรักชีวิตของตัวเองอยู่
เมื่อฉีเซิงเปิดประตูเข้าไปสายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับฉู่ถาง ผู้ซึ่งเหยียดกายอยู่บนโซฟา ขาของเขาวางพาดบนโต๊ะกาแฟตัวเตี้ย ท่าทางของเขาดูเอื่อยเฉื่อยอย่างที่สุด
ได้ยินเสียงผลักเปิดประตู ฉู่ถางก็เบือนหน้ามามองเธอ รอยยิ้มแฝงความเล่ห์ฉายบนใบหน้าของเขา
“คุณทำให้ผมทึ่งมากคุณหนูซวี”
จะไม่ทำให้เขาประหลาดใจได้อย่างไรเมื่อเธอถึงกับมีระเบิดมือติดตัว
ฉีเซิงก้าวเข้าไปหาฉู่ถาง “ทำให้คุณฉู่ประทับใจได้ เป็นเกียรติของดิฉันจริงๆคะ”
ฉู่ถางมองฉีเซิงด้วยความสนใจชั่วขณะ ก่อนเขาจะโน้มตัวออกมาหันหน้าจอโน้ตบุ๊กเบื้องหน้าให้ไปทางเธอ บนหน้าจอของมันแสดงภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากเกิดการระเบิดในบ้านพักตากอากาศหลังที่ ที่ ฉีเซิงเคยถูกคุมขังอยู่
หลิงฮ่าวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพื่อเข้ารับการรักษา เขาหมดสติด้วยแรงระเบิดที่เกิดขึ้น ในขณะที่หนานกงจิ่งและซูอี้อี้กำลังยืนอยู่ด้านข้าง ซูอี้อี้ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ ส่วนหนานกงจิ่งกำลังปลอบประโลมเธออย่างใจเย็น ฉีเซิงปรายตามองภาพที่เกิดขึ้นไม่นานนักก่อนจะหมดความสนใจ จากนั้นเธอก็พับปิดฝาโน้ตบุ๊กเครื่องนั้นลง
สายตาของฉู่ถางมืดครึ้มลงเล็กน้อย “คุณจะปล่อยพวกเขาไป?” เขาถามด้วยน้ำเสียงกังวานแฝงไปด้วยกลิ่นไออันตราย
“ถ้าเป็นคุณ คุณจะปล่อยคนที่คิดฆ่าคุณไปไหมล่ะ?” ฉีเซิงตอบเขาด้วยคำถามย้อนกลับ และราวกับเขาจะได้คำตอบที่เขาต้องการ แววอันตรายที่ปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของฉู่ถางจึงเลือนหายแทนที่ด้วยรอยขบขัน
‘ตะกี๊ไอ้คนวิตถารนี่มันคิดจะฆ่าฉัน?! ฉันไม่ได้วิตกจริตไปเองแน่ๆ ลางสังหรณ์ของฉันไม่เคยพลาด!’
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ในคราแรกเธอคิดว่าเขามาที่นี่ด้วยความบังเอิญ แต่หลังจากที่ผู้ช่วยของเขามารับเธอ อีกทั้งยังมีภาพวิดีโอเหล่านั้นอีก หากให้เธอคิดว่าบังเอิญอีกก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“ไม่ลองเดาดูหน่อยหรือ?”
‘เดากับผีสิ!’
“หรือคุณฉู่จะตกหลุมรักดิฉันเข้าให้แล้ว คุณก็เลยหึงที่ดิฉันออกมากับหนานกงจิ่งแล้วก็เลยตามดิฉันมาใช่ไหม?”
‘เอาสิ! อยากให้ฉันเดาดีนัก ฉันจะทำให้นายขยะแขยงจนตายไปเลย!’
“ไม่ทราบว่าคุณหนูซวีเคยได้ยินภาษิตบทนี้ไหม?”
“ภาษิตอะไร?” ฉีเซิงถามอย่างระแวดระวัง
“ปลาหมอตายเพราะปาก” ดวงตาคู่สวยของฉู่ถางหรี่ลง รอยยิ้มน้อยๆ เกลื่อนบนใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตามรอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปอันตราย บรรยากาศรอบตัวเขากำจายด้วยกลิ่นอายข่มขู่ กดดันเสียแทบจะทำให้ผู้คนรอบข้างหายใจไม่ออก
ฉีเซิงเบนสายตาที่ประสานกับเขาออกคล้ายเป็นการยอมถอยให้เขา ท่าทางของเธอเปลี่ยนเป็น ‘โหมดเลียแข้งเลียขา’ ในทันที “หือ? ตายจริง วันนี้ดิฉันลืมกินยามาซะด้วยสิ ถ้าอย่างไร กรุณาอย่าถือสาคนไม่ได้รับยาอย่างดิฉันเลย”
“คุณป่วยเป็นโรคอะไร?”
“ดิฉันป่วยเป็นโรคที่มีชื่อว่า ‘ตกหลุมรักคุณฉู่ซินโดรม’ นะคะ ส่วนยารักษาโรคนี้ก็คือคุณฉู่” ฉีเซิงตอบด้วยท่าทางเหนียมอาย
ฉู่ถาง “………….”
อาจจะถือได้ว่าการพยายามจีบของฉีเซิงสำเร็จผล หากสายตาของฉู่ถางไม่ได้ฉายแววบางอย่างที่ดูไม่ค่อยจะถูกต้องนัก
ผู้ช่วยและเหล่าบอดี้การ์ดผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมต่างพากันหวาดผวา ‘คุณหนูซวีช่างใจกล้าถึงขนาด กล้าใช้มุกเสี่ยวกับนายท่าน! พวกเราขอชื่นชมคุณจากใจจริง! ไม่สิ ไม่ แค่ชื่นชมยังไม่พอ คุณหนูซวี! ได้โปรดรับการคารวะจากพวกเราด้วย!!’
คอมเม้นต์