เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 182 เมื่อคืนพวกเธอไปเล่นที่ไหนมา?
น่าสงสารคนเป็นแม่ในโลกนี้ หากไม่ใช่เพราะอาการป่วยของตนแม่ของเสี้ยวหยาก็คงไม่รีบร้อนให้ลูกสาวหาคู่ชีวิตที่มีความจริงใจต่อเธอ บางทีมีเพียงคนที่ยืนอยู่ในฐานะแม่อย่างแม่ของเสี้ยวหยาเท่านั้นที่จะเข้าใจอารมณ์ของคนเป็นแม่เช่นนี้
เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่สวยงามและไร้เดียงสาคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตก็เชื่อฟังและรู้ความ ในด้านความรักก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถทําให้เธอหวั่นไหวได้เลย ชายใดบ้างที่จะไม่มากรัก หญิงใดบ้างที่จะไม่อยู่ในห้วงแห่งความรัก ขอเพียงเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจหลุดพ้นกิเลสตัณหาไปได้ ความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ก็คือความรู้สึก
เพียงแต่ว่าจะอย่างไรเสี้ยวหยาก็คิดไม่ถึงว่า แม่ของเธอจะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหัน แล้วยังพูดต่อหน้าเย่เทียนเฉินอีกต่างหาก ทำให้ทั้งสองค่อนข้างรู้สึกลำบากใจ
เสี้ยวหยาไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความรู้สึกใดต่อเย่เทียนเฉินแล้ว และไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความรักใคร่ เพียงแต่ไม่ใช่อารมณ์รุนแรงเช่นนั้น ระหว่างทั้งสองไม่นับว่าโรแมนติกอะไรมากมาย ครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน เสี้ยวหยาก็เห็นเย่เทียนเฉินสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่เพื่อออกหน้าแทนเธอ การช่วยเหลือของเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่มีต่อเธอ ทำให้เสี้ยวหยารู้สึกซาบซึ้งมาก ความรู้สึกที่มากที่สุดจึงหยุดลงเพียงแค่สถานะของเพื่อนสนิทเท่านั้น
เพียงแต่เมื่อผ่านประสบการณ์เมื่อคืนมาแล้ว ทำให้เสี้ยวหยาไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เย่เทียนเฉินปกป้องตนเองราวกับมัจจุราช เผชิญหน้ากับอันธพาลที่ใช้มีดตัดฟืนสามร้อยกว่าคนโดยไม่ยอมถอยแม้เพียงครึ่งก้าว ความรู้สึกที่ถึงตายก็จะปกป้องตนเองให้ได้นั้น เสี้ยวหยาสามารถสัมผัสได้จากในใจ ผู้ชายเช่นนี้บางทีอาจจะพบแค่ครั้งเดียวในชีวิต
สิ่งที่ทำให้เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินตกอยู่ในอันตราย เธอจะเป็นห่วงขนาดนั้น และไปขวางมีดให้เขาโดยที่ไม่สนใจตนเอง
เมื่อคลื่นทะเลซัดสาด จึงเห็นธาตุแท้แห่งจอมคน การพานพบภัยอันตรายด้วยกัน จึงจะเป็นน้ำใสใจจริงแห่งโลกมนุษย์
ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ความรู้สึกที่เสี้ยวหยามีต่อเย่เทียนเฉินในตอนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ทั้งชอบ ซาบซึ้ง และหวั่นไหว เสี้ยวหยาที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความรักสนใจเพียงแต่การเรียนมาโดยตลอด จึงไม่สามารถเข้าใจชัดเจนว่าตนเองในตอนนี้คิดอย่างไรกันแน่
“อ้อ มะ ไม่เป็นไร เทียนเฉิน อย่ายืนอยู่เลย นั่งเถอะ!” แม่ของเสี้ยวหยาได้สติกลับมา จึงค่อยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ผมยืนก็ดีแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า
เป็นเพราะคำพูดของแม่ของเสี้ยวหยา ทั้งสองจึงได้กระอักกระอ่วน ในใจของแต่ละคนก็คิดเรื่องในใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทำให้บรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยค่อยๆ กลายเป็นกดดันขึ้นมา ทุกคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาสบตากัน เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงยิ้มให้อย่างอึดอัด ส่วนเสี้ยวหยาก็หน้าแดงอย่างไร้เดียงสา
ปัง!
ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก หลิงอวี่สวิ๋นหอบกล่องของขวัญกองหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาต่างก็อยู่ด้านในจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความสนใจแล้วพูดขึ้นว่า “นายนี่กระตือรือร้นดีจริงๆ เลย ฉันว่าฉันมาเช้าที่สุดแล้วนะ คิดไม่ถึงว่านายยังจะมาเช้ากว่าฉันอีก!”
“นี่ยังเรียกว่าเช้าอีกเหรอ? ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว คุณหนูอย่างเธอนี่นอนขี้เกียจนานเลยสิท่า? ถ้าขี้เกียจมากเกินไปวันหน้าจะแต่งไม่ออกจริงๆ ด้วย!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า แสร้งทำท่าทางสงสารแล้วพูดออกมา
“ใครเขานอนขี้เกียจกัน ฉันตื่นมาก็อาบน้ำแล้วก็ขับรถมาเลย ไม่เหมือนคนบางคน ไม่รู้ว่าไม่อาบน้ำมากี่ร้อยปีแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปที่เย่เทียนเฉินอย่างกวนๆ แล้วพูดขึ้น
“เธอรู้เหรอว่าฉันไม่อาบน้ำมากี่ร้อยปีแล้ว? หรือว่าเธอเข้าห้องน้ำพร้อมฉัน?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
“ไอ้บ้า ไอ้บ้ากาม!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดขึ้น จ้องมองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดัน
เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเจอหน้ากันก็ปะทะฝีปากกันทันที ไม่มีใครยอมลงให้ใคร ให้ความรู้สึกเหมือนกับฉีหรูเสวี่ยในตอนแรก ผู้หญิงในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงสวย จะมากจะน้อยก็ต้องอารมณ์ร้อนกันบ้าง เมื่อเทียบหลิงอวี่สวิ๋นกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นยังทำให้เย่เทียนเฉินปวดหัวได้มากกว่าเสียอีก เธอกับเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองข้ามหลิงอวี่สวิ๋นได้ ทำได้เพียงปะทะฝีปากกับเธอมาโดยตลอด
เสี้ยวหยาเห็นหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันทันที บรรยากาศพลันอบอุ่นขึ้นมา ทุกคนไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไรขนาดนั้นแล้ว ในใจรู้สึกอิจฉาอยู่บ้านจริง อิจฉาที่พวกเขาไร้ความกังวล
เพียงไม่นาน ภายในห้องผู้ป่วยที่แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เมื่อมีหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นคนร่าเริงเพิ่มเข้ามา บรรยากาศจึงไม่หม่นหมอง ทั้งสี่พูดคุยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งถึงเวลาประมาณเที่ยง พ่อของเสี้ยวหยาก็มาส่งอาหาร เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นจึงจะเดินออกไปจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง
เมื่อเดินออกมาจากโรงพยาบาล เย่เทียนเฉินก็มองไปยังเสี้ยวหยาด้วยความกังวลแล้วเอ่ยถามว่า “หยาเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ถึงแม้บาดแผลที่หลังของเสี้ยวหยาจะไม่ลึก หลังจากที่เลือดหยุดไหลแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ก็ควรจะเจ็บมาก อย่างไรก็เป็นบาดแผลจากมีด ดังนั้นในตอนที่พูดคุยกัน เย่เทียนเฉินจึงมองไปยังเสี้ยวหยาเป็นระยะ ด้วยกลัวว่าเธอจะรู้สึกปวดเพราะบาดแผล
“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ!” เสี้ยวหยายิ้มพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
หลิงอวี่สวิ๋นที่เดินอยู่ข้างกายของเสี้ยวหยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเมื่อคืนเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาไปเจออะไรมา เนื้อหาในบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาหมายถึงอะไรกันแน่
“พวกเธอ…หรือว่าพวกเธอสองคน…จะ…กันแล้ว? เร็วจริงๆเลย…” ทันใดนั้นหลิงอวี่สวิ๋นพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออกมา จึงมีท่าทางตกใจจนหน้าซีด เอ่ยถามขึ้นมาด้วยคำพูดติดอ่าง
“หือ? พี่อวี่สวิ๋น พี่หมายถึงอะไรคะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามพลางมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นด้วยความสงสัย
“เมื่อคืนพวกเธอสองคนไปเปิดห้องกันใช่ไหม? ไอ้บ้านี่ทำเธอ…”หลิงอวี่สวิ๋นแลบลิ้นออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาก็เกือบจะสะดุดล้มลงกับพื้น ทำไมพวกเขาจะคิดไม่ได้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจในบทสนทนาของพวกเขา แน่นอนว่านี่ต้องโทษคำพูดของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาที่ทำให้คนอื่นเข้าใจไปในเรื่องนั้นได้ง่าย คนนึงพูดว่าเธอไม่เป็นไรใช่ไหม อีกคนพูดว่าไม่เจ็บ เหมือนกับบทสนทนาระหว่างหญิงชายที่เปิดห้องกันเป็นครั้งแรก
“ความคิดของเธอจะลามกเกินไปแล้ว ให้เกียรติใบหน้าสวยๆ ของเธอด้วยเถอะ!” เย่เทียนเฉินเคาะหัวหลิงอวี่สวิ๋นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“โอ๊ย ไอ้บ้า หาเรื่องหรือไง? หรือว่าเมื่อคืนพวกเธอสองคนไม่ได้…งั้นทำไมถึงถามแบบนั้นออกมาล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
“ใช่ที่ไหนกันคะพี่อวี่สวิ๋น ไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะคะ ไม่มีเรื่องแบบนั้น!” ใบหน้าเล็กๆ ของเสี้ยวหยาแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์เรื่องระหว่างชายหญิงมาก่อนแต่ก็ฟังความหมายในคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นออก
“งั้นทำไมพวกเธอถึงได้…”
“นี้เป็นความลับระหว่างเราสองคน ไม่บอกเธอหรอก ฮ่าๆ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะขึ้น
“นาย…ใครอยากจะรู้กัน หึ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความไม่พอใจ
เมื่อเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเพิ่งจะเดินออกมาถึงประตูใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะรีบเก็บซ่อนในทันที แต่จิตสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ยังคงไม่สามารถหลบซ่อนจากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินได้
เย่เทียนเฉินมองไปยังศาลาพักผ่อนด้านซ้ายมือ บริเวณนั้นเป็นสวนหย่อมเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้คนที่มารักษาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงได้พักผ่อน จิตสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนั้นแพร่ออกมาจากในสวนหย่อม เย่เทียนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มให้เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นพลางพูดขึ้นว่า “ผู้หญิงอย่างพวกเธอสองคนรอฉันสักหน่อยนะ เดี๋ยวฉันมา!”
“นี่ ไอ้บ้า นายจะไปไหน? คงไม่คิดที่จะหาเรื่องโดดไม่ยอมจ่ายเงินค่าอาหารหรอกนะ…” คำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็เดินตรงไปที่สวนหย่อมแล้ว
เย่เทียนเฉินเดินไปทางสวนหย่อมและค่อยๆ กระตุ้นความสามารถพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตนอย่างช้าๆ จิตสังหารที่เขาสัมผัสได้ไม่ธรรมดาเลย อีกฝ่ายจะต้องเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างแน่นอน
ฉัวะ!
เพิ่งจะเดินเข้าไปในสวนหย่อม ก็มีคนลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน เป็นหมัดที่รุนแรงมาก ซัดมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เง่าร่างหนึ่งโจมตีมาจากบนอากาศราวกับเหยี่ยวสยายปีก มุมปากของเย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มือขวากำแน่น ไม่หลบไม่ซ่อน ซัดหมัดออกไปปะทะเช่นเดียวกัน
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เงาร่างที่ปล่อยหมัดออกมาลอบโจมตีเย่เทียนเฉินถูกมัดของเย่เทียนเฉินปะทะเข้าอย่างรุนแรง จากนั้นจึงกระเด็นพลิกกตัวไปด้านหลังแล้วตกลงสู่พื้น เย่เทียนเฉินไม่ได้ไล่ตามไปโจมตี ทำเพียงยืนมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา
“ไม่ได้เจอกันพักหนึ่งแล้ว มวยสิงอี้ของนายพัฒนาขึ้นนะ ท่าทางจะฝึกฝนอย่างยากลำบากนาน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันอู๋เสวี่ยที่เคยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ต่อให้พยายามอย่างเต็มที่ก็ไม่ใช่คู่มือของนาย นายแข็งแกร่งจริงๆ”
ผู้มาเยือนก็คืออู๋เสวี่ย ซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียนเฉินไปมาก ในความทรงจำเกรงว่าจะมีแค่อู๋เสวี่ยเพียงคนเดียวถึงจะสามารถแผ่จิตสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้นออกมาได้ นี่เป็นสัญลักษณ์ของนักฆ่าชั้นยอด
เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่เข้าใจ เขากับอู๋เสวี่ยไม่มีความเกี่ยวพันกันมากนัก อู๋เสวี่ยเคยถูกลั่วซงเฉิงใช้ผลประโยชน์เข้าข่มขู่และบีบบังคับให้มาฆ่าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็ชื่นชมในความสามารถและนิสัยของอู๋เสวี่ย ดังนั้นจึงไม่ได้ฆ่าเขา สุดท้ายก็ตกลงกันว่าจะช่วยพ่อของอู๋เสวี่ยออกมาจากคุก จากนั้นระหว่างคนทั้งสองก็ไม่ได้มีการติดต่อใดๆ กันอีก หากว่ากันตามเหตุผลคงไม่มีวันจะได้พบหน้ากันอีก แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วอู๋เสวี่ยกลับมารอเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ
“นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ? มีเรื่องอะไรก็พูดมา ฉันยังต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนสาวสวยทั้งสองคนนั้นอีก!” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมาเพราะอยากจะบอกนายว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว มาถึงตอนเจ็ดโมงเช้า เขาจะมาฆ่าเพื่อนายโดยเฉพาะ!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“งั้นเหรอ? งั้นก็ดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่กล้าโผล่หน้าออกมา รู้จักแต่วางแผนร้ายอยู่ข้างหลัง!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ต่อสู้กับเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็นับถือเย่เทียนเฉินจากใจ ถึงแม้คนๆ นี้จะมีบางเวลาที่ดูไม่เอาไหน นิสัยก็ค่อนข้างตามสบาย แต่กลับมีบรรยากาศที่ทำให้คนไม่กล้าดูเบา
……………………….
คอมเม้นต์