STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา – ตอนที่ 16 ผู้เป็นอาจารย์ (1)
วันนี้หลี่ฮ่าวไม่ทำอะไร แค่ถามและฟังอย่างเดียว
เจอหลิวหลงตอนเช้าครั้งเดียว เวลาที่เหลือก็ไม่เจอเจ้าตัวอีก คาดว่าคงไปจัดการธุระแล้วล่ะ
ส่วนทางหน่วยปฏิบัติการไม่ได้โยกย้ายหลี่ฮ่าวไป
อาจกังวลว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงไม่ได้ทำเรื่องขอย้าย นอกจากสมาชิกทีมล่าปีศาจก็มีเพียงหวังเจี๋ยประจำห้องเก็บแฟ้มคดีเท่านั้นที่รู้
……
เวลาหกโมงเย็น
ถึงเวลาเลิกงานแล้ว
หลี่ฮ่าวจัดการเก็บของเล็กน้อย ปืน Vortex รุ่นที่สามยังคงพกติดตัวเสมอ แม้หลิวเยี่ยนจะให้เขาเลือกอาวุธปืนชนิดอื่นได้ตามใจชอบแต่หลี่ฮ่าวไม่ได้ไปเลือก อาวุธที่มีอานุภาพมากเท่าไรก็ยิ่งไม่สะดวกพกพามากเท่านั้น
หลี่ฮ่าวกลับเลือกระเบิดมาหลายลูกแทน แต่ละลูกขนาดไม่ใหญ่มาก แค่เก็บไว้ในกระเป๋าพอไหว ยกเว้นเสียแต่อย่าระเบิดคากระเป๋าก็พอ
แหงนมองท้องฟ้าวูบหนึ่ง อากาศปลอดโปร่งสดใส
คืนนี้คงไม่ฝนตก
“ทีมล่าปีศาจ…”
หลี่ฮ่าวนั่งควบจักรยานหันกลับไปมองกองตรวจการณ์แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองตึกปฏิบัติการที่อยู่ไกลออกไปอีกแวบหนึ่ง ราวกับรู้สึกได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งหรือดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องตนอยู่
หลิวหลงหรือเปล่านะ?
ตอนนี้คนพวกนี้กำลังจดจ้องตัวเองอยู่หรือเปล่านะ ความจริงแผนเหยื่อล่อได้เริ่มต้นขึ้นแล้วใช่ไหม?
“หลิวหลงใช่ว่าจะเชื่อใจไม่ได้ แต่ก็จะเชื่อทั้งหมดไม่ได้!”
หลี่ฮ่าวมีความคิดเป็นของตัวเอง เขากับหลิวหลงไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะสนิทกันตั้งแต่แรกพบ หากหลิวหลงเป็นคนเห็นแก่ความชอบธรรม เขาไม่จำเป็นต้องจงใจวางแผนทำร้ายตน เว้นแต่ตนจะถูกเงาโลหิตฆ่าจริงๆ อย่างนั้นก็ฆ่าเถอะ!
เสียสละตัวเองทำลายผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหนึ่งคน หลิวหลงอาจไม่สะทกสะท้านสักนิดก็ได้
ต่อให้อาจารย์จะหมดคำพูดแล้วก็ตาม!
หากหลิวหลงไม่ฆ่าตนเองกับมือ อาจารย์ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ หลี่ฮ่าวคิดในใจว่าเหตุที่หลิวหลงไม่ได้ถามถึงกระบี่ บางทีก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาจารย์เช่นกัน เพราะตำแหน่งหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการผูกมัดหลิวหลงเอาไว้อยู่ดี
ในเมื่อเขาไม่ใช่คนที่อยู่ฝ่ายอธรรม
เขาเป็นคนของกองตรวจการณ์ ที่เบื้องหลังยังมีคนของหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลคอยจ้องมองอยู่
“ต่อให้อาจารย์ไม่ได้ทำอะไร ความจริง…ก็แอบช่วยเราอย่างลับๆ อยู่ดี”
หลี่ฮ่าวรู้ดีแก่ใจ หากไม่มีพระโพธิสัตว์อย่างหยวนซั่วอยู่ ต่อให้หลิวหลงไม่ฆ่าตน แต่เรื่องกระบี่ก็คงต้องถามถึง ถึงขั้นอาจจะอ้างว่าเป็นสิ่งของไว้ใช้ล่อเหยื่อแล้วให้ตนเอาออกมาก็ได้
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายรู้ดีแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงใจหยวนซั่ว
“ก็เพราะฉันอ่อนแอเกินไปอยู่ดี!”
เสียงดัง‘เอี๊ยดอ๊าด’
หลี่ฮ่าวขึ้นปั่นจักรยาน เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ฝ่ายเงาโลหิตคอยจับตามองตนอยู่หรือไม่ และไม่รู้ว่าพวกหลิวหลงตามมาหรือเปล่า คนพวกนี้จงใจหลีกเลี่ยง ตัวเขาเองก็สังเกตพวกเขาได้ยาก
“มีแต่ต้องแข็งแกร่งด้วยตัวเอง!”
หลี่ฮ่าวพูดพึมพำกับตัวเองประโยคหนึ่ง ต่อให้เป็นหลิวเยี่ยนที่มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเขา หลี่ฮ่าวก็ไม่กล้าเชื่อหมดใจ ยามเจออันตรายจริงๆ ใช่ว่าคนๆ นี้จะยอมช่วยตนสักหน่อย
“หวังว่าก่อนที่พวกเขาจะลงมือ เราจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้!”
ก่อนหน้านี้หลี่ฮ่าวไม่กล้าดื่มน้ำแช่จี้หยกกระบี่มากเท่าไร เหตุผลหนึ่งเพราะย่อยสลายได้ช้า อีกส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าจะทำลายพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติเหล่านั้นจนหมดไปเสียก่อน
แต่มาถึงตอนนี้หลี่ฮ่าวก็นึกได้ว่าหากตนตายไป ต่อให้มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ดังนั้นต้องแช่เยอะๆ ดื่มให้มาก!
ไม่เพียงเท่านี้ หลี่ฮ่าวถึงขั้นคิดว่าจะทำลายจี้หยกกระบี่เพื่อปลดปล่อยพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติออกมามากขึ้นได้หรือไม่นะ? อย่างไรเสียเวลานี้เขาเองก็ไม่สนแล้วว่าเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลหรือเปล่า
หากจี้หยกกระบี่ใช้ไม่ได้ อย่างนั้นก็ยังมีหินมีดอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือ
……
จักรยานค่อยๆ ขับเคลื่อนไปข้างหน้า
หลี่ฮ่าวมองตรงไปข้างหน้าไม่สนใจเรื่องอื่นๆ
ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านฉี่หมิงแล้ว
ตึกหก ห้อง 302
ยังไม่ทันก้าวเข้าประตู เจ้าเสือดำก็วิ่งออกจากมุมหนึ่งอย่างรวดเร็วราวกับเงามืด เจ้าหมอนี่คล่องตัวกว่าแต่ก่อนอีกแฮะ
“โฮ่ง!”
เจ้าเสือดำส่ายหางไปมาคล้ายจะบอกว่าวันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยปลอดภัยดี หลังจากหลี่ฮ่าวออกไปเหมือนไม่มีใครสนใจที่พักของเขาเลย และไม่มีใครมาค้นตรวจดูที่นี่ด้วย
ส่วนหลี่ฮ่าวมองเจ้าเสือดำที่เหมือนจะตัวใหญ่กว่าเมื่อวานประมาณหนึ่งพลางลูบศีรษะมันเบาๆ ทีหนึ่ง
จากนั้นเขาก็เปิดประตูเข้าห้องไป
หลี่ฮ่าวถอดเสื้อผ้าออก เปิดไฟ ภายในห้องยังคงมืดสลัวเหมือนเคยเพราะผ้าม่านถูกปิดมิดชิดอยู่
หลี่ฮ่าวหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาพลางขบคิดทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันนี้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป!
ทำให้เขาย่อยไม่ทันในฉับพลัน และไม่อาจวิเคราะห์แยกแยะเบาะแสต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
“ทีมล่าปีศาจ เงาโลหิต คนผู้พิทักษ์รัตติกาล แปดตระกูลใหญ่…”
“ส่วนเรา บางทีอาจเป็นตัวแทนผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของแปดตระกูลใหญ่!”
“เป้าหมายของเงาโลหิตคือเรา เป้าหมายของทีมล่าปีศาจเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเงาโลหิต เพราะหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลมีเรื่องติดพันมากมายเลยใช่ว่าจะมาได้ ส่วนทางอาจารย์กำลังจะออกเดินทาง อีกฝ่ายอาจส่งคนมาเหมือนกัน!”
“เงาโลหิตที่เจอเมื่อคืนกับเบื้องหลังความเป็นอยู่ของเงาโลหิต เป็นสมาชิกเงาโลหิตทั้งหมด หรือว่า…เป็นแค่หนึ่งในนั้น”
มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่นี่กี่คนกันแน่?
หลี่ฮ่าวก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน!
ทว่าหลี่ฮ่าวเดาว่าคงไม่ใช่แค่คนเดียวแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่าคนเมื่อคืนเป็นเพียงสายลับคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกมือทั้งหมดของเงาโลหิต
“หลิวหลงเคยคำนึงถึงจุดนี้ไหม ถ้าไม่ได้มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแค่คนเดียว แต่เป็นสองคน หรืออาจจะสามคน สี่คน ทีมล่าปีศาจยังจะรับมือได้หรือเปล่า”
หลี่ฮ่าวเคาะโต๊ะเบาๆ ถึงทีมล่าปีศาจจะช่วยเหลือเขาไว้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความอุ่นใจให้แก่เขาได้เช่นเคย
มีเรื่องให้เขาคิดเต็มไปหมด!
ณ ตอนนี้กลับไม่มีใครที่จะช่วยเหลือตนได้เลย
วินาทีถัดมาก็พานฉุกนึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมาซึ่งเรียกให้หลี่ฮ่าวชั่งใจไปครู่หนึ่ง แต่ก็เลือกที่จะหยิบเครื่องสื่อสารขึ้นมา เขาต้องการขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องเป็นการช่วยเหลือด้านรูปธรรม ขอแค่เป็นคำปลอบโยนก็ยังดี
……
มหาวิทยาลัยกู่ย่วน เมืองหยิน
หยวนซั่วกำลังฝึกกระบวนท่าหมัดมวยที่น่าเกลียดอย่างมากอยู่ตรงลานบ้าน จะบอกว่าเป็นกระบวนท่าหมัดมวยก็ไม่ถูก เหมือนแม่ไก่ตัวแก่ๆ ที่กระพือปีกมากกว่า
แต่นี่ไม่ใช่หมัดไก่ แต่เป็นเคล็ดวิชาวิหค!
เป็นหนึ่งในห้าเคล็ดวิชาปาณภูต
เสือ กวาง หมี ลิง นก เคล็ดวิชาลิงฝึกตัวเบาง่ายต่อการหนี เคล็ดวิชาวิหคก็เป็นวิชาตัวเบาเช่นกัน กลับช่วยให้หนีได้ดีกว่าเคล็ดวิชาลิง และแน่นอนว่าทั้งห้าเคล็ดวิชาปาณภูตล้วนมีท่าไม้ตายกันทั้งนั้น!
เคล็ดวิชาลิงก็ดี เคล็ดวิชาวิหคก็ดี ต่างมีกระบวนท่าสังหารในรูปแบบของตัวเอง
เพียงแต่สิ่งเหล่านี้หลี่ฮ่าวศึกษาไม่ลึกมากพอ ศึกษาได้ไม่เข้าใจถ่องแท้สักเท่าไร ถึงได้ฝึกเคล็ดวิชาลิงซึ่งใช้ในการหลบหนีเอาตัวรอดมาโดยตลอด
พลั่ก!
หยวนซั่วที่ท่วงท่าเชื่องช้า ดูเหมือนไม่ได้ใช้แรงมากนัก ตอนปล่อยหมัดเหมือนแม่ไก่แก่ๆ กระพือปีก ไร้ซึ่งความงดงามให้เชยชม แต่แล้วกลับเกิดเสียงแตกระเบิดกลางอากาศครั้งแล้วครั้งเล่าตรงลานบ้าน
ปรมาจารย์นักรบทลายร้อย!
หนึ่งในบุคคลที่เคยอยู่จุดสูงสุดในสายวิถีนักสู้
เพียงแต่ปัจจุบันอายุเพิ่มพูนมากขึ้น ร่างกายถดถอยเสื่อมโทรมลง บวกกับพลังเหนือธรรมชาติที่ปรากฏตัว อาวุธปืนมีอยู่เกลื่อนกลาด กระทั่งคนรุ่นนี้ได้ออกจากยุทธภพอย่างช้าๆ ในสายตาคนภายนอกเขาก็คือผู้มีการศึกษาอย่างบริสุทธิ์ เป็นผู้ครองอำนาจสูงสุดของคณะอารยธรรมโบราณ
“ติง ติง ติง!”
เสียงคล้ายกระดิ่งดังขึ้นรัวๆ เรียกให้หยวนซั่วหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ หันไปมองยังเครื่องสื่อสารที่วางอยู่แวบหนึ่ง หยวนซั่วเดินไปกดรับสาย
“ไปหน่วยปฏิบัติการแล้วเหรอ”
“ครับ!”
หยวนซั่วเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดคาดอะไร ในเมื่อนักศึกษาคนสนิทคนนี้ของเขาเอ่ยปากแล้วว่าจะไป ย่อมไม่มีทางลังเลแน่นอน
ราวกับรู้ว่าหลี่ฮ่าวติดต่อมาเพื่อจุดประสงค์ใด
หยวนซั่วยิ้มเอ่ย “หมดความมั่นใจแล้วเหรอ วันนี้โดนหลิวหลงข่มอำนาจใส่ล่ะสิ คิดว่าตัวเองหมดประโยชน์ อยู่ข้างนอกต่อไม่ได้แล้วว่างั้น”
“นิดหน่อยครับ”
หลี่ฮ่าวเองก็ไม่ปฏิเสธ ตอบกลับเสียงเบาว่า “อาจารย์ครับ พลังเหนือธรรมชาติปรากฏแบบนี้แล้ว อาจารย์ว่าการศึกษายังมีอนาคตอยู่ไหมครับ”
เห็นพลังอันแข็งแกร่งของคนพวกนั้นแล้ว หลี่ฮ่าวกำลังคิดว่าการศึกษายังมีอนาคตอยู่จริงหรือเปล่า?
หลังจากนี้โลกใบนี้จะกลายเป็นโลกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นหรือเปล่า?
คนที่ไร้พลังเหนือธรรมชาติอย่างพวกเขาจะสามารถหางานเลี้ยงตัวเองใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอย่างตอนนี้ได้อยู่ไหมนะ?
คอมเม้นต์