STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา – ตอนที่ 28-2 ตัวทดลอง (2)

อ่านนิยายจีนเรื่อง STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา ตอนที่ 28-2 ตัวทดลอง (2) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 28 ตัวทดลอง (2)

ตู้ม!

เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง หลี่ฮ่าวสวมรองเท้าหนังที่มีเฉพาะของคนในกองตรวจการณ์ใส่เท่านั้น ทั้งทนทานและแข็งแรงมาก

เท้าเตะมาปะทะกับกำปั้นของเฉินเจียนพอดี

กำปั้นของเฉินเจียนเองก็แข็งจนน่ากลัว

แกรก!

เกิดเสียงเบาดังขึ้นอีกหน หลี่ฮ่าวรู้สึกว่ากระดูกส่วนเท้าจะแตกร้าวไปแล้ว

แต่หลี่ฮ่าวในตอนนี้กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาอาศัยแรงเด้งตัวกลางอากาศอีกทีเหมือนลิง กำปั้นของเฉินเจียนคือฐานรับ เท้าของเขาอาศัยฐานนี้ในการหมุนตัว

ณ ตอนนี้ในสายตาคนภายนอก เหมือนเฉินเจียนกำลังจับขาของหลี่ฮ่าวไว้ แล้วเหวี่ยงตัวหลี่ฮ่าวเป็นวงกลม

แต่ความจริงกลับคนละเรื่องกันเลย

เฉินเจียนคิดว่ากำปั้นของตน ถูกเท้าของหลี่ฮ่าวจับไว้ก็ไม่ปาน!

เพราะมันแนบติดอยู่ด้วยกัน!

หลี่ฮ่าวอาศัยกำปั้นเป็นฐานรองแล้วหมุนตัวหนึ่งรอบ เท้าเตะดีดตัวขึ้นกลางอากาศ จากนั้นสองขาก็สลับเตะไปมาอย่างบ้าคลั่ง!

“ปึกๆ!”

เสียงดังสนั่นไม่หยุด

ส่วนเฉินเจียนก็ทำหน้าเรียบตึง แล้วใช้สองแขนขึ้นมาคุ้มศีรษะเอาไว้เพื่อป้องกันส่วนสำคัญ ก่อนจะหาจังหวะต่อยกลับไป

ทั้งสองสลับกันโจมตีไปมา เริ่มการต่อสู้ในเขตออกกำลังกาย

หลี่ฮ่าวเตะแรงๆ ไปอีกที เฉินเจียนหนีทันก่อนจะเกิดเสียงดังพลั่ก สุดท้ายกำแพงก็ถูกหลี่ฮ่าวเตะจนเป็นรู

……

ในขณะที่ทั้งคู่กำลังต่อสู้กันอย่างเมามัน

หน้าประตูก็มีใครบางคนยืนมองอยู่อย่างไม่เชื่อสายตา

หลิวเยี่ยนเบิกตากว้างนิ่งค้างไป จากนั้นหล่อนก็หันไปมองหลิวหลงด้านข้างแวบหนึ่ง หลิวหลงก็ชะงักค้างไปอีกคนด้วยท่าทีเหม่อลอย จนผ่านไปพักใหญ่ถึงเอ่ยด้วยเสียงนิ่งว่า “พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ…เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกเลย!”

นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก

หลี่ฮ่าวในวันก่อนเป็นแบบไหน ทุกคนต่างเห็นเองกับตา

เมื่อวานหลังจากหลี่ฮ่าวดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไปก็ไม่แย่ อย่างน้อยก็เตะหลิวเยี่ยนไปได้ทีหนึ่ง

แต่หลี่ฮ่าวในวันนี้…หากไม่ใช่หลิวหลงที่ดูเวลามาดีแล้ว เขาคงสงสัยว่าเป็นการกลับมาเจอหลี่ฮ่าวอีกครั้งหลังผ่านไปหลายปี

โอ้โห หนึ่งคืนเลื่อนขั้นเป็นสิบสังหารเลยเหรอ!

แม้จะยังดูอ่อนหัดไปสักหน่อยและดูขาดแคลนประสบการณ์ไปบ้าง แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็เหมาะที่จะช่วยให้หลี่ฮ่าวได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ เฉินเจียนเป็นสายป้องกันตัวที่ไม่ถนัดจู่โจม เช่นนี้จะช่วยให้หลี่ฮ่าวได้แสดงศักยภาพทั้งหมดออกมา

หลิวเยี่ยนกลอกตาขาวใส่

ไอ้บ้าเอ้ย!

ใช่ว่าเราจะไม่เคยดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมาก่อน จะมีผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน หากดูดซับไปสองลูกบาศก์แล้วเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์นักรบสิบสังหารได้เลย…ถ้าอย่างนั้นในบรรดาพิทักษ์รัตติกาลคงไม่มีระดับขั้นแสงดาราแล้ว!

ปรมาจารย์นักรบสิบสังหาร หากได้เลื่อนขั้นเมื่อไรคงเป็นจันทราทมิฬ!

ดังนั้นความจริงแล้วผู้พิทักษ์รัตติกาลก็หวังว่าจะมีปรมาจารย์นักรบที่มีพื้นฐานบางส่วนเข้าร่วมกับพวกเขาได้ เพื่อดึงพลังสู่ร่างกายกลายเป็นปรมาจารย์จันทราทมิฬ

แน่นอนว่าขั้นทะลวงร้อยยากเกินไป อย่างเช่นหลิวหลง หากเขาสามารถเลื่อนระดับขั้นได้สบายๆ ผู้พิทักษ์รัตติกาลคงเห็นเขาเป็นสมบัติล้ำค่าไปแล้ว

ความจริงหลิวหลงก็ดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไปมากพอสมควร แต่ก็ไม่อาจเลื่อนขั้นได้สักที ถึงทำให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลผิดหวังและระอาใจต่อเขาอยู่ประมาณหนึ่ง ดังนั้นเลยจำต้องล้มเลิกที่จะสนับสนุนหลิวหลงแล้วให้เขามาอยู่ในตำแหน่งเดิม

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ถือว่าเจ้าหมอนี่เป็นแขกขาจรของผู้พิทักษ์รัตติกาลแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้สักที หากปรมาจารย์นักรบทนอยู่ที่นั่นต่อไปกลับน่าอึดอัดไม่น้อย การเลือกที่จะกลับมายังเมืองหยินก็เป็นการตัดสินใจของหลิวหลงเอง

ขอบเขตสิบสังหาร จึงกลายเป็นกลุ่มคนที่ผู้พิทักษ์รัตติกาลชอบดึงตัวไปมากที่สุด

เพียงแต่น่าเสียดาย ปรมาจารย์ยากที่จะเป็นได้ โดยทั่วไปพอฝึกถึงขอบเขตสิบสังหารก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งด้วยวิวัฒนาการของพลังเหนือธรรมชาติ ความจริงก็มีคนส่วนหนึ่งยากที่จะทนรับการฝึกฝนที่ทรหดได้ ใจปรารถนาอยากแต่จะเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทันทีให้รู้แล้วรู้รอดไป

คนที่ตั้งจิตฝึกฝนอย่างสงบได้ มีไม่มากนัก

ขณะนั้นเอง อวิ๋นเหยาที่ไม่พูดอะไรมาตั้งแต่ต้นพลันก็เอ่ยเสียงเบาว่า “พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติในร่างกายเขา…พวกคุณสัมผัสได้ไหม”

โดยปกติมือใหม่อย่างหลี่ฮ่าว หากดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไปจะมีช่วงที่พลังเล็ดลอดแผ่ออกมาจากกายอยู่ตลอดเวลา

ต่อให้เป็นหลิวหลง ความจริงภายนอกทั่วทั้งร่างกายก็จะมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ ทั้งทีมล่าปีศาจก็เช่นกัน

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่ฮ่าวถึงมองเห็นแสงดาราได้

ส่วนหยวนซั่ว หลี่ฮ่าวกลับมองไม่เห็น

ครั้นคำถามของอวิ๋นเหยาโพล่งออกมา แววตาของหลิวหลงก็เปลี่ยนไปแวบหนึ่ง นาทีถัดมาก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นก็แค่นหัวเราะขึ้นมาทันที “ศิษย์ของหยวนซั่วไม่ธรรมดาจริงๆ! ตาแก่นั่น ปรมาจารย์นักรบใกล้จะดับสูญไปแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังมัวปกปิดอยู่ได้ ไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือสหายร่วมทางในแวดวงปรมาจารย์ด้วยกันเลย!”

วินาทีนี้เขานึกถึงหยวนซั่วขึ้นมา

หยวนซั่วก็เป็นแบบนี้สินะ!

ทุกครั้งที่ดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติเสร็จ ไม่มีใครสัมผัสถึงพลังได้เลย เหมือนถูกเขาดูดซับไปหมดแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ผู้พิทักษ์รัตติกาลเองก็รู้เรื่องนี้ดี ทุกคนต่างสงสัยกันว่าหยวนซั่วมีวิชาแข็งแกร่งที่สามารถดึงพลังเหนือธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายได้ เสียดายที่หยวนซั่วไม่ยอมบอก แต่ก็ไม่มีใครบีบบังคับให้เขาพูดออกมาเหมือนกัน

เมื่อก่อนพวกเขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะหยวนซั่วแข็งแกร่งเกินไป

แต่วันนี้รอบกายของหลี่ฮ่าวกลับสัมผัสพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไม่ได้เลย

นี่บ่งบอกอะไร หลิวหลงเข้าใจขึ้นมาทันที

“ช่วงบ่ายและกลางคืนเมื่อวาน หมอนี่ไปหาหยวนซั่วถึงสองครั้ง…ไม่รู้ว่าเพิ่งหัดเรียนหรือเรียนมาตั้งนานแล้ว คงไปศึกษาจากหยวนซั่ว ได้ยินว่าหยวนซั่วยังสอนวิชาลับอย่างอื่นให้เขาด้วย แถมไม่ยอมไว้หน้าแม้แต่ผู้พิทักษ์รัตติกาลจนกระทั่งบาดเจ็บหนักไปหนึ่งคน!”

หลิวหลงเองก็มีสายข่าวที่รวดเร็วดี เรื่องเมื่อวานก็มาถึงหูเขาแล้วเช่นกัน

หลิวเยี่ยนกดเสียงถามเบาๆ “ลูกพี่หมายความว่า…หลี่ฮ่าวได้เรียนรู้วิชาลับจากผู้เฒ่าหยวนเหรอ”

วิชาลับสุดแกร่งในการดูดซับพลังอย่างนั้นหรือ

นี่เกรงว่าคงจะเป็นวิชาลับที่ทุกคนต้องการเลยล่ะ!

โดยทั่วไปแล้วผู้มีความสามารถมักตกเป็นที่อิจฉาริษยา หยวนซั่วมีวิชาลับที่แกร่งขนาดนี้ ต่อให้เขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญของคณะตามรอยอารยธรรมโบราณแต่ก็ดึงดูดความสนใจของคนนับไม่ถ้วน เพียงแต่หยวนซั่วก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดีจนถึงทุกวันนี้โดยไม่ได้ส่งมอบวิชาลับนี้ให้ใคร เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่าตาแก่นี่ไม่ธรรมดา

“อืม!”

หลิวหลงพยักหน้า เขาคิดได้เพียงเท่านี้แล้ว

เขานึกอิจฉาและรู้สึกเกลียดหยวนซั่วอยู่บ้าง

ความจริงเขากับหยวนซั่วถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันดี อดีตคุณพ่อของเขากับหยวนซั่วถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีใช้ได้ ตอนเด็กยังเคยไปพบหยวนซั่วมาก่อน เขาหวังว่าหยวนซั่วจะรับเป็นลูกศิษย์ แต่ปรากฏว่าหยวนซั่วดันปฏิเสธ

จากคำพูดของหยวนซั่วเขาบอกว่าชอบสอนคนฉลาด ต่อให้คนฉลาดมักมีความคิดเป็นของตัวเองไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไร แต่ก็ดีกว่าคนโง่มากโข!

เกือบจะพูดมาตรงๆ แล้วว่าหลิวหลงคือคนโง่!

จึงเป็นปมทำให้หลิวหลงผูกความแค้นกับหยวนซั่วมาตั้งแต่เด็ก

ปัจจุบันปรมาจารย์นักรบลดลงจนใกล้สูญหายไปหมดเต็มทีแล้ว

หลิวหลงอยากให้ปรมาจารย์นักรบของเมืองหยินผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้พิทักษ์ไม่ยอมปักหลักคุ้มครองเมืองเล็กๆ อย่างเมืองหยิน สุดท้ายแม้แต่ตาแก่อย่างหยวนซั่วที่มีเงินเก็บทั้งชีวิตอยู่นับไม่ถ้วน กลับไม่ยอมใช้เงินตัวเองสักแดงเดียว!

อย่าว่าแต่วิชาลับสุดแกร่งเลย ตาแก่นั่นแม้แต่วิชาลับของปรมาจารย์นักรบทั่วๆ ไปยังไม่ยอมบริจาคให้สักเล่ม!

บางครั้งหลิวหลงก็ไม่เข้าใจหยวนซั่ว!

เขาทำอย่างนั้นไปทำไม

ของอย่างนั้นมันไม่มีประโยชน์ต่อหยวนซั่วเท่าไรแล้ว หากนำมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เหล่าปรมาจารย์นักรบไม่ดีกว่าหรือ?

เมืองหยินเล็กเกินไป ผู้กล้าเองก็มีน้อยเกินไป หากมีคนเก่งเพิ่มขึ้นมา คุณเองก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วยไม่ใช่หรือไร

สอนอยู่ในกู่ย่วนเมืองหยินมาตั้งหลายปี แต่หยวนซั่วไม่ยอมศาสตร์ปรมาจารย์นักรบให้ใคร เขาสอนเพียงเนื้อหาจากตำราเรียนทั่วไป นี่จึงเป็นจุดที่หลายๆ คนไม่พอใจ หลายปีมานี้หยวนซั่วรับศิษย์จำนวนจำกัด โดยส่วนหนึ่งไม่เคยเรียนวิชานักรบมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงหลี่ฮ่าวที่ยังเรียนวิชาห้าปาณภูตมาบ้าง นับว่าเป็นหนึ่งในนักศึกษาจำนวนน้อยนิดที่ได้เรียนวิชาจากหยวนซั่วเชียวล่ะ

หากหลี่ฮ่าวไม่ยอมเข้าร่วมทีมล่าปีศาจ บางทีอาจจะเริ่มฝึกผ่านวิธีการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเหมือนทั่วๆ ไป สุดท้ายเกรงว่าก็คงฝึกไม่ได้เรื่อง

สมาชิกทีมล่าปีศาจแต่ละคน ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรอีก

พวกเขาล้วนมองไปทางนั้น

หลี่ฮ่าวเป็นฝ่ายโจมตีอย่างแข็งขันอยู่ตลอด

เฉินเจียนป้องกันตัวเป็นหลัก เขาคอยตอบโต้บ้างเป็นครั้งคราว ทั้งคู่ต่อสู้กันไปมาอย่างดุเดือด

……

“พี่เฉิน ระวัง!”

ขณะนั้นเองหลี่ฮ่าวก็ตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อเรียกความสนใจจากเฉินเจียน

จากนั้นก็มีเสียงคำรามของเสือดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องชั้นใต้ดิน!

“กรรซ์!”

พยัคฆ์ร้ายคำราม!

แน่นอนว่าหลี่ฮ่าวเคยเห็นเสือแต่เป็นเสือที่อยู่ในกรง ไม่เคยเห็นเสือดุร้ายในป่าอย่างแท้จริงมาก่อน และไม่เคยได้ยินเสียงคำรามของเสือป่ามาก่อนด้วย

ดังนั้นเสียงคำรามนี้เทียบไม่ได้กับหยวนซั่วเลย

หยวนซั่วเป็นคนที่เคยสู้กับเสือร้ายในป่ามาอย่างแท้จริง

เทียบกับหยวนซั่วแล้ว ความต่างระหว่างเสือป่ากับเสือในกรงก็คือขาดแคลนพลังอาฆาต ขาดแคลนพลังความน่าเกรงขาม

แต่เสียงคำรามที่ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวของหลี่ฮ่าว ก็ทำให้เฉินเจียนใจสะท้านไปวูบหนึ่ง พลันหูอื้อไปหมด

ชั่ววินาทีที่ยังมึนอยู่ หลี่ฮ่าวก็กระโจนเข้ากอดเฉินเจียนด้วยแขนทั้งสองข้างเหมือนหมีดำ เฉินเจียนร่างสูงใหญ่กว่าและอ้วนกว่าหลี่ฮ่าวมาก เฉินเจียนดูเหมือนหมีดำเสียกว่าอีก

ทว่าในเวลานี้เขากลับถูกหลี่ฮ่าวอุ้มจนเท้ายกเหนือพื้น เหมือนกำลังถูกถอนรากถอนโคนก็มิปาน!

“ไปเลย!”

หลี่ฮ่าวตะโกนเสียงดังลั่น รวมถึงออกแรงทั้งหมดทั้งมวลและใช้พลังทั้งหมดที่มีอุ้มเฉินเจียนขึ้นมา จากนั้นสองแขนก็สะบัดเหวี่ยงตัวเฉินเจียนออกไป!

…………………………………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด