STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา – ตอนที่ 28.3 ตัวทดลอง (3)

อ่านนิยายจีนเรื่อง STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา ตอนที่ 28.3 ตัวทดลอง (3) อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 28 ตัวทดลอง (3)

ตึง!

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น เฉินเจียนชนกับกำแพงเข้าอย่างจังจนทิ้งรอยไว้ตรงฝาผนังอย่างเห็นได้ชัดเจน เศษฝุ่นผนังปูนซีเมนต์ร่วงลงมาประปราย

เฉินเจียนที่ถูกกระแทกก็หน้าเทาผมขาวหมด แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

มีเพียงความตกใจกับรู้สึกคาดไม่ถึง เขามองหลี่ฮ่าวอย่างไม่เชื่อสายตา

“แฮ่กๆ!”

หลี่ฮ่าวหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและมองเฉินเจียนอย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน

โอ้โห!

สู้กันมาตั้งนาน นอกจากเฉินเจียนจะมีรอยเลือดซึมไม่กี่รอยตรงแขนแล้ว เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเลย

นี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่านะ

หลี่ฮ่าวเตะท่อที่ทำจากเหล็กหักไปตั้งหนึ่งเส้น แต่สุดท้ายเฉินเจียนกลับไม่เป็นอะไรสักนิด นี่…นี่ต่อให้สู้กันจนฟ้าสว่างเขาก็ไม่ตายหรอกมั้ง!

เกรงว่ามีแต่เขาที่จะเหนื่อยตายเสียก่อน!

“พี่เจียนสุดยอด!”

เฉินเจียนกลับหน้าแดงคอแดงในพริบตา เขาคิดว่าหลี่ฮ่าวไร้คุณธรรมสิ้นดี เวลานี้กลับยังเย้ยหยันตัวเอง

“แปะๆ!”

ตอนนี้มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากนอกประตู

หลิวเยี่ยนยิ้มแป้นจนหน้าบานเป็นดอกไม้ ตาที่เป็นประกายลุกวาวมองไปยังหลี่ฮ่าวที่เหงื่ออาบท่วมตัว วินาทีถัดมาขณะที่หลี่ฮ่าวยังไม่ทันตั้งตัว หลิวเยี่ยนก็โผล่เข้ามาประชิดในพริบตาเดียว หล่อนคว้าคอหลี่ฮ่าวไปกอดทีหนึ่งพร้อมเอ่ยเสียงหวานหยดย้อย “เสี่ยวฮ่าวเก่งจริงๆ เลยนะ!”

“…”

หลี่ฮ่าวไม่ตอบ เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยแต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของท่านผู้นี้ได้

ปลายจมูกได้กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูกจางๆ

หลี่ฮ่าวขยี้จมูกพูดอย่างเคอะเขินว่า “พี่หลิว ปล่อยผมก่อน!”

“แหม เขินหรือไง!”

หลิวเยี่ยนยิ้มเบิกบาน นอกจากจะไม่ยอมปล่อยมือแล้วยังเอาตัวแนบติดกับหลี่ฮ่าวมากกว่าเดิม เอ่ยด้วยเสียงหวานหยดย้อยว่า “เสี่ยวฮ่าวฮ่าว นายดูดซับพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไวจังเลย สอนพี่สาวหน่อยได้ไหม”

หลี่ฮ่าวตอบเลี่ยงๆ “พี่หลิว ผมจะลองไปถามอาจารย์ดูนะว่าสอนได้หรือเปล่า สอนไปแล้วจะถูกเก็บหรือเปล่า”

“…”

หลิวเยี่ยนหน้าเหวอไปทันที ผลักหลี่ฮ่าวออกไปทีเดียวแล้วทำหน้าคาดโทษ “ไม่ทะนุถนอมเอาซะเลย!”

เจ้าเด็กนี่ก็ช่างพูดจริงๆ

เธอไม่อาจล่วงเกินท่านผู้นั้นได้หรอกนะ

หากถูกเก็บทั้งตระกูลจริงๆ เธอจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมจากใครได้เล่า

ไม่เห็นหรือว่าเมื่อวานมีผู้พิทักษ์รัตติกาลอยากดูว่าสอนอะไร แค่นั้นก็เกือบจะถูกหยวนซั่วตีจนตายแล้ว

อย่าไปแหยมตาแก่นี่เลยดีกว่า

ส่วนหลี่ฮ่าว ในเมื่อแสดงความสามารถของสิบสังหารมาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะปกปิดอะไรอีก

เกรงว่ายากจะปกปิดวิชาคายรับห้าปาณภูตได้แล้ว

เพราะบนตัวหลี่ฮ่าวหรือนอกกายไม่มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติให้เห็นเลย

มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาย่อยสลายมันไปแล้ว

จุดนี้หยวนซั่วไม่เคยพูด แต่ไม่เป็นไร หยวนซั่วก็เป็นเช่นนี้ ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็รู้แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก รู้ก็ส่วนรู้ แค่ไม่รู้ว่าฝึกอย่างไรก็เท่านั้น

ทันใดนั้นเองหลิวหลงก็เดินรุดหน้าเผยสีหน้าชื่นชมเล็กน้อย นานทีจะพูดด้วยน้ำเสียงโอนอ่อนพลางเอ่ยชมว่า “ไม่เลว! เกินความคาดหมายของผม ผมคิดว่าคุณดึงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติสู่ร่างกายแล้ว บางทีอาจจะเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหารได้ในไม่ช้า แต่ในไม่ช้า…ผมคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน!”

แต่แล้วหลี่ฮ่าวกลับใช้เวลาเพียงวันเดียว!

หลี่ฮ่าวตอบอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่ใช่ผมที่เก่ง อาจารย์ผมต่างหากที่เก่ง! เมื่อวานผมไปหาอาจารย์มา อาจารย์ต่างหากที่เก่งมากจริงๆ!”

หลี่ฮ่าวตอบอย่างภูมิใจ “เพราะเมื่อวานอาจารย์ถูกคนแอบดูตอนฝึกเลยโกรธเข้า อาจารย์จึงใช้พลังที่ไม่ควรใช้สู้ไป ตอนนั้นอาจารย์บอกว่าเขาเหมือนดวงจิตประทับร่าง! บอกว่าวินาทีนั้นใกล้เคียงกับช่วงที่ถึงจุดสุดยอดของเขาในวันวาน ดวงจิตประทับร่างผม…ก็ในตอนนั้นเหมือนกัน อาจารย์พาผมสัมผัสเคล็ดวิชาลับห้าปาณภูตแล้วใช้ดวงจิตดึงผมเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร!”

พูดถึงตรงนี้ หลี่ฮ่าวก็ทำหน้าเศร้าขึ้นมาทันที “แต่…อาจารย์พาผมเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร กลับกระอักเลือดไม่หยุด ผมกลัวว่า…เฮ้อ”

พอสิ้นคำนี้ จู่ๆ หลิวหลงก็ถอนหายใจทีหนึ่งเช่นกัน

ความแค้นเคืองในอดีตมลายหายไปในพริบตา

พลันรู้สึกเย้ยหยันตัวเองและรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง “ปรมาจารย์นักรบอันดับหนึ่ง มณฑลหยินเยวี่ยอาจจะจบลงเพียงเท่านี้! เรื่องเมื่อวานผมได้ยินมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อนหยวนซั่วบาดเจ็บหนักไม่เบา เมื่อวานถูกคนแอบลักดูวิชาลับ พอโกรธเข้าเลยใช้พลังต่อสู้ของปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยขั้นสุด กระบวนท่าเดียวก็จัดการจันทราทมิฬสองคนจนล้มไม่เป็นท่าไป…เฮ้อ เสียดาย! วินาทีนั้นเกรงว่าเขาคงจะเข้าใกล้ขอบเขตพันยุทธ์แล้วจริงๆ ดวงจิตประทับร่าง…เป็นขอบเขตที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด ไม่คิดว่าคุณจะได้สัมผัสมันก่อน”

ตอนนี้เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลี่ฮ่าวถึงก้าวสู่ขอบเขตสิบสังหารได้!

ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยขั้นสูงสุดท่านหนึ่ง ช่วงวินาทีที่ระเบิดพลังครั้งสุดท้ายได้สัมผัสถึงดวงจิตอีกครั้ง ทั้งๆ ที่สามารถก้าวสู่ขอบเขตพันยุทธ์ได้แท้ๆ!

แต่หยวนซั่วแก่แล้ว อาการบาดเจ็บสาหัสเกินไป

สุดท้ายช่วยให้ลูกศิษย์คนหนึ่งก้าวสู่สิบสังหาร ลองคิดดีๆ มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!

ต่อให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เหล่าผู้กล้าของผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ต้องคร่ำครวญว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!

หลี่ฮ่าวเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร ก็เปรียบดั่งเพียงมดตัวเล็กๆ

หากหยวนซั่วเข้าสู่ขอบเขตพันยุทธ์ นั่นต่างหากที่สุดยอดของจริง

ส่วนสมาชิกทีมล่าปีศาจอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ใช้สายตาแปลกๆ มองไปที่หลี่ฮ่าว

พลังจิตวิญญาณ!

หลิวเยี่ยนพูดด้วยเสียงตกใจ “ดวงจิตประทับร่าง…นั่นมันฝีมือระดับพันยุทธ์แล้ว! ถ้าเมื่อหลายปีก่อนผู้เฒ่าหยวนไม่บาดเจ็บ เกรงว่าคงก้าวสู่ขอบเขตพันยุทธ์แล้วจริงๆ กลายเป็นเซียนบนดินของสายปรมาจารย์นักรบเชียวล่ะ!”

เธอรู้สึกทึ่ง เสียดาย อิจฉา และเห็นใจในเวลาเดียว!

ใช่ เห็นใจ!

ช่างน่าเศร้า!

ปรมาจารย์ระดับนี้ เกรงว่าคงจัดการจันทราทมิฬสองคนได้ในกระบวนท่าเดียวไม่ได้อีกแล้ว

หลี่ฮ่าวเองก็ถอนหายใจทีหนึ่งเช่นกัน ยิ้มขมขื่นกล่าว “ฉะนั้นวันนี้ที่ผมมาเลยอยากลองดูว่าความสามารถตัวเองเป็นยังไงบ้าง จะคุ้มค่ากับที่อาจารย์สั่งสอนผมมาหรือเปล่า! ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สบายใจ!”

หลิวหลงพยักหน้าเล็กน้อย “เยี่ยมมากแล้ว! เฉินเจียนอยู่ช่วงกลางของสิบสังหาร ไม่ใช่มือใหม่ เอาตรงๆ ถ้าในขั้นสิบสังหาร นับจากสิบถึงเก้าสิบเก้าจริงๆ เฉินเจียนน่าจะมีความสามารถอยู่ในระดับราวๆ สามสิบสังหาร! แน่นอนว่าเขายังเน้นการป้องกันตัวเป็นหลัก คุณสู้เขาได้ขนาดนี้ บ่งบอกว่าคุณเก่งกว่าสิบสังหารทั่วๆ ไปแล้ว…”

หมายถึงการโจมตีอย่างเดียวนะ!

หากพูดถึงเรื่องการต่อสู้จริงๆ คงพูดยาก บางทีคนที่อ่อนแอกว่าหลี่ฮ่าวอาจจะฆ่าเขาได้ด้วยซ้ำ

หลี่ฮ่าวกลับรู้สึกผิดหวังประมาณหนึ่ง “พี่เจียนไม่บาดเจ็บด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ผมสู้สุดความสามารถแล้ว!”

“คุณคิดจะทำเขาเจ็บตัวด้วยเลยเหรอ”

หลิวหลงหัวเราะ “ถ้าเขาเจ็บตัวเพราะคุณได้ง่ายขนาดนั้น แล้วเรายังจะล่าปีศาจได้อย่างไรอีก เฉินเจียนโดนปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยโจมตีหนึ่งครั้งยังไม่เจ็บตัวเท่าไรเลย เมื่อกี้ตอนประลองฝีมือกับคุณ เขาแค่ยังไม่ทันได้ใช้ท่าไม้ตายของเขาเท่านั้นเอง คุณคงไม่คิดว่าเขามีพลังป้องกันตัวแค่นั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม”

“…”

หลี่ฮ่าวรู้สึกเอือมระอายิ่งกว่า นี่ยังสู้ไม่เต็มที่อีกสินะ!

เราอุตส่าห์คิดว่าตัวเองเก่งมากแล้วแท้ๆ!

หลิวหลงลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ดูท่าทางของคุณ เมื่อวานเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติสองลูกบาศก์คงจะดูดซับไปหมดแล้ว เดิมทีเมื่อวานผมยังรับปากว่าต้องรออีกหลายวันถึงจะให้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติคุณอีกสองลูกบาศก์ แต่ตอนนี้…เอาเป็นว่าวันนี้เลยแล้วกัน!”

“ลูกพี่!”

คนอื่นหันขวับมองไปยังหลิวหลง ให้อีกสองลูกบาศก์เลยหรือ

พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไม่ใช่ของหลิวหลงเพียงคนเดียว แม้ทุกคนจะคิดว่าหลี่ฮ่าวเก่งมาก แต่…พวกเขาต่อสู้ฝ่าฝันอันตรายกันแทบตายกลับได้มาแค่นี้ ไม่ยุติธรรมหรือเปล่า

หลิวหลงยิ้มเอ่ย “ถ้าครั้งนี้มีชีวิตรอดไปได้ หลี่ฮ่าวยังมีชีวิตอยู่ ก็แบ่งให้เขาน้อยลง! ถ้าตายไป ส่วนของเขาเราก็แบ่งกัน แต่ถ้าตายกันหมด เหลือไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงเงียบในที่สุด พอคิดทบทวนดูอีกทีที่พูดมาก็ถูก

หลิวหลงมองหลี่ฮ่าวอีกครั้ง เขาถอนเสียงเบาๆ เอ่ย “หลี่ฮ่าว บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจ แต่ผมก็ต้องพูด พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมีค่ามากจริงๆ ฆ่าปรมาจารย์แสงดาราตายไปหนึ่งคน ในสถานการณ์ทั่วไปนั้น อาจจะรีดพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมาได้แค่ราวๆ ห้าถึงสิบลูกบาศก์เท่านั้น”

“ส่วนหากฆ่าจันทราทมิฬได้หนึ่งคน อาจจะได้ราวๆ ยี่สิบถึงสี่สิบลูกบาศก์ ส่วนที่เก่งกว่านั้น ผมไม่รู้ เพราะยังไม่เคยฆ่า”

“ทีมล่าปีศาจของเรา ฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจอมมารไปห้าคน ได้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมาทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบลูกบาศก์ ส่วนมากเราก็แบ่งกันดูดซับไปและบางส่วนถูกคนอื่นดูดซับไป…ตอนนี้ตายหมดแล้ว! สิบสองลูกบาศก์ที่เหลือ เราใช้ชีวิตหลายสิบคนแลกมันมา นับว่าเป็นพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติที่เหลืออยู่ทั้งหมดแล้ว!”

เขาคิดๆ แล้วก็พูดเชิงเย้ยตัวเองว่า “ผมลองนับดู มีเพื่อนๆ ตายไปยี่สิบสองคน ถ้านับตามชีวิตคน หนึ่งชีวิตก็มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติห้าถึงหกลูกบาศก์ พวกเขาต่างเป็นยอดฝีมือของกองตรวจการณ์ทั้งสิ้น! คุณดูดซับไปอีกสองลูกบาศก์…ก็เกือบเป็นราคาของชีวิตหนึ่งชีวิตแล้ว!”

จู่ๆ วินาทีนี้หลี่ฮ่าวก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติเหล่านั้นขึ้นมา

ตายไปทั้งหมดยี่สิบสองคน ได้พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมาหนึ่งร้อยยี่สิบลูกบาศก์!

นี่…ราคาที่ต้องจ่ายมันมากเกินไปแล้ว!

“ลูกพี่…มันคุ้มเหรอ”

หลี่ฮ่าวโพล่งถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง

หลิวหลงหัวเราะ

หัวเราะเสียงดังลั่น!

“คุ้ม! เพราะ…เราเป็นฝ่ายผดุงความเที่ยงธรรม!”

ฝ่ายผดุงความเที่ยงธรรมที่ปกปักรักษาเมืองหยิน!

หลี่ฮ่าวไตร่ตรองประโยคนี้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามัน…น่าขันมากๆ

แต่ตอนนี้กลับขำไม่ค่อยออก

เพราะเหมือนไม่ได้น่าขันขนาดนั้น

ผดุงความเที่ยงธรรมหรือ

บางทีก็คงใช่ละนะ!

………………………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด