STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา – ตอนที่ 34.3 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3)
ตอนที่ 34 ฝึกฝนปราณพลัง บุกจู่โจมท่ามกลางความมืด (3)
“วันที่ 17 แล้ว”
หลี่ฮ่าวเปิดผ้าม่านมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง วันนี้อากาศเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ฤดูร้อนที่แสงอาทิตย์เจิดจ้ากลับมีลมเย็นๆ พัดโชยมา
เหมือนบนท้องฟ้าจะมีนกเริ่มสุมหัวชุมนุมกันแล้ว
“พรุ่งนี้อาจจะฝนตก”
จากวันที่เขารู้ว่าเงาโลหิตเป็นฆาตกรและเป้าหมายต่อไปก็คือเขา กระทั่งวันนี้เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันนี้เอง หลายวันนี้กลับทำให้หลี่ฮ่าวรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปราวหนึ่งศตวรรษได้
เขาเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหาร เข้าร่วมทีมล่าปีศาจ ค้นหาวิธีการใช้พลังจี้หยกกระบี่และหินมีดเจอ จนสุดท้ายได้เรียนรู้ ‘วิชายคายรับห้าปาณภูต’ และ ‘เก้าหลอมแรงปราณ’
บางทีชั่วชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีทางได้เจอสิ่งเหล่านี้
“ถือว่าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”
หลี่ฮ่าวในเวลานี้กลับเฝ้ารอคอยการมาเยือนของเงาโลหิต
ต่อให้เขาจะรู้ว่าตนอ่อนแอ แต่ถูกบีบให้รอวันเวลาแห่งความตายมาเยือนนานขนาดนี้ เขากลับรู้สึกกดดันไม่น้อยเลย
เขาลูบจี้หยกกระบี่ตรงทรวงอกอย่างเบามือ
จนป่านนี้หลี่ฮ่าวก็ยังคงไม่รู้ว่าจะใช้กระบี่นี้เช่นไร อีกทั้งยังเล็กเกินไปด้วย หวังจะให้เขาใช้กระบี่เล่มนี้ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ
แล้วแบบนี้จะต่างอะไรกับเอาไม้จิ้มฟันแทงคนเล่า
“กระบี่เล่มนี้คงมีผลอะไรต่อเงาโลหิตแน่นอน เพราะทุกครั้งมักมีปฏิกิริยาตอบสนองผิดปกติบางอย่าง…แต่ว่า…เราคงใช้แค่สองนิ้วคว้าจี้หยกกระบี่มาฆ่าเงาโลหิตไม่ได้หรอกมั้ง”
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลี่ฮ่าวกลัดกลุ้มปวดศีรษะที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว
เขาไม่ชินเลยสักนิด!
ใครจะถนัดใช้ไม้จิ้มฟันแทงคนกันเล่า
สำหรับหลี่ฮ่าวแล้ว…เงาโลหิตต่างหากถึงจะเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด เพราะทุกคนมองไม่เห็น หากไม่ระวังตัวแม้แต่นิดเดียว เงาโลหิตเข้ามาประชิดตัวแล้วเผาหลี่ฮ่าวจนมอดไหม้ คนอื่นๆ ก็คงมาช่วยเขาไม่ทัน และนี่คือปัญหาที่หลี่ฮ่าวต้องเป็นคนจัดการเอง
แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ
หลี่ฮ่าวถอดสร้อยออกแล้วใช้สองนิ้วจับด้ามของจี้หยกกระบี่ทรงไม้กางเขนไว้แล้วลองแทงไปข้างหน้า!
ดูพิลึกแฮะ!
“ช่างเถอะ พิลึกก็พิลึกไป บางทีอาจจะเป็นประโยชน์มากก็ได้ ถึงแม้จะใช้ลำบากไปสักหน่อย แต่ก็ยังใช้ได้อยู่…แค่ใช้ได้ก็พอแล้ว”
หลี่ฮ่าวสวมจี้หยกกระบี่อีกครั้งแล้วลองทดสอบความเร็วท่าปลดสร้อยออกดู…ด้วยมือเปล่า
กระชากสร้อยออกแล้วใช้สองนิ้วจับไว้แทงไปข้างหน้า แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว
เพียงแต่ถ้าเป็นพลังซ้อนจะใช้ไม่ค่อยถนัดนัก ผลลัพธ์ของพลังซ้อนขึ้นอยู่กับนิ้วทั้งสอง แต่หลี่ฮ่าวยังเรียนไม่มาถึงขั้นนี้
“สำหรับเงาโลหิตแล้ว บางทีจะปล่อยพลังซ้อนหรือไม่ก็คงเหมือนกัน”
หลี่ฮ่าวไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เอาตามนี้แล้วกัน
นี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดในตอนนี้แล้ว สิ่งที่ควรเตรียมพร้อม เรื่องที่ควรร้องขอให้ช่วย แม้แต่ขั้นตอนช่วยให้อาจารย์เลื่อนขั้น เขาล้วนทำมาหมดแล้ว หากเทียบกับว่าต้องสู้ด้วยตัวเองเพียงลำพังอย่างเมื่อก่อนก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าหลายร้อยเท่าแล้ว!
หากตัวเขาในตอนนี้ยังเอาชนะด่านนี้ไม่ได้ แบบนั้นก็ช่างมันเถอะ
ขณะที่คิดจะไปล้างหน้าบ้วนปาก จู่ๆ เวลานี้ในห้องก็ปรากฏความเคลื่อนไหวบางอย่าง จากมุมที่ไม่ไกลนัก ฉับพลันเจ้าเสือดำก็เหวี่ยงขาหน้าใส่เศษโต๊ะชาที่พังลงมาก
วินาทีต่อมาเสียงร้องเจ็บปวดของสุนัขก็ดังขึ้น
“เอ๋ง!”
เจ้าเสือดำมองขาหน้าที่บวมเป่งของตนแล้วมองหลี่ฮ่าวด้วยท่าทีเจ็บปวด นี่มันอะไรกัน
ทำไมสุนัขอย่างมันถึงทุบโต๊ะชาไม่หักล่ะ
หลี่ฮ่าวหมดคำพูด!
หลี่ฮ่าวดูดซับพลังจี้หยกกระบี่เล็กน้อยโดยถ่ายพลังขึ้นมาที่แขน วินาทีต่อมาก็มีประกายมาจากปลายนิ้ว หลี่ฮ่าวใช้ปลายนิ้วแตะเจ้าเสือดำ พลังจี้หยกกระบี่จึงเข้าไปในร่างกายของเจ้าเสือดำ
ขาหน้าที่บวมเป่งก็เหมือนจะอาการดีขึ้นมากทีเดียว
เจ้าเสือดำเผยสีหน้ากลัดกลุ้มพลางมองไปทางหลี่ฮ่าวราวกับกำลังวิงวอนขอคำชี้นำ มันเองก็ดูดซับพลังจี้หยกกระบี่ที่กระจายออกมาจากตัวหลี่ฮ่าวไปไม่น้อยมาตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังเรียนรู้เก้าหลอมแรงปราณไปพร้อมหลี่ฮ่าวด้วย
แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลย
“แนวทางของมนุษย์กับสุนัขต่างกัน ฉันไม่รู้ว่าจะสอนแกยังไงดี เอาพลังรวบรวมไว้ตรงแขน…หรือก็คือขาหน้าของแก แต่ว่าต้องรวมพลังอย่างไร ฉันเองก็ไม่ใช่หมาคงจนปัญญาจะอธิบายให้แกฟังได้”
หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างจนใจ “แกคิดหาวิธีเองแล้วกัน! อีกเรื่อง…เจ้าเสือดำ วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปแกคอยติดตามฉันเป็นไง รับมือกับเจ้านั่น…แกทำได้ไหม”
พอเจ้าเสือดำได้ยินเช่นนั้นก็เผยท่าทีหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
หลี่ฮ่าวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องคอยตามฉันแต่คอยตามหลิวหลงดีกว่า ครั้งก่อนเขาเจอเจ้านั่นแล้ว แต่ฉันกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นและสัมผัสถึงมันไม่ได้ แกแค่ชี้ทิศทางแล้วร้องบอกสักหน่อยก็พอ! เพื่อเป็นการเตือนเขา บอกทางเขาเพื่อให้เขารู้ว่าเจ้านั่นอยู่ที่ไหน…แกคิดว่าไง”
เจ้าเสือดำครุ่นคิดด้วยท่าทีที่ยังหวาดกลัวอยู่
หลี่ฮ่าวเอ่ยขึ้นอีกว่า “ตามใจแกแล้วกัน ฉันไม่ได้จะฝืนใจอะไร แต่หลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันอาจจะตายได้ วันหลังแกก็เป็นหมาเร่ร่อนต่อไปเถอะ!”
พอเจ้าเสือดำได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
จะตายอย่างนั้นเหรอ
แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ
“โฮ่งๆ!”
“รับปากแล้วใช่ไหม”
“โฮ่ง!”
หลี่ฮ่าวยิ้มแป้น!
แบบนี้ก็ดี
ฉันไม่ได้ฝืนใจบังคับแกให้ทำเรื่องนี้แต่แกเป็นฝ่ายตกลงยินยอมเอง ฉันรักความเป็นประชาธิปไตย หากแกคิดจะปฏิเสธ ถึงแม้แกจะเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งแต่ฉันก็ไม่คิดฝืนใจแกหรอก
“โอเค วันนี้แกไปกองตรวจการณ์กับฉัน ฉันจะแนะนำให้รู้จักกับหัวหน้า…แสดงท่าทีสำรวมหน่อย อย่าแสดงท่าทีฉลาดมากเกินไป แค่ทำเหมือนเป็นหมาทั่วไปแต่แค่สามารถมองเห็นเจ้านั่นได้ พอเห็นก็จะร้องเรียก นี่คือความสามารถของเจ้าเสือดำ ถึงอย่างไรหัวหน้าก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าเสือดำมีความสามารถอะไร”
ดวงตาของเจ้าเสือดำเหมือนฉายแววเชิงดูแคลน หลี่ฮ่าวตบหัวมันไปที เจ้าเสือดำที่ถูกตบก็รู้สึกหน้ามืดอยู่บ้าง นี่สิถึงจะเป็นสุนัขที่เข้าใจภาษามนุษย์อย่างแท้จริง
……
ณ กองตรวจการณ์
หน่วยปฏิบัติการ
ห้องชั้นใต้ดิน
ยามที่หลิวหลงเห็นเจ้าเสือดำก็ออกจะฉงนอยู่บ้าง
กระทั่งหลี่ฮ่าวบอกว่าเจ้าเสือดำสามารถมองเห็นเงาโลหิตได้ หลิวหลงถึงมองเจ้าเสือดำด้วยท่าทีตกใจอย่างเหนือคาด
สุนัขมองเห็นได้อย่างนั้นเหรอ
“คุณมั่นใจนะว่าหมาจะมองเห็นตัวตนของชั้นจิตวิญญาณแบบนั้นได้”
คำพูดนี้ออกจะคลุมเครือไปสักหน่อย
ฟังดูแล้วเหมือนเชิงด่าตนมากกว่า!
เพราะตัวเขาเองก็มองเห็นเหมือนกัน
ทว่าหลี่ฮ่าวกลับไม่ได้โกรธอะไร เขาพยักหน้า “ครับ มันมองเห็นได้ เพราะหลายครั้งที่ผมตงิดใจรู้สึกมีอะไรแปลกๆ เจ้าเสือดำจะหันไปมองทิศทางหนึ่งแล้วเห่าร้องเรียกเสียงเบา”
ขณะที่พูดไปก็เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “เจ้าเสือดำฟังภาษาคนเข้าใจและฉลาดมาก ลูกพี่ครับ พี่พามันติดตามไปด้วยอาจจะสบายขึ้นบ้าง เจ้าเสือดำไม่สร้างเรื่องวุ่นวายแน่ครับ แค่ตอนที่เจ้านั่นปรากฏตัว เจ้าเสือดำจะเห่าเตือนลูกพี่ อีกอย่างเจ้าสิ่งนั้นก็คงไม่สนใจหมาตัวหนึ่งเหมือนกัน”
หลิวหลงพยักหน้า ถึงแม้จะรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ในเมื่อหลี่ฮ่าวพูดถึงขนาดนี้แล้ว บางทีสุนัขตัวนี้อาจจะมีจุดที่แตกต่างจากตัวอื่นจริงๆ
“อืม งั้นก็ได้ เดี๋ยวผมจะเอามันมาลองฝึกดู อย่าเห่าจนแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วกัน”
“ไม่หรอกครับ วางใจได้”
พวกเขาสองคนสนทนากันอยู่ไม่กี่ประโยค หลิวหลงก็เอ่ยถามอีกว่า “อ่านหนังสือที่ให้หรือยัง ถ้าท่องจำได้หมดแล้วก็เผามันทิ้งซะ แค่จำไว้ก็พอ ผมไม่ได้หวังว่าคุณจะต้องเรียนรู้ตอนนี้หรอก”
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรเลยจริงๆ!
ในเมื่อตำรา ‘เก้าหลอมแรงปราณ’ เรียนยาก โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งเข้าวิชายุทธ์นี้ แถมเสียเวลาที่สุดด้วย
ตอนที่เขาเรียนศาสตร์ตำรานี้ต้องเสียเวลาถึงสามปีถึงจะเข้าวิชายุทธ์ขั้นต้นได้ หลังจากนั้นถึงดีขึ้นมาหน่อย พอผ่านขั้นต้นมาแล้ว พลังซ้อนสามซ้อนสี่กลับเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
หลิวฮ่าว มือทวนแห่งหยินเยวี่ยหรือก็คือพ่อของเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมกว่าเขา ก่อนอายุ 40 ปีก็เป็นปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยขั้นสุดยอดได้แล้ว
แต่ต่อให้เป็นพ่อของเขา ตอนเข้าเคล็ดวิชาลับนี้ก็เสียเวลาไปราวหนึ่งปี
ดังนั้นต่อให้หลี่ฮ่าวจะสรีระร่างกายดีกว่า อีกทั้งมีอาจารย์ชื่อดังคอยชี้แนะ แต่หลิวหลงก็ยังคิดว่าคงต้องใช้เวลาราวปีครึ่ง ไม่เช่นนั้นคงเข้าสู่วิชายุทธ์นี้ไม่ได้
…………………………………………………………………
คอมเม้นต์