เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 9 พลังพิเศษแห่งการรับรู้!
เย็นวันนั้น ครอบครัวของเย่เทียนเฉินทั้งสี่คนกินข้าวร่วมกันอย่างยินดีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทุกคนต่างก็มีความสุข แม้ว่าจะยกเลิกสัญญาแต่งงานกับตระกูลฉีแล้ว แต่เดิมทีก็ไม่เคยคาดหวังอะไร
แต่การที่เย่หงสามารถเลื่อนจากรองผู้ว่าการรัฐไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่กล้าจินตนาการถึงมาก่อน อีกทั้งยังได้รับหุ้นครึ่งหนึ่งของเครือไห่หวัง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉิน
หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นแล้ว ทั้งครอบครัวก็นั่งดูโทรทัศน์ คุยเล่น ดื่มชา และกินขนมด้วยกันอย่างมีความสุข
ยามราตีเวลาเที่ยงคืนตรง ตอนที่บิดามารดาและน้องสาวของเย่เทียนเฉินนอนหลับไปแล้ว เย่เทียนเฉินกลับนั่งขัดสมาธิ เขาหลับตาทั้งสองแน่น บนหน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา เขากำลังกระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายของตนเอง
แก้วน้ำใบหนึ่งที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน กำลังแผ่พลังสีฟ้าอ่อนออกมา แก้วน้ำใบนี้เดี๋ยวมีน้ำแข็งเกาะ เดี๋ยวสลายตัวเป็นน้ำ ตามการเคลื่อนไหวของนิ้วชี้ข้างขวาของเย่เทียนเฉิน นี่เป็นเพียงการใช้งานที่ง่ายที่สุดของพลังประเภทน้ำ
เย่เทียนเฉินพบว่าแก่นพลังภายในสมองมักจะผันผวนเป็นบางครั้งบางคราว นั้นไม่สามารถรวบรวมพลังพิเศษในชีพจรได้ มีเพียงตอนที่ต่อสู้รุนแรงถึงขั้นความเป็นความตายเท่านั้น การสั่นไหวของของแก่นพลังงานจึงจะขยายใหญ่ขึ้น และสามารถรวบรวมพลังได้มากขึ้น
ตอนนี้พลังของเย่เทียนเฉินลดลงจากระดับพระเจ้าเหลือเพียงระดับราชัน ลดลงมาถึงสามขอบเขต หากต้องการฟื้นฟูกลับไปที่ระดับพระเจ้าก็จำเป็นต้องต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งที่มีพลังมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นการระเบิดของแก่นพลังในสมองได้
ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินก็พลันลืมตาขึ้น มือซ้ายพุ่งไปรับแก้วน้ำที่ตกลงมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้ว
เป็นเพราะเมื่อสักครู่นี้เขาปลดปล่อยพลังพิเศษของตนเอง สามารถสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของพลังธรรมชาติที่อยู่รอบๆ รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาในบ้านพร้อมกับไอสังหารอ่อนๆ
มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้น ดูท่าแล้วจะเป็นดั่งที่ชางหลางพูด ไม่ว่าจะเวลาใด ไม่ว่าจะยุคใด ล้วนมีการต่อสู้และการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะในที่แจ้งหรือในที่ลับ หากตนเองแข็งแกร่งไม่พอ ก็เป็นได้แค่เนื้อปลาให้คนอื่นมาตัดแบ่งไป
เย่เทียนเฉินเปิดประตูห้องนอน เดินออกไปอย่างไร้เสียง จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก ปากคาบบุหรี่ไว้มวนหนึ่ง พลางสูบอย่างสบายอกสบายใจ
ขณะนี้เอง นักฆ่าสวมหน้ากากสองคนพังหน้าต่างเข้ามาเงียบๆ ตอนที่พวกเขาเข้ามาข้างในห้องรับแขกของบ้านเล็กๆ หลังนี้ ก็พบว่าบนโซฟามีคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ ต่างตกใจกันชั่วขณะ
“ยินดีต้อนรับทั้งสองมาชมจันทร์ที่บ้านของฉัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นักฆ่าทั้งสองแม้จะรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่ถึงกับกลัว พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่คลุกคลีอยู่กับวงการนี้มาหลายปี ครั้งนี้ได้รับค่าจ้างจำนวนมหาศาลห้มาทำภารกิจ ย่อมไม่ใช่นักฆ่าที่โจรกระจอกจะมาเทียบเคียงได้
หลังจากที่ตกตะลึงไปพักหนึ่ง นักฆ่าทั้งสองก็ควักมีดสั้นออกมาพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินรู้สึกยินดีที่นักฆ่าทั้งสองไม่ได้พกปืนมา ไม่ใช่ว่าเขากลัว เขาที่เคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ต่อให้ตอนนี้พลังจะลดเหลือเพียงระดับราชัน การรับมือกับนักฆ่าสองคนนี้ก็เป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแต่เขาเกรงว่าเสียงปืนจะไปปลุกพ่อแม่และน้องสาวของตนจนตื่น รบกวนฝันหวานของพวกเขา
หลายปีมานี้ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความเครียดและความกังวล ทั้งหมดเป็นเพราะสิ่งที่เขาก่อขึ้น ดังนั้นในตอนนี้ เย่เทียนเฉินไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมารบกวนครอบครัวของเขาทั้งนั้น ใครกล้ามารบกวนต้องชดใช้ด้วยชีวิต!
นักฆ่าคนหนึ่งพุ่งทะลวงเข้ามาก่อน เขามีฝีมือไม่เลว แค่กระโดดครั้งเดียว คมมีดก็พุ่งไปยังลำคอของเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
แต่ในตอนที่มุมปากของนักฆ่าปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ รอยยิ้มของเขาก็พลันชะงักไป
เนื่องจากเย่เทียนเฉินคว้าข้อมือขวาของเขาไว้ในอากาศ แล้วเปลี่ยนแปลงทิศทางของมีดสั้นไปตัดลำคอของเขาจนสะบั้น แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันดังออกมาด้วยซ้ำ ลมหายใจก็ขาดห้วงไป
ส่วนตอนที่นักฆ่าอีกคนหนึ่งเพิ่งจะพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินไปโผล่เบื้องหน้าเขาในเกือบพริบตา ใช้มีดสั้นเปื้อนเลือดจ่อไปที่หน้าอก ขู่นักฆ่าคนที่เหลืออยู่ให้ตกใจกลัวจนไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย
“อย่า น้องชาย ไว้ ไว้ชีวิตฉันด้วย….”
นักฆ่าที่เหลืออีกรู้สึกตกใจกลัวจนสันหลังเย็นวาบ คาดไม่ถึงว่าในบ้านธรรมดาๆ หลังนี้จะซ่อนตัวยอดฝีมือเช่นนี้ไว้ด้วย ตายังไม่ทันกระพริบด้วยซ้ำ ก็ฆ่าสหายของเขาตายแล้ว
“ไว้ชีวิตแกน่ะได้ ฉันอยากรู้ว่าใครส่งแกมา มาทำอะไร หากตอบผิดล่ะก็ แกตายแน่” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนนี้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเย่เทียนเฉิน นักฆ่าผู้นั้นก็ราวกับเห็นเทพแห่งความตาย เขาตกใจกลัวจนตัวสั่น บุคคลตรงหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับเทพแห่งความตาย สามารถฆ่าสหายของตนได้ในการโจมตีครั้งเดียว แม้แต่คิ้วก็ไม่ขมวดด้วยซ้ำ แถมยังยิ้มอยู่ตลอดเวลาจนทำให้รู้สึกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
“ฉัน ฉันมาลักพาตัวคนตระกูลเย่สามคน….”
“ใครส่งแกมา?”
“ฉิน ตระกูลฉิน”
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ตระกูลฉิน?
ตอนกลางวันฉีชางเซิ่งพูดไว้ว่าฉีหรูเสวี่ยกับฉินเหิงเกิดรักแรกพบ ทำไมตระกูลฉินถึงส่งนักฆ่ามาที่นี่อีก? เรื่องนี้จะต้องมีความลับอะไรอยู่แน่นอน
“ฉันอยากรู้ว่าทำไม?”
เย่เทียนเฉินใช้ด้านข้างของมีดตบเบาๆ ไปที่ขากรรไกรของนักฆ่าคนนั้น เป็นการขู่ไม่ให้ผู้บุกรุกพูดโกหก นี่เป็นกลวิธีในการไต่สวนด้วยตัวเองวิธีหนึ่ง
“เรื่องนี้ ฉัน ฉันก็ไม่รู้….” นักฆ่าคนนั้นมองเย่เทียนเฉินพลางพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ฉันจะนับถึงสาม ถ้าหากไม่มีคำตอบล่ะก็ คงต้องส่งแกไปตายซะแล้วล่ะ” เย่เทียนเฉินถอนหายใจครั้งหนึ่ง แล้วกล่างพลางส่ายหน้า
“เรื่องนี้ ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆนะ ฉัน….”
“หนึ่ง!”
“สอง!”
“สาม….”
คำว่าสามของเย่เทียนเฉินยังพูดไม่ทันจบ นักฆ่าคนนั้นก็เปิดปากพูด อีกทั้งยังพูดอย่างรวดเร็วว่า
“คนตระกูลฉิน พ่อของฉินเหิงอยากจะแย่งตำแหน่งกับพ่อของคุณ แต่ผลงานทางการเมืองสู้เย่หงไม่ได้ ก็เลยอยากลักพาตัวภรรยาและลูกสาวของเขาเพื่อข่มขู่”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แกไปได้แล้ว อย่าลืมกลับไปบอกคนตระกูลฉินด้วยว่า ฉันเย่เทียนเฉินจะหาเวลาไปเยี่ยม”
นักฆ่าคนนั้นตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าคนๆ นี้ก็คือเย่เทียนเฉิน อีกทั้งยังปล่อยให้เขากลับไปจริงๆ เขาเดินไปยังหน้าต่างด้วยความกระวนกระวายใจ ตอนที่กำลังเตรียมจะกระโดดออกไป เสียงสวบก็ดังขึ้น ลำคอของนักฆ่าคนที่รอดอยู่ถูกแทงทะลุ เลือดพุ่งกระฉูดออกมา สองมือกุมคอของตนเองไว้ ล้มลงไปที่พื้นด้วยความตกใจกลัว
“โทษทีว่ะ ฉันคิดว่าฉันไปบอกเองดีกว่า” เย่เทียนเฉินพูดพลางเกาหัว
ความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตัวเอง
เย่เทียนเฉินไม่ใชพวกอวดดีและพวกชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่ใครกล้ามาหาเรื่องรังควานเขา เขาก็จะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ทำร้ายครอบครัวของเขา คนที่ทำแบบนั้นทำได้แค่ชดใช้ด้วยชีวิต
ช่วงวันสิ้นโลกป็นโลกที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าสังหาร ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คุณไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าคุณ เป็นเหตุผลที่เรียบและตรงไปตรงมา
ในคืนนั้นเย่เทียนเฉินนำศพของนักฆ่าทั้งสองไปทิ้งที่ไกลๆ และลบร่องรอยของที่อยู่บนตัวของนักฆ่าทั้งสองออกจนหมด จากนั้นก็กลับบ้านมาทำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุ ค่อยกลับไปนอนในห้องนอนของตนเอง
เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นรัวๆ ปลุก เขาเปิดประตูออกไปดูพบว่าเป็นน้องสาวของเขา เย่เชี่ยนเหวิน เขาหาวออกมาพลางถามออกไปว่า
“เช้าตรู่ไม่หลับไม่นอน มาเคาะประตูห้องทำไม?”
“นี่ยังเช้าอยู่อีกเหรอ? แดดส่องก้นหมดแล้ว พ่อเรียกให้พี่ลงไป เห็นว่ามีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะ!” เย่เชี่ยนเหวินพูดพลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินไปรอบหนึ่ง
เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ ปิดประตูสวมเสื้อผ้าจากนั้น จากนั้นก็ลงไปชั้นล่าง เมื่อไปถึงชั้นล่างก็พบว่าเย่หงขมวดคิ้วแน่น กำลังถือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอ่านอยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินลงมาแล้วก็บอกว่า “เทียนเฉิน มานั่งสิ!”
“พ่อ เรียกผมมามีเรื่องอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ลูกดูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สิ!” เย่หงไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงส่งหนังสือพิมพ์ในมือให้เย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินที่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยรับหนังสือพิมพ์มาอ่าน พบว่าในหน้าที่สองของหนังสือพิมพ์มีหัวข้อข่าวหัวข้อหนึ่งเขียนไว้ว่า
เย่เทียนเฉิน ขายสหายร่วมรบ คุกเข่าขอชีวิต!
แม้ว่าตัวอักษร “เฉิน” จะเปลี่ยนไปใช้ตัวอื่น แต่คนที่มีหน้ามีตาหน่อยต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่เคยเป็นพวกไร้การศึกษา ไปเข้าร่วมสมัครเป็นทหาร ภายหลังปลดประจำการกลับมาบ้าน
หลายคนต่างก็ได้ยินเรื่องที่ทหารหน่วยรบพิเศษทั้งเจ็ดโดนลอบโจมตี
เพียงแต่มีน้อยคนที่รู้เบื้องหลัง เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการใส่ร้ายป้ายสีเย่เทียนเฉิน ต้องการให้เย่เทียนเฉินขายหน้า ทำลายชื่อเสียงตระกูลเย่
เย่เทียนเฉินอ่านเนื้อหาข่าวลวกๆ เขียนไว้ว่าตอนที่ตนเองไปรบกับสหายศึกที่ชายแดน พบกับการซุ่มโจมตี จนถูกพวกโจรจับเป็นเชลย เพื่อจะมีชีวิตรอดจึงคุกเข่าร้องขอชีวิตและยอมขายเพื่อนพ้อง ทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษห้าคนต้องตาย
ส่วนหานเจี๋ยก็อาศัยความสามารถของตัวเองรอดกลับมาได้ แต่เรื่องทั้งหมดถูกเย่เทียนเฉินปิดบังไว้ก็เท่านั้น
คุกเข่าขอชีวิต? ขายพวกพ้อง? เมื่อเย่เทียนเฉินเห็นคำเหล่านี้ จิตใจก็ปั่นป่วนขึ้นมา
ในโลกช่วงสิ้นโลก เย่เทียนเฉินมีเพื่อนไม่กี่คนที่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ เป็นการร่วมเป็นร่วมตายที่สามารถเชื่อใจกันได้ แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เรื่องคุกเข่าขอชีวิตกับขายพวกพ้อง ต่อให้เขาต้องตายก็ไม่ยอมทำเด็ดขาด
“พ่อ เห็นได้ชัดว่ามีคนพุ่งเป้ามาที่ตระกูลเย่ของพวกเรา พุ่งเป้ามาที่พี่” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาด้วยความโกรธ
“พี่หง เรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ต้องตรวจสอบหน่อยนะคะ” หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินสงสัย
เย่หงมองเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า
“หนังสือพิมพ์ฉบับนี้แม้จะไม่ได้เป็นหนังสือพิมพ์หลัก แต่ก็เป็นหนังสือพิมพ์ซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ขายให้แก่ตระกูลใหญ่กับคนระดับสูงบางส่วนโดยตรง พ่อคิดว่ามีคนจำนวนมากที่เห็นข่าวนี้แล้ว พ่อไม่เชื่ออยู่แล้วว่าลูกเป็นคนแบบนี้ แต่เมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกมาก็สร้างความเสียหายให้แก่ชื่อเสียงตระกูลเย่”
กริ๊งๆๆ…เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่หงหยิบโทรศัพท์ข้างๆ ขึ้นมา ทักทายด้วยเสียงเบาๆ ว่า
“พ่อ….”
หลังจากพูดออกไป เย่หงก็ฟังโทรศัพท์ด้วยใบหน้าขาวซีด กระทั่งโทรศัพท์ส่งเสียงตู้ดๆ ออกมา
เย่หงที่วางโทรศัพท์ลงมองไปยังภรรยาและลูกทั้งสอง พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า
“พ่อโทรมา เขาโกรธมาก บอกว่าไม่อนุญาตให้พวกเรากลับไปที่บ้านหลักอีก”
“วันนี้แสงอาทิตย์ไม่เลวเลย ผมออกไปเดินเล่นสักหน่อย เดี๋ยวกลับมา!”
เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่รอให้พ่อแม่และน้องสาวได้ตอบอะไรก็เปิดประตูบ้านเดินออกไปแล้ว….
……………………
คอมเม้นต์