Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke – บทที่ 25 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก. ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย

อ่านนิยายจีนเรื่อง Side Character Transmigrations: The Final Boss is No Joke ตอนที่ 25 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

Side Character Transmigrations: The Final B… บทที่ 25 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก.. ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย (5)

 

บทที่ 25 คุณผู้อุปถัมภ์ที่รัก. ได้โปรดรับเลี้ยงดูฉันหน่อย

 

เมื่อสิ้นเสียงเรียกหมายเลขคิวของฉีเชิงจากทีมงาน เธอก็ลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้องออดิชั่นเงียบๆ เท่าที่เธอสังเกตเห็นภายในห้องมีกรรมการนั่งอยู่ ประมาณห้าคนได้ และถ้าเธอจําไม่ผิดผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงกลางน่าจะเป็นผู้กํากับของละครเรื่องนี้ เขาอายุราวๆสี่สิบ ใบหน้าทิ้งตึง คิ้วขมวดเป็นปมขนาดนี้ คงไม่ใช่คนที่เธอจะเข้าถึงได้ง่ายๆแน่

 

ผู้กํากับคนนี้มีชื่อว่าซ่งฮันว่ากันว่าเขาเป็นผู้กํากับที่เฮี๊ยบมาก เขาเคยให้นักแสดงถ่ายทําใหม่เป็นร้อยเทคในซีนเดียว เพียงเพราะนักแสดงคนนั้นแสดงได้ไม่ตรงใจเขาแน่นอนว่า นี่เป็นเพียงข่าวลือ แต่จะว่าไปข่าวลือส่วนมากก็มักจะมีเรื่องจริงปะปนอะนะ

 

ใครก็ตามที่ถูกคัดเลือกโดยซ่งฮันแล้ว ส่วนมากจะกลายเป็นดารานักแสดงที่โด่งดังด้วยกันทั้งนั้น และก็มีคำพูดที่เล่าต่อๆกันมาว่า: ถ้าคุณได้ร่วมงานกับซ่งฮันแล้วละก็ ทักษะการแสดงและอันดับในวงการของคุณจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเชียวล่ะ

 

“ สวัสดีค่ะฉันชื่อเจียงหวันนะคะ” เสียงแนะนําตัวของฉีเชิงไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไปมันเพียงพอที่จะสามารถทําให้ทุกคนในห้องได้ยินได้ แต่เหล่าคณะกรรมการก็ดู ไม่ได้ใจใส่ที่เธอพูดสักเท่าไหร่ พวกเขาเริ่มหยิบแฟ้มประวัติของเจียงหวันขึ้นมาอ่าน ก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกันเบาๆ พร้อมทั้งมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยจะพิสมัยเธอเท่าไหร่นัก ก่อนซ่งฮันจะพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงตัดรําคาญ “ เริ่มการแสดงของเธอได้ เริ่ม…”

 

ฉีเชิงพยักหน้ารับน้อยๆ และไม่ได้สนใจคณะกรรมการทั้งสี่คนอีก เธอค่อยๆรวบรวมสมาธิและนิ้วอารมณ์เพื่อให้เธอเข้าถึงบทบาทของไปหวัน ในตอนซึ่งเธอกําลังเข้าสู่ด้านมืดของตัวเอง ซึ่งซีนนี้ถือได้ว่าเป็นซีนที่สําคัญมากๆซีนหนึ่งของละครเรื่องนี้เลยก็ว่าได้

เนื่องด้วยทักษะการแสดงของเจียงหวันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมายนัก ฉีเชิงเลยแทบไม่ได้ดึงทักษะอะไรของเจียงหวันมากใช้เลย เธอพยายามจินตนาการว่าตอนนี้เธอคือไปหวันผู้ซึ่งกําลังถูกทุกคนเข้าใจผิด จินตนาการว่าถ้าหากไม่มีใครบนโลกนี้เชื่อมั่นและยืนอยู่เคียงข้างเธอเลยจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เหลืออยู่คงจะมีแค่ความเจ็บปวดความเศร้า และความสิ้นหวังเท่านั้นและเธอยังจิตนาการต่อไปอีกว่า แล้วถ้าหากว่าเธอถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจที่สุดละจะรู้สึกยังไง

 

พวกเขาจ้องมองไปที่เด็กสาวที่กําลังทําการแสดงอยู่บนเวที ราวกับว่าตอนนี้พวกเขากําลังจ้องมองไปหวันผู้ซึ่งกําลังสิ้นหวังในชีวิตและกําลังตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดอยู่ไม่มีผิด

 

เมื่อฉีเชิงแสดงเสร็จทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

สามวินาทีต่อมาซ่งฮันก็หลุดออกจากภวังค์เขามองหน้าฉีเชิง ก่อนจะพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ที่คุณแสดงมันช่างยอดเยี่ยม!! แล้วเราจะติดต่อกลับไป”

 

กรรมการทั้งสี่คนมองหน้ากันงงๆ “นี่หมายความว่าเขาเลือกเด็กคนนี้แล้วใช่ไหม?”

 

กับนักแสดงคนก่อนๆ ซ่งฮันแทบจะไม่พูดอะไรเลย เขาทําเพียงแต่ส่งเสียงให้สัญญาณเพื่อให้พวกเธอเริ่มทําการแสดงก็เท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้ทัศนคติของกรรรมการคนอื่นๆที่มีต่อฉีเชิงจึงเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น พวกเขาพูดคุยต่อกับเธอเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้เธอเดินออกมาจากห้อง เมื่อเธอออกมาก็พบกับถังหยินที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ได้ถามเธอในทันที่เจอ แต่เลือกที่จะพาเธอเดินออกมาข้างนอกตรงที่ไม่ค่อยมีผู้คนมากนักแทน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ําเสียงที่ไม่ได้เร่งเร่าอะwรมากนัก “เป็นยังไงบ้าง?”

 

“เขาก็บอกว่าให้รอประกาศอ่ะ” ฉีเชิงตอบพลางยักไหล่ จริงๆแล้วเธอค่อนข้างมั่นใจว่ายังไงบทนี้ก็ต้องเป็นของเธอ เธอรู้สึกได้ตั้งแต่ที่ซ่งฮันบอกกับเธอแบบนั้นแล้ว แต่ก็อย่างว่า เธอยังไม่ได้เซ็นสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เพราะฉะนั้นเธอเลยยังไม่รีบเร่งที่จะบอกถังหยิน

 

ถังหยินเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าฉีเพิ่งจะได้รับบทนี้ เมื่อได้ยินฉีเชิงพูดแบบนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไร เมื่อทั้งสองเดินจนถึงชั้นล่างจู่ๆเสียงโทรศัพท์ของถังหยินก็ดังขึ้น ก่อนเขา จะกดรับและคุยอยู่สักพักนึง จนกระทั่งเขาวางสายเธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก ก่อนเขาจะพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่บ้านก่อนนะ เพราะวันนี้น่าจะไม่มีอะไรต่อแล้วล่ะ คุณจะได้กลับไปพักด้วย”

 

“คุณมีธุระด่วนหรอ?”

 

ถังหยินเม้มริมฝีปากแน่นและใช้ความเงียบเป็นการตอบแทนกลายๆ

 

“ถ้าคุณมีอะไรที่ต้องไปทําก็ไปเถอะฉันเองก็จะได้กอบโกยเวลาส่วนตัว และใช้ชีวิตให้เต็มที่ ก่อนที่ฉันจะดังและกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้อีกเหมือนกัน”

 

“อะไรที่ทําเธอได้ขนาดนั้นว่าเธอจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์หรือเธอจะกลายเป็นดาราดังจริงๆ?” ถังหยินสั่นหัวเบาๆกับความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเอง “เดี๋ยวผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่า”

 

ในฐานะของผู้จัดการส่วนตัวเขาหรือจะกล้าทิ้งเธอไว้ข้างถนนคนเดียว?

 

ฉีเชิงมองเขาอย่างมีความหมายก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าคุณกําลังจะต้องไปทําอะไร แต่ฉันหวังว่าคุณจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างเหมาะสม ฉันไม่ต้องการมีปัญหาในอนาคตเพราะเรื่องของคุณคุณเข้าใจใช่ไหม?”

 

หัวใจของถังหยินเต้นแรงราวกับมันจะหลุดออกมา เมื่อเผชิญกับดวงตาที่เหมือนจะมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งของเชิงเขาเงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณเองก็ระวังตัวด้วยหากมีเรื่องอะไรก็โทรหาผมได้ตลอดเวลา”

 

[เควสลับ : โยนเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญ

 

ฉีเซึ่งเพิ่งจะนั่งลงในร้านกาแฟได้ไม่นานเสียงเย็นเยียบของระบบก็ดังขึ้น

 

“เควสบ้าบออะไรอีก! นี่นายเห็นฉันว่างมากนักใช่ไหมห้ะ? นายควรจะมีตัวเลือกมาให้ฉันด้วยสิแบบ : รับ/ ไม่รับมีบ้างมั้ยยะแบบนั้นนะ?

 

[เควสลับไม่สามารถปฏิเสธได้]

 

ไม่สามารถปฏิเสธได้บ้านปูแกสิ!” หลังจากนั้นฉีเชิงก็ก่นด่าสาปแช่งทั้งนักลงทุนยันคนเขียนระบบยาวไปจนถึง 18 ชั่วโครตพอด่าเสร็จเธอถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

 

“อะไรคือโยนเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญ?” หรือว่ามันเป็นสํานวน?”

 

โยนเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญ : ทําให้ลู่ชิงหยุนจ่ายเงินมากกว่าหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้โฮสต์]

 

“นายกําลังพูดถึงใครน่ะ?”

 

ลู่ชิงหยุน ]

 

ฉีเชิงอึ้งจนพูดไม่ออก “เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเจอ นี่มันเควสลับแบบไหนเนี้ย!”

 

“แล้วทําไมฉันต้องไปอ่อยให้ลู่ชิงหยุนเอาเงินมาเปย์ฉันด้วย เบี้ย นี่นายจะให้ฉันไปเป็นอีหนูเขาเรอะ!”

 

ลู่ชิงหยุนคือใครน่ะเหรอ เขาเป็นตัวร้ายที่เรียกได้ว่าแทบจะมีบทบาทที่สุดของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ !เขามีหน้าตาที่หล่อเหลาปานเทพบุตร แถมยังรวยอภิมหารวยเรียกได้ว่าครบเครื่อง แต่ถ้าไม่จําเป็นอย่าไปเฉียดใกล้เขาจะดีกว่า เพราะว่าเขามันก็วายร้ายดีๆนี้เอง

 

ฉู่ถาง หรือที่ถูกเรียกอีกชื่อว่าลู่ชิงหยุนเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซีโม่ตลอด พวกเขามีเรื่องขัดแย้งและกระทบกระทั่งกันบ่อยๆในช่วงหลังท้ายของเนื้อเรื่องลู่ชิงหยุนก็ได้เข้ามามีบทบาทในวงการบันเทิงเป็นคนที่มีอิทธิพลคนหนึ่ง

 

ในตอนท้ายของเรื่องเขายอมแพ้ซีโม่ก่อนจะตัดสินใจหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ผู้แต่งก็ไม่ได้มีเขียนไว้ว่า เป็นเพราะชิงหยุนชอบเซี่ยเหมินหรือเปล่าเขา

 

สําหรับสาเหตุที่เขาต่อสู้กับซีโม่นั้นไม่ได้มีอธิบายไว้ในเนื้อเรื่อง แต่ก็มีคําใบ้ปริศนาว่าอาจจะเป็นเพราะใครบางคน

 

“นายต้องการให้ฉันไปอ่อยคนแบบนั้น? เจ้าระบบนาย นายโดนไวรัสกินเปล่าเนี้ย??

 

[เป้าหมายตอนนี้อยู่ที่ช้าย 9 นาฬิกาโฮสต์โปรดใช้โอกาสนี้ในการทําภารกิจให้สําเร็จ

 

เสียงระบบหายไปหลังจากพูดประโยคสุดท้ายจบ

 

ใช้โอกาสนี้ ฉันควรใช้โอกาสอะไร! มารดามันเถอะ! นายควรจะให้ข้อมูลฉันเพิ่มก่อนที่นายจะหายไปไม่ใช่เหรอ?!”

 

ฉีเชิงมองไปทางซ้ายมือ ตรงนั้นมีห้องลับส่วนตัวอยู่ ประตูหน้าห้องปิดสนิท แล้วก็มีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งกําลังรออยู่ด้านนอก

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆกระจกหน้าต่างก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ผู้คนในร้านกาแฟเริ่มกรีดร้องด้วยตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งยังวิ่งกันสับสนอลม่านไปหมดส่วนคนที่นั่งถัดจากหน้าต่างก็พากันรีบวิ่งหนีไปหาที่หลบซ่อนกันหมด

 

ที่อีกฝั่งของถนนมีผู้ชายแต่งตัวแปลกๆ หลายคนกําลังกระโดดออกมาจากรถ ก่อนจะเดินไปบนถนน พวกเขาสวมหน้ากากสีดํา และในมือมีอาวุธครบมือ ทั้งในและระเบิด

 

ผู้คนที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นต่างพากันวิ่งหนีตายกันอลหม่าน พวกเขาวิ่งหนีไปหลบตามร้านค้าต่างๆที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หลังจากนั้นไม่นาน เสียงไซเรนของรถตํารวจก็ดังขึ้น

 

ฉีเชิงหลบอยู่ที่มุมเล็กๆในร้านกาแฟ เธอมองดูเหตุการณ์วุ่นวายที่กําลังเกิดขึ้นด้านนอกอย่างมึนงง “นี่หรอโอกาสของนาย เจ้าระบบโง่!! นี่มันการปล้นชัดๆ! ”

 

พวกโจรพยายามซ่อนตัวจากตํารวจ พวกมันสํารวจทิศทาง และบริเวณรอบๆ ก่อนหนึ่งในนั้นจะให้สัญญาณมือกับพวกที่เหลือ จากนั้นกลุ่มโจรก็พากันวิ่งกรูผ่านหน้าต่างกระจกที่แตกก่อนหน้านี้เข้ามายังร้านกาแฟ

 

“ อ้า

 

พวกมันกําลังจะฆ่าเรา!”

 

หลายๆคนพยายามจะวิ่งออกจากร้านกาแฟด้วยความตกใจ

 

เมื่อพวกโจรเห็นแบบนั้นก็ยิงเข้าที่ประตูร้านกาแฟทันที เมื่อเสียงปืนดังขึ้นก็ทําให้ผู้คนที่อยู่ในร้านเงียบลงทันที โจรคนหนึ่งเล็งปืนไปที่คนที่ตะโกนเมื่อกี้ และตวาดเสียงดัง “อย่าขยับ! เอามือมาประสานกันไว้บนหัวและหมอบลงไปกับพื้น! หันหน้าเข้ากําแพง! ห้ามตะโกนโหวกเหวกโวยวาย! ใครมันกล้าไม่เชื่อฟังกระสุนได้เข้าไปฝังในสมองแน่! ไม่ต้องกระซิบกระซาบกัน หันหน้าเข้ากําแพงไปให้หมด!”

 

“โง่เหง่าอะไรกันขนาดนี้ โจรพวกนี้สมองมีปัญหารึไง ร้านกาแฟมันเป็นที่ๆน่ามาซ่อนจากตํารวจตรงไหนห้ะ! ริอาจ จะเป็นถึงโจรปล้นธนาคาร แต่ไอคิวมีอยู่แค่เนี้ย? ฉันละยอมคนเขียนบทจริงๆเขียนมาได้ไงให้โจรมาซ่อนในร้านกาแฟ

 

เมื่อฉีเชิงสาปแช่งคนเขียนบทในใจเสร็จ เธอก็เอามีประสานไว้ตรงท้ายทอย ก่อนจะค่อยๆเดินก้มหัวเข้าหากําแพง ซึ่งนั่นยิ่งทําให้เธอเข้าใกล้ห้องส่วนตัวนั้นเพิ่มไปอีก

 

บริกรที่อยู่ข้างนอกห้องคนนั้นกําลังนั่งยองๆอยู่บนพื้นเขา ตัวสั่นทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความกลัว

 

เนื่องด้วยรูปแบบของร้านกาแฟเป็นแบบ 3 ชั้น จึงทําให้ไม่มีโต๊ะไหนสามารถมองเห็นได้จากทางเข้า ยิ่งเมื่อโจรสั่งให้ทุกคนในร้านไปหมอบอยู่ใกล้ๆกับกําแพง ยิ่งทําให้คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ว่ากําลังเกิดอะไรขึ้นข้างในนี้

 

พวกโจรเองก็ไปยืนอยู่ตรงจุดบอดจึงทําให้คนที่อยู่ภายนอก ไม่สามารถมองเห็นพวกมันได้ ในขณะที่พวกมันสามารถที่มองเห็นคนข้างนอกได้อย่างชัดเจน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด