หัตถ์เทวะธิดาพญายม – ตอนที่ 3 เทพอาชูร่าผู้เยื้องย่างขึ้นจากนรกโลกันตร์
ทุกผู้คนต่างพากันตกตะลึงในสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา ภายในห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด
“นี่…นางตายแล้วกระนั้นหรือ ?”
บุรุษผู้หนึ่งเอื้อมมือเปิดกรงขังสีทอง เขาแทรกกายเข้าไปลากร่างของสาวน้อยนางนั้นออกมาตรวจดูว่านางยังคงมีลมหายใจอยู่หรือไม่
“หญิงน่ารังเกียจ นางปฏิเสธน้ำใจของพวกเราถึงกับยอมตายเชียวหรือ บ้าจริง !”
บุรุษอีกนายใช้ฝ่าเท้าเตะ ก่อนจะถ่มน้ำลายใส่ร่างของดรุณีน้อยผู้นั้น
“น่าเสียดายจริงที่วันนี้มีตัวอุ่นเตียงเพียงแค่ชิ้นเดียว ยามนี้กลับพังไม่มีชิ้นดี เสียอารมณ์หมด !”
ตาเฒ่าเจียงลงนั่งยองอยู่กับพื้น มันเอื้อมมือออกสัมผัสผิวเนื้อที่ละเอียดนุ่มนั้น
“แม้นางจะมิอาจใช้เป็นเครื่องอุ่นเตียงได้ก็จริง หากแต่เรายังสามารถลอกหนังของนางออกมาตรึงหน้ากลองได้…”
ขณะที่ตาเฒ่าเจียงยังพร่ำพรรณนาอยู่นั้น ฝ่ามือของมันก็ไล้ลงบนร่างดรุณีน้อยนางนั้นไปด้วย ทันใดนั้นทั้งร่างของมันกลับต้องแข็งค้าง
นัยน์ตาที่มืดมัวของตาเฒ่าเจียงจ้องเขม็งลึกลงไปในดวงตาหงส์ที่ดำขลับคู่นั้น
“นาง…นางยังไม่ตาย !” อีกเสียงร้องดังขึ้น
ชั่วครู่ต่อมาทุกคนต่างได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากตาเฒ่าเจียง “อ๊าก อ๊าก—– ! ! แขนของข้า ! แขนของข้า—– ! !”
แขนข้างที่แตะลงลูบไล้เรือนร่างของดรุณีน้อยข้างนั้นของตาเฒ่าเจียงกลับเหี่ยวพับหักอยู่ใต้ข้อศอก มันนุ่มนิ่มอ่อนปวกเปียกราวกับไร้สิ้นกระดูกอยู่ด้านใน หากที่แท้แล้ว…กระดูกท่อนแขนทั้งหมดได้ถูกบดขยี้ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีไปแล้วต่างหาก !
ทุกคนต่างพากันแข็งค้างนิ่งอึ้งด้วยความตื่นตกใจ ต่างฝ่ายต่างพากันหันกลับไปมองสาวน้อยเสื้อผ้าหลุดรุ่ยที่ค่อย ๆ เขยิบกายลุกขึ้นด้วยท่าทีที่เชื่องช้า
เมื่อครู่ก่อน นางยังเป็นนางทาสที่อ่อนแอเนื้อกายสั่นเทาร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่เลย หากทว่ายามนี้นางประดุจดั่งเทพอาชูร่าผู้ย่างกรายขึ้นมาจากขุมนรกโลกันตร์
โลหิตสีแดงสดที่ไหลอาบอยู่บนหน้าผากนั้นฉูดฉาดเปล่งปลั่งราวกับดอกอิงซู่ฮวา*สีแดงชาดที่กำลังผลิบาน
*อิงซู่ฮวา = (ดอกฝิ่น)
อายแห่งกระแสพลังอันเร้นลับแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่ ความเย็นยะเยือก บรรยากาศที่ขมุกขมัวปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันสั่นสะท้านด้วยความตื่นกลัว บรรยากาศเยี่ยงนี้ราวกับเทพเจ้าแห่งความตายได้สะบัดง้าวสูบวิญญาณตวัดมาถึงคอหอยพวกมันแล้ว
“เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน ?”
แทบจะทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุดลง คมกระบี่อันเยียบเย็นสายหนึ่งก็ส่องประกายวาบแทรกผ่านอากาศ ต่างได้ยินแค่เพียงเสียงดัง “ฉัวะ” เท่านั้น เบื้องหน้าสายตาของพวกมันก็ได้พบกับบุรุษผู้ศีรษะขาดกระเด็นในสภาพที่ยังหายใจและนัยน์ตาเหลือกโพลง
“อย่า…อย่าเข้ามา—– !”
“เร็วเข้า ๆ ผู้คุ้มกันหอรื่นรมย์ไปอยู่ที่ไหนกันหมด รีบมาที่นี่เร็วเข้า !”
ห้องที่เคยใช้เป็นสถานที่ตรวจสอบคุณภาพสินค้า ยามนี้กลับมีเพียงความอลหม่าน ผู้คนแตกตื่นวิ่งหนีกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดกันอย่างลนลาน ราวกับพวกมันได้หลงลืมไปสิ้นว่าตนเองนั้นก็เป็นผู้มีพลังฝีมือเช่นกัน ในบรรดาคนพวกนั้นโดยส่วนใหญ่ล้วนมีพลังในการต่อสู้ขั้นต้น พวกมันคงหลงลืมไปสิ้นว่าเมื่อครู่นี้ สตรีผู้นี้เป็นแค่เพียงนางทาสที่นั่งเนื้อตัวสั่นระริกอยู่ภายในกรงขังเมื่อยามที่พวกมันพากันรุมรังแกและหยามหมิ่นนาง
หากทว่า จะมีผู้ใดสามารถรอดพ้นง้าวสูบวิญญาณภายใต้หัตถ์ของเทพเจ้าแห่งความตายไปได้กระนั้นหรือ ?
ย่อมไม่มีทาง !
เพียงสายลมเย็นวาบพุ่งผ่านไป ยังมิทันได้มีผู้ใดขยับกาย พวกมันก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่บริเวณลำคอ และเพียงชั่วกระพริบตาพวกมันทั้งหมดล้วนสูญสิ้นความรู้สึกทั้งปวง
ชั่วลมหายใจรวยรินเข้าและออกสิบครา เพียงสิบช่วงแห่งลมหายใจเท่านั้น ภายในห้องที่อื้ออึงเสียงดังโหวกเหวกโกลาหลกลับเต็มไปด้วยซากศพ
ฝ่าเท้าอันเปลือยเปล่าของสตรีร่างน้อยค่อย ๆ ก้าวย่างกรายฝ่าดงร่างอันไร้วิญญาณเหล่านั้น สายตาของนางเย็นชาและหม่นมัวราวกับห้วงน้ำแข็งอันล้ำลึก นางเพียงเอ่ยกระซิบขึ้นเบา ๆ
“พวกเจ้าทั้งหมดคิดจะสังหารข้านั้นยังเร็วเกินไปสักพันปี ! ข้า ! เกอซี ! ได้คืนชีพขึ้นมาแล้ว !”
ในนครเหยียนจิงมีสถานที่อันเลื่องลือ นามว่า หอรื่นรมย์ ณ ที่แห่งนี้เองที่ทาสหญิงผู้อ่อนแอน่าเวทนา ถูกรังแกหยามหมิ่น กระทั่งนางต้องหยิบยื่นความตายบรรณาการให้แก่ตนเอง หากแต่เมื่อนางเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครา นางได้กลายเป็นเกอซี มือสังหารเหรียญทองแห่งองค์กรนักฆ่าในศตวรรษที่ 21
เมื่อเกอซีได้ข้ามเวลาผ่านมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางได้รับการถ่ายทอดความทรงจำทั้งหมดจากกระแสดวงจิตแห่งร่างเดิม
ช่างบังเอิญเสียจริงที่เจ้าของร่างเดิมนั้นเป็นผู้มีนามกรเดียวกัน นั่นคือ น่าหลานเกอซี
หากทว่าสภาพชีวิตในร่างที่นางเข้ามาอยู่นี้ช่างแตกต่างจากชีวิตในศตวรรษที่ 21 ของเกอซีโดยสิ้นเชิง น่าหลานเกอซีร่างนี้ถือกำเนิดขึ้นในอาณาจักร จินหลิง อาณาจักรที่ทุกคนต่างวางความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อผู้ที่มีพลังฝีมือและพื้นฐานพลังปราณ บิดาของนางคือหมอผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า ทว่านางกลับเป็นเพียงขยะไร้ค่า ดั่งคนพิการที่ไร้รากฐานแห่งพลังอันเนื่องด้วยกระแสจิตวิญญาณจึงมิอาจควบกลั่นพลังปราณให้คุกรุ่นโคจรเข้าในกายได้ มิใช่แค่เพียงมิอาจสร้างความก้าวหน้าในพลังฝีมือของตนได้เท่านั้น กระทั่งพรสวรรค์ในการปรุงโอสถนั้นนางก็มิได้นำติดกายมาด้วยทั้งสิ้น
มารดาผู้ให้กำเนิดน่าหลานเกอซีสิ้นลม หลังจากให้กำเนิดนางได้ไม่นานเท่าไร นางคือผู้ที่ถูกทอดทิ้งให้ต้องดูแลตนเองแต่เพียงลำพัง ตั้งแต่ครั้งเมื่อยังเป็นเด็กน้อย แม่เลี้ยงสั่งให้นางแยกตัวไปอยู่ในเรือนที่แสนโกโรโกโสด้วยหวังจะให้นางได้สิ้นชีวิตไปเองอย่างน่าเวทนา บ่าวรับใช้ใจทมิฬที่อยู่ในเรือนนั้นเมื่อเห็นว่านางไร้ที่พึ่ง ไร้อำนาจ พวกมันก็ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นที่ระบายอารมณ์ พวกมันพากันรังแกนางอย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันลดอาหาร นำเงินที่จะใช้จับจ่ายในการซื้อเสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นของนาง มาเป็นค่าใช้จ่ายของพวกมันเอง กดขี่ให้นางต้องตกอยู่ในฐานะที่ตกต่ำเสียยิ่งกว่าการเป็นบ่าวรับใช้ !
หากแต่แม้ทุกคนจะกระทำต่อนางถึงเพียงนี้แล้ว คนในสกุลน่าหลานกลับยังมิยอมรามือจากนาง
***จบตอน เทพอาชูร่าผู้เยื้องย่างขึ้นจากนรกโลกันตร์***
คอมเม้นต์