หัตถ์เทวะธิดาพญายม – ตอนที่ 13 สุกรอ้วนล่อนจ้อน
จูจงป้าร้องโอดครวญด้วยใบหน้าขมึงทึง “นางปีศาจ เจ้าทำอะไรข้า ? เหตุใดข้าจึงโคจรพลังปราณไม่ได้….”
ในหมู่ผู้ฝึกยุทธแล้ว การต้องมีเส้นชีพจรลมปราณพิการกลายเป็นคนธรรมดาสามัญที่ไร้พลังฝีมือนั้นโหดร้ายทารุณเสียยิ่งกว่าความตาย
ทว่าเกอซีหาได้ใส่ใจไม่ นางขยับมือชักกริชออกมา และแค่เพียงการตวัดปลายข้อมือสองสามครา เสื้อผ้าของจูจงป้าก็ถูกสะบั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ประตูใหญ่ทางเข้าเรือนแห่งนี้ยังคงถูกเปิดทิ้งไว้อย่างกว้างขวางโดยที่ไม่ทันมีผู้ใดได้สังเกตเห็น สายลมเย็นพัดโชยเข้ามาถึงด้านในได้โดยอิสระเสรี
แรงของสายลมโบกพริ้วพัดพาเอาเศษเสื้อผ้าอาภรณ์ของจูจงป้าให้ปลิวหลุดร่วงหล่นลงไปตามพื้นดินเหลือแค่เพียงผ้าเตี่ยวห้อยต่องแต่งอยู่บนลำตัว แม้ชายหนุ่มใคร่จะปกปิดร่างกายของตนไว้กลับมิอาจกระทำได้
“จุ๊ จุ๊ จุ๊ !” เกอซีส่ายศีรษะพลางถ่ายถอนลมหายใจ “เดิมทีข้าเพียงคิดว่าอาภรณ์ที่เจ้าสวมใส่อยู่นั้นไม่เจริญตา หากแต่ไม่คิดว่ายิ่งเมื่อผ้าผ่อนของเจ้าหลุดไปกลับดูอุจาดถึงขนาดอาจทำให้ตาบอดสนิทได้ หากจะเรียกเจ้าว่า เจ้าสุกรอ้วน ข้ายังเกรงว่าจะเป็นการดูหมิ่นเหล่าสุกรจนเกินไป”
“หญิงต่ำช้า ! เจ้ามีคุณสมบัติใดมาล่วงเกินนายน้อยผู้นี้ !” จูจงป้าผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดไม่เคยได้รับความอัปยศมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน มันตีโพยตีพายส่งเสียงร้องคำรามก้อง “หญิงต่ำช้า ข้าจะจับเจ้าฉีกเป็นพัน ๆ ชิ้น !”
เกอซีหัวร่อออกมาด้วยอาการที่เหยียดหยัน “หัดชะโงกดูสภาพน่าสังเวชของเจ้ายามนี้เสียก่อนเถิด เจ้ายังคิดว่าตนจะสามารถจับข้าฉีกออกเป็นพัน ๆ ชิ้นได้กระนั้นหรือ ? ป้าใหญ่ผู้นี้หวาดกลัวเสียจริง !”
“รอก่อนเถิด ! รอให้มีคนมาช่วยข้าก่อน ! ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ ! แม้จะต้องไล่ล่าตามหาเจ้าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ !”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…. เอาเลย ข้าจะรอ !” เกอซีหัวเราะร่วน
“เช่นนั้นจงจำไว้ เจ้าไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปตามหาข้าจนสุดหล้าฟ้าเขียวแต่อย่างใด นามแห่งข้าคือ น่าหลานเฟยเสวี่ย คุณหนูรองสกุลน่าหลาน บุตรีแห่งท่านหมออัจฉริยะ น่าหลานเจิ้งเจ๋อ เจ้าจะมาคิดบัญชีแค้นนี้เมื่อไรก็ย่อมได้ !”
“น่าหลานเฟยเสวี่ย……” จูจงป้ากัดกรามแน่นขณะเอ่ยนามนั้นลอดไรฟันออกมาอีกครา นัยน์ตาของมันแดงก่ำด้วยหมายจะฉีกกัดเนื้อหนังของนางให้กระจุย “ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”
เกอซีมีหรือจะใส่ใจถ้อยคำขู่เข็ญกรรโชกพวกนั้น นางตรงเข้าไปจัดการกับเสื้อผ้าของเหล่าอารักขาทั้งสี่เฉกเช่นเดียวกับจูจงป้าก่อนจะจับพวกมันทั้งหมดมัดไว้กับเสากลางห้องโถงใหญ่
ส่วนข้าวของและสมบัติต่าง ๆ ของจูจงป้ากับเหล่าอารักขาทั้งสี่รวมไปถึงธำมรงค์มิติเวทบนนิ้วของจูจงป้านั้น นางน้อมรับไว้ด้วยความซาบซึ้งในไมตรียิ่ง
“โครม—– ! !” เสียงพังถล่มก้องสะท้อนเมื่อเกอซีทลายประตูใหญ่ทางเข้าเรือนแห่งนี้เพื่อให้ภาพฉากที่ถูกจัดไว้ภายในห้องโถงกว้างสามารถถ่ายทอดออกสู่สายตามวลประชาที่เดินผ่านไปมาให้เห็นได้อย่างเด่นชัด
ยามนี้ทุกคนในเรือนต่างถูกนางจัดการสิ้นจนมิอาจขยับกายลุกขึ้นได้ คงต้องรอให้วันเวลาผ่านไปราวหนึ่งวันกับหนึ่งคืน พวกมันจึงจะสามารถกระเสือกกระสนคืบคลานขึ้นมาได้
เชื่อได้ว่าเมื่อแสงตะวันสาดทอลำแสงแรกแห่งเช้าวันใหม่ ยามรุ่งอรุณเยี่ยมเยือนผู้คนทั้งหลายคงได้ชื่นชมกับภาพฉากอันน่าตื่นตาชวนตะลึงอย่างที่สุด และเชื่อว่าภายในเรือนแห่งนี้จะเป็นภาพผลงานชิ้นยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า
แสงจันทราสายสีเงินยวงจับต้องผิวหน้าที่เนียนละเอียดของหญิงสาว เกอซีหันกายกลับมาหาจูจงป้าผู้จังก้าอยู่กลางห้องโถงใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่เห็นประกายฟันขาวสดใส “ครานี้เจ้าจะได้เผยรูปร่างอันแสนอัปลักษณ์ของเจ้าให้ทุกคนได้ชื่นชมแล้ว อย่าลืมกลับมาตอบแทนข้าเล่า ! ข้าคือ น่าหลานเฟยเสวี่ย จงจำไว้ !”
เมื่อนางหันกายกลับไป รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่มืดมนเย็นชา
คุณหนูรองแห่งสกุลน่าหลาน น่าหลานเฟยเสวี่ยกระนั้นหรือ ? หึหึ เมื่อเจ้ากล่าวหาว่าข้าคอยขัดขวางเส้นทางชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วหากข้าจะยังคงทำเมินเฉยไม่รู้ไม่เห็นการกระทำของเจ้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังกระนั้นหรือ ?
จงอย่าได้คิดหาญล่วงเกินต่อนางหากพวกเจ้าไม่อาจจ่ายค่าตอบแทนอันแสนขมขื่นได้
เมื่อยามนี้นาง เกอซี ได้เข้ามาร่วมแบ่งปันชะตากรรมของเจ้าของร่าง น่าหลานเกอซีผู้นี้แล้ว
เกอซีผู้ผละจากไป มิได้รับรู้เลยว่า ช่วงระยะเวลาหนึ่งก้านธูปอันทรงคุณค่านี้เงาร่างของคนผู้หนึ่งที่จับจ้องมองอยู่ได้โจนทะยานออกจากเรือนสกุลจูเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่พระตำหนักที่หรูหราตระการตาซึ่งอยู่ติดกับเขตพระราชฐานแห่งพระราชวังเหยียนจิง
ภายใต้ความเงียบสงัดแห่งรัตติกาล เสียงหัวเราะลั่นอย่างมิอาจข่มห้ามอารมณ์ของบุรุษผู้หนึ่งเด่นชัดออกมาจากด้านในของพระตำหนัก
สุ้มเสียงที่ทุ้มลึกของบุรุษผู้นั้นยิ่งส่งให้เสียงหัวเราะดังก้องสะท้อนกังวานราวกับเสียงดีดบรรเลงของเครื่องดนตรีเซลโล่ในยุคปัจจุบัน สุ้มเสียงซ่อนลึกที่ไล่ระดับลงไปนั้นจั๊กจี้ใจผู้ฟังยิ่งนัก
เสียงหัวร่อสนั่นของบุรุษยามนี้แสดงให้เห็นชัดถึงความถูกอกถูกใจอย่างยิ่งยวดในสิ่งที่เขากำลังรับรู้อยู่ “ยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งน่าสนใจ เปิ่นหวางอยากพบนางจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว”
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบได้ความมาหรือยัง”
“เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในนี้พะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดทอดพระเนตร”
บุรุษผู้นั้นรับแผ่นหยกบันทึกข้อความด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระหายรู้ยิ่งนัก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเมื่อเรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดส่งผ่านมา
***จบตอน สุกรอ้วนล่อนจ้อน***
คอมเม้นต์