หัตถ์เทวะธิดาพญายม – ตอนที่ 47 เป็นไปไม่ได้ที่จะมีหนทางรักษา
เหล่าผู้ชุมนุมต่างระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นจนทำให้ใบหน้าของผู้ดูแลจิ๋นกลับกลายเป็นสีม่วง ลูกนัยน์ตาโป่งพองด้วยความกริ้วโกรธา
ผู้ดูแลจิ๋นค่อย ๆ สงบอารมณ์ของตนเองลงได้ หากแต่เขายังคงไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะเข้าไปรบกวนท่านหมอเซีย เมื่อสถานภาพของท่านหมอเซียผู้นี้สูงส่งกว่าอาจารย์ของเขาเสียอีก ส่วนเขาเป็นเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในโรงโอสถจีเชิงนี้เท่านั้น ผู้ดูแลร้านที่ต่ำต้อยเช่นเขาหรือจะหาญกล้าไปออกคำสั่งกับท่านหมอเซีย ?
ชั่วขณะนี้เองที่น้ำเสียงลุ่มลึกดังสะท้อนก้องออกมาจากด้านในโรงโอสถจีเชิง “จิ๋นฟู่เจ้ามันช่างกระทำตนเหมือนเด็กน้อยไม่สมความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย เรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็จัดการไม่ได้ !”
ทั้งร่างของผู้ดูแลจิ๋นสะท้าน ทันทีที่เขาหันกลับมาเห็นท่านหมอเซียยืนอยู่ ใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนรูปเป็นตื่นเต้นประหลาดใจและยินดี “ท่านหมอเซีย เหตุใดท่านจึงออกมาขอรับ ?”
ท่านหมอเซียชำเลืองมองทุกผู้คนที่รายล้อมก่อนที่น้ำเสียงไม่นำพาจะเอ่ยตอบ “หากข้าไม่ออกมา เจ้าคงทำให้โรงโอสถจีเชิงต้องเสื่อมเสียไม่เหลือชิ้นดี หลีก ๆ หลบออกไปเดี๋ยวนี้ !”
ท่านหมอเซียอยู่ในอาภรณ์สีเทาสีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังฝีเท้าก้าวออกมาอย่างกระฉับกระเฉง ย่างก้าวที่กระตือรือร้นหนักแน่นของเขาทำให้ฝูงชนล้วนแหวกเส้นทางออกไปด้านข้างด้วยความสมัครใจ
จี้หยกสลักลวดลายรูปสัตว์ป่าที่ห้อยแก่วงไกวเหน็บอยู่เอวข้างซ้ายคือเครื่องหมายบ่งชี้ว่าเขาผู้นี้คือท่านหมอผู้มีระดับความสามารถในการรักษาขั้นที่สาม
ท่านหมอเซียยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสองผู้มีเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไปด้วยฝุ่นธุลี สายตาแห่งความรังเกียจฉายผ่านดวงตาคู่นั้นวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะย่อกายลงแล้วเหยียดยื่นแขนออกไป ส่งผ่านกระแสพลังปราณเข้าสำรวจอาการบาดเจ็บในร่างกายของเด็กหนุ่ม
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูปสีหน้าของท่านหมอเซียกลับกลายเป็นน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่าช่วงระยะเวลาเนิ่นนานที่เขาตรวจวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของหนุ่มน้อย ที่สุดแล้วศีรษะของท่านหมอส่ายไปมา “กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในร่างของเด็กคนนี้ฉีกขาดสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำการเยียวยารักษา !”
ทันที่ที่วาจานี้หลุดออกมา เสียงเอะอะอึงคะนึงโหมกระพือขึ้นทันควัน
“สวรรค์ ! กล้ามเนื้อตลอดถึงเส้นเอ็นของเขาถูกทำลายจริง ๆ แม้เทพเซียนบนฟ้าก็ไม่อาจช่วยเหลือเขาได้แล้ว !”
“ถูกแล้ว ! ดูอย่างคุณชายแห่งสกุลโอวหยางผู้นั้นสิ ถึงจะร่ำรวยเงินทองมากล้นอำนาจบารมีขนาดที่สามารถเรียญเชิญท่านหมอน่าหลานผู้เป็นอัจฉริยะมาตรวจรักษาได้ หากแต่ทุกสิ่งกลับกลายเป็นศูนย์ กระทั่งทุกวันนี้คุณชายโอวหยางยังนอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นได้ !”
“ไอ่หยา ช่างน่าสงสารจริง ๆ ผู้ใดกันชั่วช้าถึงขนาดลงมือกับเด็กอย่างหนักหน่วงรุนแรงถึงเพียงนี้”
ถ้อยวินิจฉัยของท่านหมอเซียและคำวิพากวิจารณ์ของทุกคนได้ทำลายความหวังของเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ให้สิ้นสูญ นางซวนเซกระถดถอยหลังไปสองก้าว แข้งขาอ่อนแรง เพียงเสียงดัง ตุ้บ ร่างของนางพลันทรุดลงไปกองที่พื้น
ยิ่งเมื่อได้เห็นร่างไร้สติของหนุ่มน้อยเบื้องหน้า เห็นลมหายใจของเขาที่รวยริน ยิ่งรู้สึกได้ว่าความหวังสุดท้ายของนางกลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผงเถ้าธุลี ความเจ็บปวดรวดร้าวระเบิดท่วมไปทั่วห้วงใจ
ฝ่ามือที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของเด็กสาวผู้นั้นไขว่คว้าฉกฉวยเอาทุกสิ่งทุกอย่างใกล้ตัวที่พอจะฉวยคว้าได้มาอย่างไม่ตั้งใจ เสียงพร่ำรำพันที่สิ้นหวังบ่นเพ้อไม่หยุด “จะมีผู้ใดสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้….ได้โปรดเถิด โปรดช่วยพี่ชายของข้าด้วยเถิด…..”
ฉับพลัน น้ำเสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งดังแทรกผ่านเสียงอึกทึกของหมู่ชนออกมา สุ้มเสียงนั้นทะลุทะลวงผ่านช่องหูของทุกผู้คนเพียงเสี้ยวนาที “หากเส้นชีพจรในร่างของเขาฉีกขาด จะไม่มีผู้ใดในที่นี้มีความสามารถเพียงพอจะช่วยชีวิตเขาได้เลยล่ะหรือ ?”
ท่านหมอเซียยกศีรษะขึ้นด้วยอาการไม่พอใจ สิ่งที่เขาได้ประสบคือดวงตาที่แสนดึงดูด ใบหน้าที่งดงามอย่างยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ท่านหมอเซียพ่นน้ำเสียงออกจมูกอย่างเย็นชา “ว่าไงนะ ? เจ้าเคลือบแคลงสงสัยความสามารถในการรักษาของข้ากระนั้นหรือ ? ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า ทั่วทั้งอาณาจักรจินหลิงไปตลอดทั้งทวีปหมีหลัวนั้นล้วนไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการที่เกิดจากเส้นชีพจรลมปราณฉีกขาดได้ !”
คำกล่าวของท่านหมอเซียส่งผลให้ทุกคนล้วนพากันผงกศีรษะ หากมีผู้ใดสามารถรักษาเส้นชีพจรที่ฉีกขาดได้ คุณชายโอวหยางคงจะได้รับการรักษาไปเนิ่นนานแล้ว และคงไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคนเมื่อเขาต้องกลายเป็นผู้ที่ไร้ค่าเช่นนี้
หากแต่จะอย่างไรเสีย เด็กสาวผู้นั้นกลับรู้สึกราวกับน้ำเสียงนี้ได้หยิบยื่นโอกาสแห่งชีวิตมาให้แก่นางแล้ว เด็กสาวแหงนเงยศีรษะขึ้น นางกำชายแขนเสื้อของหนุ่มน้อยผู้นั้นไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาววิงวอนร้องขอด้วยน้ำตานองหน้า “ท่าน…..ท่านบอกว่าสามารถช่วยพี่ชายข้าได้กระนั้นหรือ ? ได้โปรดช่วยพี่ชายข้าด้วยเถิด !”
ผู้ที่เอ่ยกล่าวออกมาย่อมเป็นเกอซีผู้แต่งกายเป็นบุรุษอย่างแน่นอน !
เดิมทีนางหาได้สนใจหรือแยแสต่อเรื่องของผู้อื่นใด หากแต่ภาพเด็กสาวที่กระเสือกกระสนลากถูพี่ชายตนเองวิงวอนขอร้องผู้คนให้ช่วยเหลือนั้นไปกระทบห้วงความทรงจำในส่วนลึกของนาง
เมื่อก่อน ก็มีผู้ที่แบกนางไปมาเช่นนี้ คนผู้นั้นคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอผู้คน “ได้โปรดช่วยน้องสาวข้าด้วย” ทอดสายตาไปตลอดทั่วหล้านี้ เห็นจะมีแต่คนผู้นี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลมหายใจของนาง
***จบตอน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีหนทางรักษา***
คอมเม้นต์