หัตถ์เทวะธิดาพญายม – ตอนที่ 81 มอบใจให้ข้าได้หรือไม่ ?
ใบหน้าของเกอซีแดงฉาน หญิงสาวรีบโยนกล่องหยกที่บรรจุผลหยวนหยางกลับเข้าไปในมิติเวท ทว่าเมื่อนางแหงนเงยหน้าขึ้นอีกครากลับต้องนิ่งตะลึงเมื่อสะดุดเข้ากับสีหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของหนานกงยวี่ หยาดน้ำใสหยดเล็ก ๆ พร่างพรายกระจายไปตลอดทั่วทั้งเนินหน้าผากของชายหนุ่ม
เกอซีเพิ่งตระหนักว่าภายหลังให้การรักษาผู้ป่วยแล้ว นางหาได้รู้สึกอ่อนล้าอ่อนแรงดังเช่นที่เคยเป็น หากแต่กลับรู้สึกสดชื่นแจ่มใสด้วยซ้ำ
หนานกงยวี่ถ่ายทอดพลังปราณของตนให้นางทุ่มเทใช้ในการเยียวยารักษาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง กระทั่งแม้ในยามนี้ เขายังคงปลดปล่อยพลังวัตรของตนเข้าคุ้มครองโอบอุ้มร่างของนางอีก ด้วยการอาศัยพลังปราณของบุรุษผู้นี้ย่อมสามารถช่วยสะกัดกั้นความอ่อนแรงทางกายภาพอีกทั้งยังสามารถคุ้มกันเส้นชีพจรปราณของนางไม่ให้ได้รับการกระทบกระเทือนจากการใช้พลังปราณมากจนเกินขอบเขตอีกด้วย
หนานกงยวี่ เขา…..เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้ ? ทั้งหมดนี้ล้วนนับเป็นปัญหาของนางแต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น การต้องลงมือเยียวยารักษาโอวหยางฮ่าวเซวียนนั้นก็เป็นไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลหยวนหยาง เมื่อได้รับผลหยวนหยางตามเจตจำนงแล้วจึงนำมาใช้เปิดผนึกที่จุดตันเถียน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนหาได้มีความเกี่ยวข้องกับหนานกงยวี่โดยแท้ หากแต่เหตุใดเขาจึงทุ่มเทความพยายามให้ความช่วยเหลือนางมากมายถึงเพียงนี้ ?
สายตาที่แสดงความรู้สึกของเกอซียามนี้ค่อนข้างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทับซ้อน ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับเพียงเบาบางจนแทบจะกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบออกมาสองพยางค์ “ขอบคุณ”
หากแต่ถ้อยสวนกลับที่ติดตามมาของนานกงยวี่กลับทำให้จิตใจส่วนลึกของเกอซีต้องพลุ่งพล่านแตกกระเจิง
“เปิ่นหวาง*ต้องทุ่มเทแรงกายใจไปไม่น้อย เจ้าคิดว่าแค่คำ “ขอบคุณ” ก็เพียงพอกระนั้นหรือ ?”
*เปิ่นหวาง คือคำเรียกแทนตนเองขององค์ชาย
เกอซีเบะปากกล่าวตอบ “เช่นนั้นท่านต้องการสิ่งใด ?”
หนานกงยวี่โน้มกายลงต่ำเคลื่อนใบหน้าลงมาใกล้ชิดใบหูของหญิงสาวก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยคำ “มอบใจให้ข้าหน่อยเป็นไร ?”
ริมฝีปากของเกอซีเม้มเข้าหากันจนแทบจะเป็นเส้นบาง ก่อนที่นางจะได้โต้ตอบกลับไปก็พอดีกับที่โอวหยางจื้อโซวงเรียกบ่าวไพร่ให้นำหีบใบใหญ่ที่บรรจุตำลึงเงินไว้มากมายออกมา “สิ่งเหล่านี้นับเป็นการตอบแทนจากตระกูลโอวหยางของพวกเรา ขอท่านหมอซียอดอัจฉริยะได้โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
กล่าวจบ ท่านแม่ทัพนำป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาพร้อมหยิบยื่นส่งมันให้แก่เกอซีก่อนจะยกมือขึ้นตบลงบนแผงอกของตนเองพร้อมกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น “เบื้องหน้าต่อไป หากมีผู้ใดในอาณาจักรจินหลิงไร้มารยาทต่อท่านหมอซียอดอัจฉริยะ โปรดหยิบยกป้ายหยกชิ้นนี้ออกมา ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าจะมีผู้ใดกล้าแตะต้องผู้ที่ข้า โอวหยางจื้อโซวงให้การพิทักษ์”
เกอซียังไม่ทันจะรับแผ่นป้ายนั้นมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เย็นชาของหนานกงยวี่ดังขึ้น “คนของข้า หนานกงยวี่ ต้องอาศัยบารมีของท่านแม่ทัพโอวหยางด้วยกระนั้นหรือ ?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชาประดุจแท่งน้ำแข็งอันหนาวเหน็บของหนานกงยวี่อัดแน่นไปด้วยขุมพลังอันทรงอานุภาพกระทั่งร่างของโอวหยางจื้อโซวงต้องสั่นสะท้าน เมื่อท่านแม่ทัพกวาดสายตาไปยังเกอซีและหนานกงยวี่ภายในใจกลับยิ่งงุนงงสับสน
บุคคลทั้งสอง ผู้หนึ่งยิ่งใหญ่องอาจสง่างาม อีกผู้หนึ่งก็กระจ่างผ่องใสบริสุทธิ์ดั่งจันทรา เมื่อคนทั้งคู่ยืนอยู่เคียงกันแม้ดวงตะวันและจันทรายังต้องอับแสง
ทว่าคนทั้งสองล้วนเป็นบุรุษมิใช่หรือ ? ความหมายที่แฝงไว้ในวาจาขององค์ราชันมัจจุราชคือสิ่งใด ?
สีหน้าท่าทางของโอวหยางจื้อโซวงแปรเปลี่ยนไปมากระทั่งที่สุด ภายใต้การจับจ้องเขม็งอย่างไม่วางตาขององค์ราชันมัจจุราช ท่านแม่ทัพฝืนยิ้มขึ้นพร้อมเอ่ยวาจา “องค์ราชันมัจจุราชขออย่าได้ทรงพิโรธ ทั่วทั้งอาณาจักรจินหลิงนั้นจะมีผู้ใดกล้าล่วงเกินคนของพระองค์ได้ เป็นกระหม่อมเองที่ไร้มารยาท ป้ายหยกชิ้นนี้ขอให้นับว่ามันคือของกำนัลแห่งการได้พบเจอกันระหว่างกระหม่อมและท่านหมอซี ขอได้โปรดอย่าทรงขุ่นเคืองพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เกอซีชำเลืองหางตาทิ้งไปหาหนานกงยวี่ก่อนจะรับป้ายหยกและเอ่ยขึ้นอย่างไว้เชิง “ข้าขอรับป้ายหยกชิ้นนี้ไว้ หากแต่สำหรับเงินทองนั้นหาจำเป็นไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือผลหยวนหยาง สิ่งนั้นย่อมถือเป็นค่าตอบแทนในการรักษา การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ระหว่างเราไม่มีสิ่งใดติดค้าง”
กล่าวจบเกอซีหันหลังให้แก่จวนโอวหยางผละจากมาอย่างปราศจากความลังเล
หนานกงยวี่จับจ้องไปยังแผ่นหลังที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของหญิงสาวด้วยแววตาที่เปล่งประกายเรืองรองก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวติดตามนางออกไปเช่นกัน
เมื่อทั้งคู่จากไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงโอวหยางจื้อโซวงผู้เดียวที่ยังคงจ้องค้างอยู่กับบานประตูอันว่างเปล่าด้วยอารมณ์ที่ผันผวน นานครู่ใหญ่กว่าเขาจะหันกลับและเดินตรงไปสู่ห้องของบุตรชาย
เกอซีเหยียบเยือนมายังจวนโอวหยางตั้งแต่รุ่งสาง กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการรักษา ท้องฟ้าเบื้องบนก็เปลี่ยนสีกระทั่งเข้าสู่ช่วงหัวค่ำแล้ว
หญิงสาวห่วงกังวลว่าแม่นมเฉินจะยังคงรอนางกับไปกินอาหารเย็นจึงรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย กระแสกำลังภายในผันแปรยืดขยายราวกับเงาสะท้อนยามเมื่อนางเคลื่อนกำลังเพื่อใช้วิชาตัวเบาเร่งรุดกลับสู่จุดหมาย
ร่างของหญิงสาวเคลื่อนออกไปได้หลายก้าวหากแต่กลับต้องปะทะเข้ากับกำแพงมนุษย์อย่างจัง
เกอซีครวญครางออกมาเบา ๆ ปลายจมูกเจ็บระบม กรุ่นกลิ่นเครื่องหอมเย็นบางเบาที่คุ้นเคยโชยขึ้น
***จบตอน มอบใจให้ข้าได้หรือไม่ ?***
คอมเม้นต์