The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 9 หนุ่มซิงผู้ไม่ไว้ใจใคร

อ่านนิยายจีนเรื่อง The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ ตอนที่ 9 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เหลินเสี่ยวซูยืนอยู่หน้าทางเข้ากระท่อม เฝ้ามองกลุ่มคนเดินจากไป ตาแก่หวางเดินไล่ตามหลังไปขอโทษพวกเขา “ถึงหมอนั่นจะชอบทำอะไรแปลกๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบ้านะ เดี๋ยว ให้ฉันได้อธิบายก่อน..”

สมาชิกวงไม่สนใจที่จะฟังคำอธิบายใดๆทั้งนั้น “เถ้าแก่หวาง ผมให้เวลาคุณ 6 ชั่วโมงในการหาคนมานำทางพวกเราซะ ถึงเจ้าเด็กนั้นมันจะไม่มีพิษมีภัยอะไรแต่เราก็จะไม่ใช้เขาเด็ดขาด เราจะรอจนถึงรุ่งเช้า อย่าทำให้เสียแผนซะล่ะ!”

เหลินเสี่ยวซูยืนอารมณ์ดีอยู่หน้าทางเข้ากระท่อม มองดูกลุ่มคนเดินมาหาเขาเสียเที่ยว ถึงจะเศร้าใจแทนตาแก่หวางแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเหมือนกัน แต่ทันใดนั้นเอง หญิงสาวที่สวมหมวกคนเดิมก็หันหลังกลับมามองเขา แล้วจ้องเขาตอนที่เดินจากไปทำให้เหลินเสี่ยวซูรู้สึกเหมือนกับว่าแผนเขาแตก

เขามองไม่เห็นสีหน้าเบื้องหลังหมวกนั่นด้วยซ้ำ แต่หัวใจของเขากลับเต้นรัวๆด้วยเหตุผลบางอย่าง

ทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็ถือโอกาสนี้แอบใช้งานตำราลอกเลียนทักษะ ทำให้เสียงไร้อารมณ์ดังออกมาจากด้านในวัง “ทักษะของเป้าหมายจะถูกคัดลอกมาแบบสุ่ม”

“แบบสุ่มเหรอ?”

สุ่มทักษะได้ ทักษะอาวุธปืนของเป้าหมาย จะเรียนรู้รึไม่?”

“เอาเลย!” พอเห็นว่าตำราลอกเลียนทักษะหายไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูก็คิดในใจว่าถ้าเขาไม่ได้เรียนรู้ทักษะดีๆมาละก็ คงจะเสียดายแย่

“เรียนรู้สำเร็จ ท่านสำเร็จวิชาความชำนาญอาวุธปืนขั้นสูง”

“เดี๋ยวก่อนนะ ที่ฉันได้มามันเป็นตำราขั้นพื้นฐานไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฉันถึงเรียนรู้วิชาความชำนาญอาวุธปืนขั้นสูงได้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าฉันควรจะเรียนรู้ได้สูงสุดขั้นพื้นฐานไม่ใช่เหรอ” เหลินเสี่ยวซูคิดในใจ

“ตำราลอกเลียนทักษะนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรกคือตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน จะส่งผลทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะขั้นใดก็ได้ ขั้นสูงลงมา ส่วนแบบที่ 2 คือตำราลอกเลี้ยนสุดยอดทักษะ สามารถทำให้เรียนรู้ทักษะขั้นสุดยอดได้ ทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะในระดับที่สูงกว่า และยังมีโอกาสคัดลอกพลังพิเศษของอีกฝ่ายได้อีกด้วย” เสียงจากในวังตอบออกมา

เหลินเสี่ยวซูตะลึงกับสิ่งที่เขาพึ่งได้เรียนรู้ ว่าเขาสามารถคัดลอกพลังพิเศษของคนอื่นได้ด้วย! จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ยางอย่างแล้วพูดขึ้นมา “พอจะบอกระดับทักษะการใช้อาวุธปืนของผู้หญิงคนนั้นได้ไหม?”

“ได้ ข้อมูลจะถูกเปิดเผยหากเป็นเป้าหมายที่เลือกคัดลอก”

“ถ้างั้นเธอมีทักษะการใช้ปืนระดับไหนกันละ สุดยอดเหรอ?”

“สมบูรณ์แบบ”

ตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน จะส่งผลทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะขั้นใดก็ได้ ขั้นสูงลงมา ส่วนแบบที่ 2 คือตำราลอกเลี้ยนสุดยอดทักษะ สามารถทำให้เรียนรู้ทักษะขั้นสุดยอดได้ ทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะในระดับที่สูงกว่า และยังมีโอกาสคัดลอกพลังพิเศษของอีกฝ่ายได้

ระดับของทักษะพลังนั้นจะถูกตัดสินโดยตัวของ “วัง” เอง ถึงแม้ว่าวังจะเคยบอกถึงเรื่องโอกาสความสำเร็จที่ต่ำ แต่เหลินเสี่ยวซูก็อดจะตื่นเต้นเรื่องที่เขามีโอกาสที่จะคัดลองพลังพิเศษของคนอื่นมาได้

เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนนั้นเคยคุยกันเรื่องเกี่ยวกับทักษะพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในร่างของคนเรานั้นมันแตกต่างกัน บางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นนักสู้ ในขณะที่บางคนเกิดมาอ่อนแอ

คนอย่างเหลินเสี่ยวซูที่ต้องใช้ชีวิตเอาตัวรอดในป่า รู้สึกว่าพลังพิเศษเชิงรุกนั้นเป็นอะไรที่แข็งแกร่งกว่า แต่พอมาเจอทักษะพิเศษของหยานหลิวหยวนที่สามารถควบคุมดวงได้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาไม่สามารถใช้ในการต่อสู้จริงได้ก็จริง แต่เหลินเสี่ยวซูก็เริ่มเชื่อว่าพลังพิเศษของแต่ละคนนั้นถึงแม้ว่ามันจะต่างกัน แต่ก็ไม่มีพลังของใครเหนือไปกว่าใคร

แต่ตอนนี้ เขากลับได้เจอทักษะที่สามารถคัดลอกทักษะของคนอื่นได้? แบบนี้มันจะไปเรียกไม่เหนือกว่าได้ยังไงกัน!

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูงงเรื่องเด็กสาวที่สวมหมวกซะมากกว่า

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูได้เรียนรู้ทักษะความชำนาญอาวุธปืนขั้นสูง ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอาวุธปืนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา มันเหมือนกับความรู้พวกนั้นมันสมานเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ทำให้เขาสามารถเข้าใจมันได้ในระดับสัญชาตญาณ

ที่เขาเรียนรู้มานั้น ไม่ใช่แค่ความรู้เกี่ยวกับประเภทและชนิดของปืนแต่ละรุ่น การถอดประกอบ การดูแลรักษาและใช้งาน แต่มันรวมไปถึงความเชี่ยวชาญในการเล็ง และความนิ่งของการใช้อาวุธปืนด้วย

เหลินเสี่ยวซูรู้แม้กระทั้งแรงถีบของปืนแต่ละชนิดที่มี ถ้าหากเขาถือปืนอยู่ตอนนี้ ตราบใดที่เขามีทักษะการใช้อาวุธปืนขั้นสูง เขาก็ไม่ต่างอะไรจากทหารฝีมือดีที่ฝึกการใช้ปืนมาเป็นปีๆ

ในด้านความแม่นยำ เขาสามารถยิงให้เข้าเป้าคะแนน 9.5 หรือมากกว่า ในระยะ 100 เมตร เป็นมาตรฐานของทักษะความเชียวชาญอาวุธปืนขั้นสูง

ความรู้ที่เขาพึ่งได้รับมาทำให้เหลินเสี่ยวซูตกใจเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้เกินไปจากสิ่งที่เขาคาดหมาย เพราะยังไงเขาก็ยังไม่มีปืนอยู่ในครอบครอง แต่ที่เขาตกใจมากกว่าคือระดับความเชี่ยวชาญของเด็กสาวคนนั้นตั่งหาก

แค่ระดับสุดยอด เหลินเสี่ยวซูก็จินตนาการไม่ออกแล้วว่ามันต้องเก่งขนาดไหน แต่นี่มันระดับสมบูรณ์แบบ

คนแบบเธอเนี่ยนะอยู่ในวงดนตรี?

แถมดูเหมือนว่าพวกทหารและสมาชิกในวงเองก็ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่ามียอดฝีมือพลแม่นปืนระดับพระกาฬแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพวกเขาด้วย เหลินเสี่ยวซูเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าทุกคนนั้นปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นสมาชิกของกลุ่มคนนึงเท่านั้น

เด็กสาวคนนั้นเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเหลินเสี่ยวซูจะใช้วิธีพิเศษในการล้วงความลับของเธอแบบนี้

เขาตัดสินใจได้ยอดเยี่ยมแล้วที่แกล้งทำเป็นบ้าแล้วไม่ออกเดินทางไปกับกลุ่มพวกนั้น ในขณะเดียวกัน เหลินเสี่ยวซูก็รู้สึกดีมากด้วยที่ไปรู้ความลับของใครเข้า

“พี่ ทำไมเอาแต่จ้องที่หลังเธอแบบนั้นล่ะ?” หยานหลิวหยวนถามตอนที่เขาโผล่หัวออกมาจากกระท่อม

เหลินเสี่ยวซูยิ้มแบบปากฉีกถึงรูหู เขาหันหลังกลับก่อนจะมองหน้าหยานหลิวหยวน เตรียมจะใช้อำนาจของพี่ชายในการกำราบ แต่ทันใดนั้นเอง ที่ประตูกระท่อมข้างๆกลับเปิดขึ้นมา พร้อมเสียงผู้หญิง “หลังใครกัน ไหน?”

หยานหลิวหยวนกับเหลินเสี่ยวซูตะลึงมาก เพราะคนที่ออกมาจากกระท่อมหลังข้างๆของเขานั้น คือเสี่ยวหยูนั่นเอง

หยานหลิวหยวนถามขึ้นมา “พี่เสี่ยวหยู ทำไมไปอยู่ในกระท่อมหลังนั้นได้ล่ะ?”

เสี่ยวหยูสางผมตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันพึ่งจะย้ายมาน่ะ ฉันจะมาเป็นเพื่อนบ้านนายนับแต่นี้ไปนะ”

“แล้วครอบครัว 3 คนที่เคยอยู่ที่นี่ล่ะ” หยานหลิวหยวนถาม “พวกเขาไปไหนแล้ว?”

“ฉันสลับบ้านกับพวกเขาเองแหล่ะ” เสี่ยวหยูอธิบาย

หยานหลิวหยวนดึงตัวของเหลินเสี่ยวซูมาข้างๆแล้วกระซิบ “นี่ พี่ พี่เสียวหยูเขาลงทุนขนาดนี้เลยนะ เมื่อก่อนเธอเคยอยู่ในบ้านอิฐไม่ใช่เหรอ!”

เหลินเสี่ยวซูไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มหัวลงแล้วกลับเข้าไปในกระท่อม ขณะที่หยานหลิวหยวนยิ้มให้เสี่ยวหยูก่อนที่จะถอนหัวของตัวเองกลับเข้าไปในกระท่อมเช่นกัน

“พี่เองก็ยังซิงอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หยานหลิวหยวนจู่ๆก็ถามขึ้นมา

เหลินเสี่ยวซูมองหน้าหยานหลิวหยวนแล้วพูด “หลิวหยวน ตอนนี้นายก็ไม่เด็กละนะ แต่เพราะงั้นฉันจะสอนอะไรนายซักอย่างให้ก็แล้วกัน”

หยานหลิวหยวนนั่งลงก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาละพี่ชาย ถ้าอยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องเซ—-“

ก่อนที่หยานหลิวหยวนจะได้พูดจบ ฝ่าเท้าก็ยันเข้าที่หน้าอกเขาอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น แต่หยานหลิวหยวนก็ไม่ได้โกรธอะไร เขากลับหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ

“นายที่แก่แดดขึ้นมากเลยนะ?” เหลินเสี่ยวซูกลับลงไปนอนบนเตียงแล้วพูด “อย่าพยายามไปหาเรื่องพี่เสี่ยวหยูเขาล่ะ แล้วก็อย่าพยายามจับคู่ฉันกับเธอด้วย แค่พวกเราเองก็เอาตัวเองกันแทบจะไม่รอดแล้ว เราไม่มีเวลาไปห่วงใยคนอื่นหรอกนะ”

“เข้าใจแล้ว” หยานหลิวหยวนตอบอย่างว่าง่าย “แต่เธอเป็นคนที่ให้มันฝรั่งกับยาเรามานะ แถมเธอยังดูเป็นห่วงพี่มากด้วย พี่จะเมินเธอต่อไปแบบนี้จริงๆเหรอ?”

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะพูด “สิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงอยู่เป็นมนุษย์คือการจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง หากเมื่อใดที่มันมีความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นมาทั้งๆที่มันไม่ใช่ เราก็ต้องกล่อมจิตใจตัวเองว่ามันไม่เป็นความจริง”

หยานหลิวหยวนงงกับที่เหลินเสี่ยวซูพูด

ตอนเหลินเสี่ยวซูเริ่มพูด หยานหลิวหยวนตั้งใจฟังคำสอนของเขาจริงๆ แต่พอเขาพูดจบ สิ่งที่หยานหลิวหยวนได้รับกลับเป็นความงงมากกว่าเดิม

บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะเหลินเสี่ยวซูเป็นคนแบบนี้ก็ได้

ในยุคสมัยแบบนี้ คนอย่างเหลินเสี่ยวซูนั้นอาจจะมีโอกาสรอดมากกว่าคนปรกติ แตต่ถถึงอย่างนั้น หยานหลิวหยวนก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นเคยเป็นคนแบบไหนมาก่อน ความขี้ระแวงกับการระมัดระวังตัวเกิดเหตุของเหลินเสี่ยวซูมันเกิดมาจากบทเรียนและประสบการณ์ทั้งหลายที่เขาได้รับผ่านบาดแผลเป็นที่เขาได้รับมาในอดีต

แต่ถึงอย่างนั้น หยานหลิวหยวนรู้ดีกว่าใครว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นมักจะปล่อยให้สิ่งที่ตนเองอยากจะพูดหรือสื่อจริงๆหลุดลอยหายไปในอากาศ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด