The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 12 ขอบคุณอย่างจริงใจ

อ่านนิยายจีนเรื่อง The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ ตอนที่ 12 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 12 ขอบคุณอย่างจริงใจ

เหลินเสี่ยวซูคุยจริงจังกับหยานหลิวหยวนเรื่องทำยังไงถึงจะได้ขอบคุณอย่างจริงใจมาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เขาเป็นคนที่”เอาจริงเอาจัง”สุด ๆ ดังนั้น ทันทีที่เขารู้ว่าคำขอบคุณอย่างจริงใจนั้นมันมีค่ามากเท่าไร เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงต้องการมัน

แต่หยานหลิวหยวนกลับรู้สึกว่าเหลินเสี่ยวซูนั้นใช้คำว่า “เอาจริงเอาจัง” แบบผิดที่ผิดทางไปหน่อยเท่านั้นเอง

“พี่ ฉันว่า พี่ลองออกไปทำความดีดูไหมล่ะ” หยานหลิวหยวนพูด “มันเป็นวิธีการที่จะได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจได้ง่ายที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ? เช่นแบบ เอาอาหารมาผู้คนที่หิวโซ หรือไม่ก็แบ่งน้ำให้กับผู้คนที่ป่วย ไรเงี่ย”

เหลินเสี่ยวซูมองหน้าหยานหลิวหยวน “นี่ฉันดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ถ้าฉันแบ่งอาหารแบ่งน้ำให้คนอื่น แล้วฉันจะเหลืออะไรกินอะไรดื่มล่ะ? นายเองจะกินจะดื่มอะไรด้วยเหมือนกัน!”

หยานหลิวหยวนพูดแบบไม่ค่อยพอใจ “ถ้างั้น พี่ อย่าไปคาดหวังเลยว่าจะได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจจากใครน่ะ!”

“ไม่ซิ” เหลินเสี่ยวซูปฏิเสธคำพูดของหยานหลิวหยวน “มันต้องมีทางอื่นซิ!”

เวลามันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เหลินเสี่ยวซูรู้ดีว่ายุคสมัยนี้มันไม่เป็นใจกับมนุษย์เอาซะเลย ทุกคนต้องปากกัดตีนถีบทำให้ยากมากที่มนุษย์จะแสดงน้ำใจให้กับมนุษย์คนอื่นอย่างจริงใจ

เมื่อก่อนในเมืองเคยมีขอทานผู้นึง กับ เด็กสาวผู้มีน้ำใจงดงาม เธอนำอาหารมาให้เขากินทุกวัน

แต่หลังจากที่เธอแต่งงานไป เธอก็ไม่ได้นำอาหารมาให้เขาอีกเลย

ขอทานคนนั้นตามหญิงสาวไปจนถึงบ้านของเธอแล้วถามว่าทำไมเธอถึงไม่มอบอาหารให้เขาอีกกัน แต่สุดท้าย เขาก็กลับโดนขับไล่ไสส่งโดยครอบครัวของเธอ เพราะสามีของเธอไม่ได้ใจดีกับเขาเหมือนอย่างเธอ

ทุกคนในเมืองนั้นคิดว่าเรื่องนี้คงจบไปแล้ว บางคนในเมืองถึงขั้นถ่อไปหาขอทานเพื่อเยาะเย้ยอยากที่จะเห็นขอทานอดตาย แต่แล้วในคืนนั้นเอง ขอทานกลับตรงไปยังบ้านของหญิงสาวคนนั้นแล้วลงมือฆ่าทั้งสามีภรรยาทิ้งทันที

เหลินเสี่ยวซูรู้สึกว่าเรื่องราวของเหตุการณ์นี้มีปรัชญาแห่งชีวิตซ่อนอยู่ แต่ตอนที่เรื่องเกิดขึ้นนั้นเขายังเด็กมากนัก เขาเลยเข้าใจได้เพียงแค่ให้ระวังตัวเองให้ดีตอนหลับไหลในยามค่ำคืนเท่านั้น

เช้าวันต่อมา เสียงเอะอะดังขึ้นมาจากกลางถนน เหลินเสี่ยวซูตื่นขึ้นมาแล้วเปิดประตูออกไปมองดูข้างนอก เขาก็ต้องตกใจที่เห็นคนในกลุ่มวงดนตรีเตรียมออกเดินทางไปจากเมืองพร้อมกับคนรู้จักคุ้นเคยขอเขาอยู่ข้างๆ

ชายคนนั้นเองก็เป็นนักล่ามากประสบการณ์ที่มีฝีมืออยู่พอสมควร หน้าตาของดูจะดีอกดีใจเอามากๆตอนที่เขาเดินเคียงคู่กับวงดนตรี เหมือนกับเขาคิดว่าในที่สุดเขาก็มีโอกาสรู้จักคนสำคัญจากในป้อมปราการซักที

ซึ่งเอาจริงๆ ผู้คนที่ประสบความสำเร็จในเมืองต่างก็เริ่มจากเส้นทางนี้กันทั้งนั้น ใครก็ตามที่คนจากป้อมปราการเลือกให้ทำงานต่างๆ มันจะนำไปสู่ความร่ำรวยในชีวิตของคนๆนั้นด้วย

ความร่ำรวยในชีวิตที่ว่านั้นอาจจะหมายถึงการได้เปิดร้านขายของชำแบบเถ้าแก่อย่างหวางฟู่กุยด้วย

เหลินเสี่ยวซูเคยถามหวางฟู่กุยว่าทำไมเขาถึงได้ไปรู้จักคนที่มาจากป้อมปราการพวกนั้นได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนในป้อมปราการที่จะเป็นคนสำคัญอะไรขนาดนั้น

ในตอนนั้นหวางฟู่กุยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยแล้วพูด “ในป้อมปราการเองก็มีคนรวยคนจนอยู่เหมือนกัน แต่มีเพียงบุคคลสำคัญเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาติให้เข้าออกป้อมปราการได้ตามสะดวกน่ะ”

ถ้าฟังจากที่ตาแก่หวางพูดแล้ว นั้นอาจจะหมายความได้ว่า การที่คนจนจะออกมาจากป้อมปราการนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากเหมือนกัน

กำแพงสูงใหญ่ของป้อมปราการนั้นไม่เพียงแต่จะหยุดคนข้างนอกไม่ให้เข้าไปแล้ว ยังขังคนภายในไม่ให้ออกมาข้างนอกได้อีกอด้วย

ตาแก่หวางเดินตามเคียงข้างวงดนตรีทั้งหลาย และตอนที่เขาเดินผ่านเหลินเสี่ยวซูนั้นเอง เขาก็หันไปจ้องหน้าเหลินเสี่ยวซูแล้วกระซิบ “ไอ้เด็กเนรคุณเอ้ย ฉันอุส่าห์แนะนำหางานดีๆมาให้นาย แต่นายกลับแกล้งทำเป็นบ้าปฏิเสธความหวังดีของฉันเนี่ยนะ? รู้รึเปล่า? ฉันได้ยินมาว่าวงดนตรีพวกนั้นตั้งใจจะหาคนนำทางเก่งๆพากลับเข้าไปทำงานในป้อมปราการด้วยนะ พวกเขาจะได้มีคนนำทางคอยใช้งานประจำยังไงล่ะ!”

เหลินเสี่ยวซูตะลึง เขาไม่คิดเลยว่างานนี้จะมีค่าจ้างที่ดีขนาดนี้ มันถือว่าเป็นโอกาสชิ้นงามทีเดียว

ถ้าสมมุติว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เขาจะยังปฏิเสธงานอยู่ไหม?

คำตอบคือก็ยังปฏิเสธอยู่ดี เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาจะเข้าไปในป้อมปราการได้ แต่หยานหลิวหยวนไม่ได้ตามเขาไปด้วย แล้วจะให้เขาทิ้งหยานหลิวหยวนไว้ข้างนอกนี่ตามลำพังได้ยังไงกัน

หยานหลิวหยวนกระซิบ “พี่ ทำไมพี่ไม่ไปลองคุยกับคนพวกนั้นอีกรอบดูละ พี่เก่งกว่าตาแก่หลิวนั้นตั้งเยอะนะ เขาไปล่ากี่ทีต่อกี่ทีก็กลับมามือเปล่า อีกอย่าง เขาไม่เคยออกไปนอกเมืองไกลแม้แต่ครั้งเดียวเลยนะ”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เสียดายโอกาส แต่เขาตัดสินใจไปแล้ว เขาจะไม่หันหลังกลับอีก “ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่งที่โรงเรียนเอง”

ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนมาถึงที่โรงเรียน อาจารย์ฉางจิงหลินก็อยู่ในห้องกำลังลบกระดานดำอยู่ อาจารย์แทบจะสะดุ้งตอนที่เห็นสภาพของเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนที่ยืนอยู่ตรงประตู พวกเขามีขอบตาที่ดำเมี่ยมใต้ตาเอาซะดูเหมือนผี

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกนายกันเนี่ย” อาจารย์ฉางถามขึ้นมา

หยานหลิวหยวนพยายามจะอธิบาย “ก็พี่ชายผมน่ะซิพย—“

ก่อนที่หยานหลิวหยวนจะได้พูดจบ เหลินเสี่ยวซูก็ตบหัวของเขาขัดจังหวะซะก่อนที่ตัวเองจะพูดแทน “ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกเราแค่นอนไม่หลับกันเฉยๆ”

“อ้อ ..เหรอ?” อาจารย์ฉางไม่พยายามขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวอะไร เขาถามต่อ “แล้วได้เตรียมเรื่องที่จะมาสอนวันนี้รึยัง? วันนี้นายต้องเริ่มสอนในฐานะอาจารย์สำรองวันแรกแล้วนะ”

“ครับผม เตรียมมาแล้ว”

และเกือบทั้งวันนั้นเอง เขานั่งเรียนอยู่ในห้องเหมือนกับนักเรียนทั่วไป จนกระทั้งในคาบสุดท้ายของภาคบ่าย มันก็ถึงเวลาที่เขาต้องขึ้นไปสอนในวิชาการเอาตัวรอดในฐานะอาจารย์สำรอง

พอถึงคาบสุดท้ายนั้นเอง อาจารย์ฉางจิงหลินยังคงเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องที่เหลินเสี่ยวซูไม่มีประสบการณ์การสอนมาก่อน เขาเลยไปนั่งที่แถวหลังสุดของห้องเพื่อคอยช่วยเหลือ

ส่วนเหลินเสี่ยวซูก็เดินตรงเข้ามายังแท่นโพเดี่ยมหน้าห้อง หัวหน้าห้องตะโกนขึ้นมา “ทุกคนยืนขึ้น!”

จากนั้นทุกคนก็พูดเสียงดังฟังชัด “สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์!”

สำหรับนักเรียนทั้งหลาย เหลินเสี่ยวซูนั้นเป็นอาจารย์ที่ไม่เหมือนใครมาก่อน เพราะเขาเองก็นับว่าเป็น “เพื่อนร่วมชั้นเรียน” คนนึง แถมยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่แก่ที่สุดด้วย อีกทั้งยังเป็นคนดังเป็นที่รู้จักกันในเมือง การที่ได้เหลินเสี่ยวซูมาสอนในห้องจึงเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขา

ทันทีที่เหลินเสี่ยวซูเข้าประจำที่ เขาก็พูดขึ้นมา “พวกนายไม่คิดบ้างเหรอว่าอาจารย์ฉางเขาเหนื่อยยากแค่ไหนกัน? พวกเรานั่งเรียนตลอด ในขณะที่อาจารย์นอกจากจะยืนสอนแล้วยังต้องสั่งสอนเราทั้งวันด้วย”

ในสถานการณ์หน้าห้องแบบนี้ นักเรียนจะบอกว่าอาจารย์ไม่ลำบากได้ยังไงกัน แถมอาจารย์ฉางเองก็ยังนั่งอยู่ข้างหลังด้วย พวกเขามีแต่จะต้องเห็นด้วยเท่านั้น

จากนั้นเหลินเสี่ยวซูก็พูดต่อ “ถ้างั้นเราก็ควรที่จะแสดงความขอบคุณให้กับอาจารย์ฉางกันหน่อยไหม?”

“ครับ/ค่ะ!” นักเรียนตอบกลับพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

หยานหลิวหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตะโกนขึ้นมาดังกว่าใครเพราะเขารู้ดีว่าแผนที่วางไว้กำลังจะเริ่มต้นแล้ว!

เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้างั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ เราจะไม่พูดคำว่า สวัสดีอาจารย์ แล้ว เราจะพูดว่า ขอบคุณอาจารย์ แทน!”

อาจารย์ฉาง งงตาแตกยิ่งกว่าเดิม เขาไม่เข้าใจว่าเหลินเสี่ยวซูตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!

“เอาละ ทุกคน นั่งลงได้ มาลองดูกันดีกว่า!” เหลินเสี่ยวซูพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ทุกคนยืนขึ้น!”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ อาจารย์!” นักเรียนทุกคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูหันกลับเข้าไปในวังจิตใจ แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะเด็กนักเรียนแต่ละคนไม่มีใครเลยที่จะขอบคุณอาจารย์อย่างจริงใจ

การจะขอบคุณในซักคนที่ให้การศึกษากับเราอย่างจริงใจมันยากนักรึไงวะ?!

วิธีนี้ก็ใช่ไม่ได้อีก! เขาต้องมานั่งหาวิธีใหม่อีกเพราะวิธีการนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า

แต่ถึงอย่างนั้น ความล้มเหลวเองก็เป็นสิ่งที่เหลินเสี่ยวซูคุ้นชินดีอยู่แล้ว การยอมรับความล้มเหลวและปรับแก้ไขจากตรงนั้นถือว่าเป็น 1 ในจุดแข็งของเขาเลย

ดั่งคำที่เขาเคยได้ยินมาว่า ชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ

ความหมายของมัน คือ ชีวิตของเรานั้นส่วนมากก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการหรอก

แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด