The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 20 ฝูงหมาป่า

อ่านนิยายจีนเรื่อง The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ ตอนที่ 20 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

 

ตอนที่พวกคนป่วยได้ยินว่าเหลินเสี่ยวซูบอกว่าทำไมเขาไม่วิ่งเร็วกว่านี้ เขาก็สวนกลับทันที “ฉันน่ะวิ่งเร็วที่สุดที่ทำได้แล้วเถอะ นายนั่นล่ะที่วิ่งเร็วเกินไปแล้ว”

เหลินเสี่ยวซูทำหน้าตึงแล้วพูด “คนอื่นเขาจ่ายเงินแล้วกลับกันหมดแล้วเนี่ย อ้าว บอกมา จะเอายังไงดี เราเป็นคลินิกรักษาคนนะไม่ใช่องค์กรการกุศล!”

“ถ้างั้นก็บอกมาซิว่าจะให้ฉันทำยังไง” ชายคนนั้นเหมือนจะร้องไห้ พอเห็นว่าตัวเองไม่มีทางสู้กับเหลินเสี่ยวซูได้เลย แถมยังไม่มีตังพอจะไปจ่ายเขาอีก บางทีเขาอาจจะได้ตายที่นี่เลยก็ได้

“นี่ฟังนะ” เหลินเสี่ยวซูพูดดีๆ “ถ้างั้นทำไมนายไม่ลองพยายามนึกดูละ ว่านายเคยไปเก็บเงินไว้ที่ส่วนไหนของบ้านบ้างรึเปล่า”

“ไม่นะ สมัยนี้ใครมันจะไปกล้าเก็บเงินที่บ้านกันลละ? แม้แต่เมียยังไม่อยากจะเชื่อให้ฝากเงินเลย” ชายคนนั้นแทบจะสิ้นหวัง

เหลินเสี่ยวซูเองก็เริ่มหมดความอดทน “นายเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะ อย่าทำตัวเป็นลูกแหง่โดนเพื่อนแกล้งบีบน้ำตาดิ เอา ไหนบอกมาดิว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีตังอยู่เท่าไร”

“นี่มันก็เกือบจะสิ้นเดือนแล้วนะ เหลืออีกตั้ง 5 วันกว่าฉันจะได้ค่าจ้างน่ะ เหลือตังอยู่ไม่มากหรอก…”

“ถามว่ามีตังเหลืออยู่เท่าไร!”

“432 หยวน” ชายคนนั้นสะอื้น

เหลินเสี่ยวซูไม่คิดว่าจะให้ชายคนนี้ติดเงินเขาแน่ ในยุคสมัยนี้ หากมีคนติดหนี้วันนี้ ใครจะไปรู้ว่าวันต่อมาเขายังจะมีชีวิตอยู่รอดรึเปล่า

เหลินเสี่ยวซูเองก็สงสัยเหมือนกันว่าชายคนนี้มีของมีค่าอย่างอื่นติดตัวมาด้วยไหม

ทันใดนั้นเอง เหลินเสี่ยวซูก็คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เขาพูดแล้วเบิกตากว้าง “เอางี้เป็นไง ฉันว่าถ้าฉันเอาไปหมดตัวนายเองก็คงจะลำบากใจน่าดูถูกไหมละ เพราะงั้นฉันจะไม่ทวงอะไรเพิ่มแล้ว เอามาแค่เงินหลักร้อยที่มีอยู่มาให้ฉันแล้วกัน ที่เหลืออีก 32 หยวนนายก็เก็บเอา… ไม่เอาดีกว่า นายเก็บเงินเศษ 2 หยวนเอาไว้กินข้าวแล้วกัน ที่เหลือฉันเอาหมด แล้วเราถือว่าหายกันโอเคไหม”

พอชายคนนั้นได้ยิน เขาก็น้ำตาแตกออกมาทันที “ขอบคุณ ขอบคุณมากๆเลย โฮ!!!”

“ได้รับคำขอบคุณจาก ตงหมิงฉวย +1!”

เหลินเสี่ยวซูยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็หาวิธีล่าเอาคำขอบคุณมาจากคนไข้ซักที

ตอนแรกเขาก็ตั้งราคาไว้อย่างมีเหตุผล ถ้าคลินิกในเมืองคิด 600 หยวน เขาก็จะคิด 600 หยวนเหมือนกัน ถ้าตั้งราคาแบบนี้ไม่ว่าใครก็มาว่าเขาขูดเลือดขูดเนื้อไม่ได้ แต่พอต่อมาเขาก็สามารถทำเป็นใจดีลดราคาลง ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงเงินที่น้อยลงตาม แต่สิ่งที่เขาได้กลับมานั้นคือคำขอบคุณจากคนป่วยนั่นเอง

เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักสำหรับเขา คำขอบคุณต่างหาก นั่นคือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินอีก! ในเวลาอันสั้น เหลินเสี่ยวซูทำเงินไปได้แล้ว 1630 หยวน เขาสามารถทำเงินได้เร็วกว่าตอนที่จับนกกระจอกส่งตาแก่หวางซะอีก แถมยังไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตายด้วย

ตอนนี้เหรียญคำขอบบคุณของเหลินเสี่ยวซูก็กลับมาเปป็น 4 เหรียญแล้ว มันอาจจะดูเหมือนยังไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่สิ่งที่เขาได้กลับมานั้นคือการเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องผ่านการทดลองและความผิดพลาดตั่งหาก

ตอนนี้เหลินเสี่ยวซูเริ่มคิดอย่างอารมณ์ดีว่าจะซื้อเสื้อผ้ากันหนาวให้หยานหลิวหยวนใหม่ เขาหันกลัยไปมองเสี่ยวหยู แล้วคิดว่าจะซื้อเสื้อนอกบุใยฝ้ายให้กับเสี่ยวหยูใส่ในหน้าหนาวด้วย

นับจากนี้เป็นต้นไป เสี่ยวหยูจะมาเป็นนางพยาบาลในคลินิกของเขา จะให้นางทำงานให้ฟรีๆก็คงไม่ได้ถูกไหมล่ะ?

แต่เขาเองก็ยังไม่รีบร้อนแต่อย่างใด เขาตั้งใจที่จะรอดูตอนสิ้นเดือนว่า ทั้งเดือนเขาทำเงินได้ประมาณเท่าไร ก่อนจะตัดสินใจว่าจะจ่ายค่าจ้างให้เสี่ยวหยูประมาณเท่าไรดี

ตอนที่ข่าวเรื่องเตาหลอมในโรงงานระเบิดแพร่กระจายออกไป ทำให้เหล่าสาวเล็กสาวใหญ่ในเมืองต่างเป็นกังวลกันมาก พวกเขาต่างกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสามีของตนเองกัน

ตอนช่วงบ่ายของวันนั้น เหลินเสี่ยวซูนั่งรออยู่ในกระท่อม รอพนักงานโรงงานเลิกงานเดินกลับบ้าน เขาตั้งใจจะมาดักหาคนเจ็บหิ้วกลับเข้ากระท่อมมาบังคับรักษาแต่สุดท้ายเขาก็กลับไม่เห็นใครเดินกลับมาเลย

นอกจากเขาแล้ว คนที่อดทนรอจนแทบทนไม่ไหวอีกคนนึงก็คือไอ้หมอเก๊ที่อยู่ที่คลินิกใจกลางเมือง หลังจากที่เขารู้ข่าวเรื่องเตาหลอมโรงงานระเบิด เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอคนเจ็บวิ่งมาหาเขาทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครคิดจะมาหามารักษากับเขาเลยจนกระทั้งถึงมืดค่ำ

จนหมอหนุ่มคนนั้นทนไม่ไหวเดินออกไปถามหาข้อมูล เขาได้ยินชัดเจนเลยว่ามีคนเจ็บ 3 คนวิ่งออกมาจากโรงงานเมื่อตอนเที่ยงๆบ่ายๆ แต่ทำไมถึงไม่มีใครมาที่คลินิกเลยซักคนเดียว?

หลังจากที่เขาลองถามไปเรื่อยๆแล้ว เขาก็รู้สึหน้าชาขึ้นมาทันทีตอนที่เขารู้ว่าธุรกิจของเขาโดนใครบางคนแย่งลูกค้าไปต่อหน้าต่อตา

เขาสงสัยมากว่าใครกันที่กล้าอาจหาญมาแย่งธุรกิจที่ผูกขาดอยู่ในเมืองนี้มาหลายปีไปจากเขา จนเขาถามไปเรื่อยๆ แล้วก็พบว่า คนที่แย่งไปนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหลินเสี่ยวซูนั่นเอง

หมอหนุ่มคนนั้นพยายามคิดให้รอบดูแล้วก็กัดฟันกำหมัดขึ้นมาด้วยความโกรธ เป็นเหลินเสี่ยวซูแล้วมันทำไมกันวะ? คิดว่าเป็นเหลินเสี่ยวซูแล้วจะมาแย่งอาชีพการงานใครก็ได้งั้นเหรอ?

แต่ถึงอย่างนั้น หมอคนนั้นก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา จะว่าไปแล้ว จู่ๆเหลินเสี่ยวซูมันไปรู้วิธีรักษาแล้วช่วยผู้คนได้ยังไงกัน? ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับยาดำ ตอนแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่ยาสมุนไพรโง่ๆที่เหลินเสี่ยวซูปรุงขึ้นมามั่วๆเพื่อหลอกคน แต่พอฟังจากปากคนนู้นคนนี้ไปทั่วๆแล้ว เขาก็เริ่มเชื่อขึ้นมาว่ายานั่นอาจจะเป็นของจริง

เขาโกรธจัดจนมุ่งหน้าตรงไปหาเหลินเสี่ยวซูเพื่อไปถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้เขาไปถึงหน้าประตูกระท่อมของเหลินเสี่ยวซู เหลินเสี่ยวซูกำลังนั่งปลอกมันฝรั่งด้วยมีดกระดูกอยู่ พอเขาสังเกตุเห็นว่ามีคนมาหา เหลินเสี่ยวซูก็ปักมีดกระดูกนั่นลงไปในมันฝรั่งซะจนทะลุไปอีกด้านนึง

ก่อนที่เขาจะถามขึ้นมาด้วยรัศมีความอมหิต “มีเรื่องอะไรกับฉันเหรอ?”

“อ้อ เปล่า แค่จะมาถามเฉยๆว่านายกินข้าวรึยังน่ะ แหะ แหะ” หมอหนุ่มทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ

เหลินเสี่ยวซู มองหน้าหมอแล้วพูด “หยูตง นายเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ นายอาศัยใช้ชื่อเสียงพ่อของนายหากินมานานมากแล้วด้วย แต่ตอนนี้บารมีพ่อนายมันหมดแล้ว ฉันแนะนำให้นายรีบวิ่งกลับบ้านไปเปิดหนังสือตำราการแพทย์ของพ่อนายอ่านซะ แล้วก็อย่าไปหลอกใครอีกจะดีกว่านะ”

“นี่นายพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?” หมอ(?)หยูตงพูดขึ้นมา “ฉันอ่านหนังสือการแพทย์ทุกวันเถอะ”

“ถ้างั้นก็ดี” เหลินเสี่ยวซูก้มหน้าลงแล้วปอกมันฝรั่งต่อ

ถ้าให้พูดตรงๆ ปรกติแล้วเหลินเสี่ยวซูกับพวกเองก็ยังไม่ชินกับการปอกเปลือกมันฝรั่งหรอก ด้วยความยากจน ก่อนหน้านี้พวกเขาเลยกินมันฝรั่งเข้าไปทั้งเปลือกเลย เพราะถ้าปอกเปลือก บางทีมันจะมีเนื้อบางส่วนถูกหั่นทิ้งไปด้วย แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูหาช่องทางทำเงินได้แล้ว เขาเลยอยากจะทำตัวเรื่องมากเลือกกินซะบ้าง

ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีคนจำนวนมากวิ่งเข้ามาในเมืองแล้วตะโกน “แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

เหลินเสี่ยวซูขมวดคิ้วแล้วออกไปถาม “เกิดอะไรขึ้นกัน”

“กลิ่นเลือดจากศพคนตอนที่เตาหลอมระเบิดมันล่อพวกฝูงหมาป่าบุกเข้ามาในเมืองน่ะซิ!” ชายคนนั้นพูดแบบตะกุกตะกักเร่งรีบ “ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหนกัน แต่พวกมันมีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย!”

“ไอ้เยอะที่ว่าเนี่ยกี่ตัว”เหลินเสี่ยวซูย้ำถาม

“ฉันว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะเกินร้อยตัวล่ะ!”

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของจริง ดูเหมือนว่าชะตากรรมของคนงานในโรงงานจะชิบหายกันหมดแล้ว

พวกหมาป่าไม่ได้บุกเข้าเมืองมาหลายปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ ทุกคนเกือบจะลืมไปแล้วว่าพวกมันเป็นอันตรายแค่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันหายไปอยู่ที่ไหนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แต่ที่แน่ๆคือพวกมันกลับมาแล้ว และจำนวนของพวกมันก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น พวกหมาป่าก็ยังไม่กล้าบุกเข้ามาในทำลายเมืองเพราะด้วยกำแพงป้อมปราการที่สูงใหญ่ และด้านบนป้อมปราการพวกนั้น มีปืนและระเบิดจำนวนมาก

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่าผู้ลี้ภัยถึงมารวมตัวกันอยู่นอกกำแพงแล้วสร้างเมืองขึ้นมารอบกำแพงได้

“จะยืนมองทำไมกันล่ะ กินอาหารที่มีไปซิ”เหลินเสี่ยวซูพูดกับหยานหลิวหยวน

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็นั่งลงแล้วกินอาหารของตัวเองต่อ ในขณะเดียวกันหยานหลิวหยวนก็มองออกไปด้านนอกกระท่อมด้วยความสงสัยพลางกินไปด้วยแล้วพูด “พี่ จะว่าไปแล้ว พี่รอดมาจากหมาป่าได้ยังไงกันนะ พี่ยังไม่เคยบอกฉันมาก่อนเลย”

เหลินเสี่ยวซูมองหน้าของเขาแต่กลับไม่ตอบคำถถาม เสี่ยวหยูที่อยู่ข้างๆพวกเขาเองก็มองหน้าเหลินเสี่ยวซูเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่อ

หลังจากที่หยานหลิวหยวนกินมันฝรั่งลูกของตตัวเองเสร็จ เหลินเสี่ยวซูก็ยื่นให้เขาอีกลูก “นายควรจะกินเยอะๆนะจะได้โตไวๆ ถ้านายเติบโตแข็งแรง นายก็จะมีโอกาสรอดมากกว่าคนอื่นเขา”

“พี่ไม่กังวลเรื่องหมาป่าจะบุกเข้ามาในเมืองหรอ?” หยานหลิวหยวนขมวดคิ้วแล้วถามเหลินเสี่ยวซู

“ไม่เลย” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวแล้วพูด “พวกมันฉลาดกว่าที่พวกนายคิดมาก เพราะงั้นพวกมันเลยไม่คิดจะเสี่ยงแห่กันเข้ามาในเมืองหรอก ถ้าเตาของโรงงานไม่ระเบิดทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายกัน พวกมันก็คงไม่แห่กันมาด้วยซ้ำ พวกมันไม่ได้ตามกลิ่นของเลือดมาหรอก มันตามกลิ่นของคนตายมาตั่งหาก”

“แล้วพี่คิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ” หยานหลิวหยวนสงสัย

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะตอบ “ถ้าเกิดวันนึงกำแพงป้อมปราการเกิดพังทลายขึ้นมาล่ะ”

เสี่ยวหยูผงะ “กำแพง พังทลายเหรอ?”

“ไม่รู้ซิ” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวอีกครั้ง “บนโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่ยั้งยืนจีรังอยู่แล้ว เอาเข้าจริง ฉันเองก็เคยเผชิญหน้าฝูงหมาป่ามาแล้ว 2 ครั้งด้วย ครั้งแรกฉันหนีออกมาได้หลังจากที่สังเกตุเห็นมันได้จากระยะไกล แต่รอบที่ 2 ฉันไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งแรกก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับให้ความรู้สึกว่า พวกมันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่ายังไงอย่างงั้นเลย!”

ที่เหลินเสี่ยวซูสงสัยนั้นก็คือ ถ้าหากวันใดซักวันที่กำแพงป้อมปราการพังทลายขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมมวลมนุษย์กันนะ?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด