The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 13 นี่ล่ะความเป็นจริง

อ่านนิยายจีนเรื่อง The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ ตอนที่ 13 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 13 นี่ล่ะความเป็นจริง

หลังจากที่คิดอย่างหนักแล้วเหลินเสี่ยวซูก็ยังคงรู้สึกอยู่เช่นเดิมว่าการเป็นอาจารย์นั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับคำขอบคุณ

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พลาดปัญหาไปอย่างนึง ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ เขาก็กระหายในความรู้อยากที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา นั้นเป็นเพราะว่าเขาเกิดมาในยุคสมัยที่ขาดองค์ความรู้ไปโดยสิ้นเชิง นั้นทำให้เขากระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ยิ่งคนเราขาดอะไรมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น

แต่ถึงออย่างนั้น สิ่งที่เขาขาดและต้องการนั้นไม่ได้ตรงกับสิ่งที่นักเรียนทั้งหลายขาดด้วย เพราะนักเรียนที่มาเรียนในยุคสมัยนี้ ส่วนมากต่างก็มาจากตระกูลที่มีพื้นฐานที่ดี ชีวิตของเด็กนักเรียนทุกคนนั้นอยู่กินดีด้วยร่มเงาของพ่อแม่

เด็กพวกนี้เข้ามาเรียนเป็นเวลาหลายปีแล้ว และคนที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คงหนีไม่พ้นอาจารย์ เพียงเพราะเขาเป็นคนเดียวที่บังคับให้พวกเด็ก ๆ อ่านหนังสือกับทำการบ้าน ในช่วงเวลาวัยรุ่นของเด็กนักเรียนทั้งหลาย อาจารย์ก็เหมือนเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเขาเลย

ถึงแม้ว่าเหลินเสี่ยวซูจะสอนในวิชาที่พวกเขาชอบมากที่สุดอย่างวิชาการเอาชีวิตรอดก็ตาม แต่เด็กเรียนทั้งหลายก็ยังห่างไกลจากความรู้สึกขอบคุณเขามาก

เหลินเสี่ยวซูคิดเองเออเองไปว่า บางทีเขาอาจจะต้องสอนมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อย แล้วนักเรียนก็จะรู้สึกขอบคุณเขาเอง

ปรกติแล้วโรงเรียนในเมืองจะเลิกเรียนกันตอน 4 โมงเย็น เริ่มเรียนตอน 6 โมงเช้า นาฬิกาในป้อมปราการจะดังให้สัญญาณทุก 2 ชั่วโมง ซึ่งตามปรกติแล้ว ฉางจิงหลินไม่เคยสอนเกินเวลาเลย

แต่ถึงอย่างนั้น วันนี้ด้วยความที่อยากจะให้นักเรียนทุกคนประทับใจ เหลินเสี่ยวซูเลยจัดเต็มความรู้และประสบการณ์การเอาตัวรอดในป่าของเขา สอนทุกอย่างที่เขารู้ เขาพูดตลอดเวลาที่เขาสอน ตั้งแต่เริ่ม จนเลยมาถึง 5 โมงเย็น

5 โมงเย็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นก็เริ่มมืดแล้ว นักเรียนทุกคนต่างมองไปที่เขาอย่างว่างเปล่า แล้วคิดกับตัวเองว่า “ไอ้จารย์เวรนี้ยังไม่ปล่อยอยู่อีกเหรอวะ”

แม้แต่ฉางจิงหลินเองก็ทนไม่ได้ เขาเดินออกไปนอกสนามและเด็ดเอาผักกาดมาทำอาหารเย็น

นักเรียนทั้งหลายเริ่มทนไม่ได้อีกต่อไปแล้วพูดขึ้นมา “ไอ้จ… อาจารย์ครับ ถ้ายังไม่เลิกเรียนมันจะมืดแล้วนะครับ ในเมืองตอนกลางคืนมันไม่ปลอดภัยนะครับ”

นักเรียนพูดขึ้นทั้งความกลัวเล็กน้อย เขารู้ดีว่าชายคนที่เป็นอาจารย์อยู่ตอนนี้มีชื่อเสียงในด้านความโหดเหี้ยมขนาดไหน นั้นทำให้เขาไม่กล้าหาเรื่องเหลินเสี่ยวซูตรงๆ

เหลินเสี่ยวซูผงะก่อนที่จะคิด “แทนที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่กลับบอกให้อาจารย์เลิกสอนไวๆงั้นรึ” แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เข้าใจดีว่าความปลอดภัยของนักเรียนมาก่อน ดังนั้นพอเขาเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว เขาจึงพูดขึ้นมา “เอาละ เลิกเรียนได้”

“ขอบคุณครับอาจารย์!”

“ขอบคุณค่ะอาจารย์!”

นักเรียนทุกคนต่างรีบออกจากห้องในทันทีโดยมีนักเรียนแค่ 2 คนเท่านั้นที่ขอบคุณเหลินเสี่ยวซูที่บอกว่า “เลิกเรียนได้”อีกด้วย พวกเขาขอบคุณออกมาอย่างใจจริง เพราะถ้ายังไม่เลิกเรียนอีกล่ะก็ พวกเขาเองก็คงทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน!

เหลินเสี่ยวซูสังเกตว่ามีเหรียญคำขอบคุณปรากฏเพิ่มขึ้นมาในใจของเขาขึ้น 2 เหรียญ และเขาก็ดีใจมาก

เหมือนกับว่าเขาคิดอยู่แล้ว ว่านักเรียนจะต้องขอบคุณเขาแน่ๆ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาทำหน้าที่สอนเด็กนักเรียนได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว

เหลินเสี่ยวซูคิดกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าความพยายามสอนของฉันจะไม่สูญเปล่าซินะ หลังจากการสอนอย่างเนิ่นนานในที่สุดนักเรียนก็รู้ซึ้งในรสชาติความรู้ของฉันซักที”

หยานหลิวหยวนพูดดึงหน้าตึงแล้วพูดกับเขา “คราวหน้าพี่อย่าสอนเกินเวลาจะได้ปะ?”

ก่อนทที่เหลินเสี่ยวซูจะได้พูดอะไร อาจารย์ฉางก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชามข้าวที่กินเสร็จแล้ว เขาคุมน้ำเสียงตัวเองก่อนจะพูด “เสี่ยวซู ฉันรู้นะว่าเธอไฟแรงในการสอนมาก แต่การสอนจนเกินเวลามากขนาดนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดีนะ อีกอย่าง เธอไม่รู้สึกว่าตตัวเองทำงานเกินเวลาจนหนักเกินไปบ้างเหรอ?”

เหลินเสี่ยวซูไม่มีความคิดนั้นเลยซักนิด ถามว่าเขาตั้งใจสอนให้ยืดจนเกินเวลาเหรอ? เปล่าเลย เขาแค่สอนจนกระทั้งมั่นใจว่าเขาจะได้คำขอบคุณที่จริงใจออกมาจากนักเรียนแค่นั้นเอง ซึ่งคำขอบคุณนั้นมันมีค่าเท่ากับเงินค่าจ้างที่เขาจะได้รับเลย!

“ไม่เลยครับ” เหลินเสี่ยวซูพูดขึ้นมาเหมือนกับคิดว่าตัวเองถูก “ผมตั้งใจอุทิศชีวิตทั้งชีวิตของผมเพื่อการศึกษา เพราะงั้น การที่ผมจะสอนเกินเวลานิดหน่อยถือว่าสบายมากครับ!”

อาจารย์ฉางถึงขั้นสำลักออกมาตอนที่ได้ยินเหลินเสี่ยวซูพูดแบบนั้น แต่พอเห็นว่าเหลินเสี่ยวซูตั้งใจจริงขนาดนั้น อาจารย์ฉางเองก็ไม่มีอะไรให้เถียงต่อเหมือนกัน “ถ้างั้นก็โอเค”

นักเรียน 2 คนที่ขอบคุณอาจารย์เหลินเสี่ยวซูตอนนั้นไม่รู้เลยว่าแค่คำว่า “ขอบคุณอาจารย์” ที่ตัวเองพูดออกไปนั้น มันกำลังจะนำพาหายนะใหญ่หลวงมาสู่นักเรียนทั้งชั้น

ดั่งเช่นวลีที่เคยมีไว้แต่โบราณ ที่ว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก” นั่นเอง

ระหว่างทางกลับ หยานหลิวหยวนเคืองเหลินเสี่ยวซูตลอดทาง ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นกับเหลินเสี่ยวซูในเมืองตอนเลิกเรียน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะอะไรก็คงจะรู้กันดี

ตอนที่พวกเขากำลังเดินผ่านโรงรับจำนับบริเวณหน้าประตูป้อมปราการ หยานหลิวหยวนก็ดึงแขนเสื้อของเหลินเสี่ยวซูไว้ แล้วชี้ไปที่นั่น เหลินเสี่ยวซูมองไปตามที่ชี้ แล้วก็พบเข้ากับเสี่ยวหยู ที่กำลังยืนคุยอยู่กับเจ้าของโรงรับจำนำอยู่

เหลินเสี่ยวซูพาหยานหลิวหยวนเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นจนพวกเขาสามารถได้ยินเธอพูดกับเจ้าของโรงรับจำนำได้ “ต่างหูคู่นี้มีค่ามากเลยนะคะ ช่วยให้มากกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

เจ้าของโรงรับจำนำนั้นยิ้มอย่างหื่นกามกับเสี่ยวหยูก่อนจะพูด “เอาจริง เธอไม่ต้องเอาอะไรมาจำนำก็ได้นะ ทำไมเธอไม่เข้ามาในร้า…”

ทันใดนั้นเองเขาก็หุบปากก่อนที่จะพูดจบลง เพราะหางตาเขาดันไปเห็นเหลินเสี่ยวซูเดินตรงมาทางโรงรับจำนำพอดี เรื่องราวเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนตอนนี้มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว และทุกคนก็รู้ดีว่าหลี่เสี่ยวหยูนั้น มีความสัมพันธ์ดีกับเหลินเสี่ยวซู

ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้หมายความว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงให้โหดร้ายตามไปด้วย มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ มีอ่อนแอ มีแข็งแกร่ง เพียงแค่ว่าคนที่แข็งแกร่งนั้นจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าในโลกแบบนี้เท่านั้นเอง

เจ้าของโรงรับจำนำนั้น ถือว่าเป็นคนอ่อนแอ คนอ่อนแอย่อมหวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่ง และจะกล้ารังแกพวกที่อ่อนแอกว่าตนเท่านั้น ชายคนที่เหลินเสี่ยวซูฆ่าไปเมื่อคืนก่อนนั้นรู้จักกันดีในด้านของความโหดเหี้ยม ชอบใช้ความรุนแรง เพราะงั้นตอนนี้ภาพลักษณ์ของเหลินเสี่ยวซูเลยกลายเป็นที่สุดของที่สุดแห่งความโหดเหี้ยมแล้ว

สายตาของเจ้าของโรงรับจำนำเริ่มเลิ่กลักก่อนจะแสร้งทำเป็นดื่มน้ำ เขาไม่มั่นใจว่าเหลินเสี่ยวซูได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้รึเปล่า

เหลินเสี่ยวซูควักเงินในกระเป๋าของเขาออกมานับได้ 620 หยวนก่อนที่เขาจะยัดเงินนั้นลงในมือของเสี่ยวหยู “เธอไม่จำเป็นต้องเอาของตัวเองไปขายหรอก นี่เป็นเงินสำหรับค่ายาแก้อักเสบสามเม็ดที่เธอให้ฉันเมื่อคืนก่อน”

ด้วยความที่ตอนนี้หลี่เสี่ยวหยูไม่มีรายได้แล้ว ทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขายของที่ตัวเองมี แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเธออยู่ในสภาพแบบนั้น

หลี่เสี่ยวหยูเตรียมจะคืนเงินให้เหลินเสี่ยวซู แต่เขาก็พูดขัดขึ้นมา “ยังไงฉันก็คิดจะเอาเงินนี่ไปซื้อยาอยู่แล้ว เพราะงั้น เธอเก็บเอาไว้เธอ มันไม่ใช่ว่าฉันอยากจะปฏิเสธน้ำใจของเธอหรอก แต่ถ้าทำแบบนี้ เราจะได้ไม่ต้องมีอะไรเกรงใจกันอีกในอนาคต”

หลี่เสี่ยวหยูสับสนเล็กน้อย “นี่นายพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?”

หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูบังเอิญเอาตัวรอดมาจากหมาป่าได้เมื่อปีก่อน เขาเองก็ไม่เคยบอกกับใครอื่นเลยว่าเขารอดมาได้ไง แต่ถึงอย่างนั้น ความเป็นจริงที่ว่าเขารอดมาได้เพราะยาที่หลี่เสี่ยวหยูนำมาให้เขาก็ยังคงอยู่ ถ้าไม่ได้ยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบในตอนนั้นล่ะก็ เขาเองก็คงจะตายไปนานแล้ว

เพราะงั้น สิ่งที่เขาติดค้างหลี่เสี่ยวหยู ไม่ใช่แค่เรื่องยา แต่มันรวมไปถึงชีวิตของเขาด้วย

เหลินเสี่ยวซูพูดกับเสี่ยวหยูด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ต้องเป็นห่วง นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเนื้อกิน มั่นใจได้เลยว่าเธอเองก็จะมีน้ำซุปกินด้วย!”

หยานหลิวหยวนกระซิบ “นี่ พี่ พูดผิดไปกันใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่ว่าเราควรจะได้มานั่งกินด้วยกันเหรอ ทำไมมันกลายเป็นว่าพี่ได้กินเนื้อคนเดียว ส่วนพวกเราได้กินแค่ซุปล่ะ? อีกอย่าง ที่บ้านเราก็แทบไม่มีเนื้ออยู่เลยนะ..”

“เออะ” เหลินเสี่ยวซูพยักหน้าก่อนจะพูดใหม่อีกครั้ง “นับจากนี้ไป เมื่อไรก็ตามที่เรามีซุปกิน เราจะเหลือจานให้เธอล้างละกัน!”

หยานหลิวหยวนงงแตกกับคำพูดของพี่ตัวเอง

“พรู๊ดดด!!” เจ้าของโรงรับจำนำที่ดื่มน้ำอยู่พ่นน้ำออกมาข้างๆ

แต่ถึงอย่างนั้น หลี่เสี่ยวหยูก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ซิ ถ้างั้นฉันจะล้างจานกับซักผ้าให้พวกนายเองนะ”

ตอนที่เธอพูดนั้น เธอไม่ได้คิดเลยซักนิดว่าทั้ง 3 คน จะมี “น้ำ”เพียงพอให้ทำแบบนั้นได้ แต่เธอเองก็ตอบรับไปก่อนอยู่ดี

เจ้าของโรงรับจำนำมุ่ยปากตอนที่มองทั้ง 3 คนนั้นเดินจากไปก่อนที่เขาจะหันหลังกลับแล้วพูดกับพนักงาน “อย่าหาเรื่องกับเขาเด็ดขาดเลยนะ เข้าใจไหม?”

ทันทีที่ทั้ง 3 คนเดินออกมาจากโรงรับจำนำ พวกเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนลั่น “คุณหมอ!!! ได้โปรดช่วยสามีของฉันด้วยเถิด ขืนเขาตายไป ครอบครัวของเราคงไปไม่รอดแน่!!!”

จากนั้นพวกเขาก็เห็นหญิงสาววัยกลางคนคุกเข่าลงกับพื้นกราบกราน หมอคนเดียวในเมือง ตรงหน้าคลินิก แต่ถึงอย่างนั้น หมอกลับพูดออกมา “เงินก็ไม่มี แล้วยังจะมาขอให้หมอช่วยอีกเหรอ หะ?”

“ถ้าคุณหมอช่วยเขาละก็ ทั้งตระกูลของเราจะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างสาสม” ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม “คุณหมอคนเก่าเป็นผู้มีเมตตา คุณหมอเป็นลูกของเขา เมตตาพวกเราด้วยเถอะคุณหมอ!!”

“ความเมตตาของพ่อฉัน มันคือธุรกิจของฉันแล้ว!”

จากนั้นหมอหันหลังกลับแล้วปิดประตูคลินิกใส่หน้าอย่างแรง ทิ้งให้ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ข้างสามีของเธอที่เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ท้องไม่หยุด

เหลินเสี่ยวซูไม่ได้คิดจะไปช่วยหรือจะไปเป็นพลเมืองดีอะไรตอนนี้ เพราะยังไง แค่เขามอง ก็รู้แล้วว่าชายคนนั้นยังไงก็ตายแน่ๆ

เขาพูดอย่างใจเย็นขณะที่มองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้า “หลิวหยุน จงจดจำทุกอย่างที่เห็นไว้นะ นี่ล่ะ คือความเป็นจริง”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด