The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 10 ภารกิจเสริม

อ่านนิยายจีนเรื่อง The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ ตอนที่ 10 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ในตอนนั้นเอง เสียงหยาบกระด้างก็ดังขึ้นมาจากนอกกระท่อม มันเป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากหน้ากระท่อมของเพื่อนบ้านใหม่ของพวกเขา เสี่ยวหยู “นี่เสี่ยวหยู ฉันพึ่งรู้นะเนี่ยว่าเธอย้ายมาแถวนี้แล้วตอนที่ฉันแวะไปหาที่บ้านเก่าเธอ ฉันซื้อบุหรี่มาฝากด้วยนะ”

เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนมองหน้ากันไปมาก่อนจะขมวดคิ้ว จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสี่ยวหยูพูด “พอได้แล้ว ฉันไม่ได้ทำงานแบบนั้นอีกต่อไปแล้วนะ”

“555!” ชายคนนั้นหัวเราะออกมาเหมือนกับว่าได้ยินเรื่องตลก “ถ้าเธอไม่ทำ’งานแบบนั้น’แล้ว เธอจะไปอยู่รอดได้ยังไงกันล่ะ? แล้วใครจะเป็นคนเอาบุหรี่มาให้เธอในอนาคตน่ะ ห่ะ?”

“นี่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสี่ยวหยูพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะได้ยินเสียงเหมือนกับอะไรซักอย่างฉีกขาด มันเป็นเสียงของเสื้อที่กำลังจะถูกฉีก เสียงของคนกำลังขัดขืน

ตอนที่หยานหลิวหยวนหันไปมองหน้าเหลินเสี่ยวซู ตอนนั้นเหลินเสี่ยวซูเองก็กำลังขมวดคิ้วแน่นอยู่ ก่อนที่เขาจะกระซิบ “พี่ ไปช่วยเธอเถอะ”

เหลินเสี่ยวซูยืนขึ้นก่อนจะดึงมีดที่มัดอยู่อยู่กับน่องขาของตัวเองออกมา ค่อยๆเปิดประตูเบาๆแล้วย่องออกจากกระท่อม

ในตอนนั้นเอง แป้นพิมพ์ทองเหลืองของเครื่องพิมพ์ดีดภายในวังจิตใจของเหลินเสี่ยวซูก็ดีดขึ้นบนกระดาษหนังอีกครั้ง พร้อมด้วยเสียงที่ไร้อารมณ์ดังตามขึ้นมา “ภารกิจ – ช่วย—“

เขาคำรามขึ้นมาในใจขัดเสียงของวัง “ถึงจะไม่มีภารกิจฉันก็จะไปช่วยเธออยู่ดีละวะ”

ทันทีที่เขาออกมาจากกระท่อม เหลินเสี่ยวซูก็กำมีดแน่นก่อนจะพุ่งไปถึงตัวชายคนนั้นภายใน 2 วินาที

เหลินเสี่ยวซูไม่พูดคำขู่อย่างเช่นพวก “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ” หรือ “แน่จริงก็ลองแตะต้องเธออีกซิ” เพราะว่าเขารู้ดีว่าการกระทำไม่จำเป็นพวกนั้นจะเป็นตัวแปรที่อาจจะทำให้เขาพลาดได้

สิ่งที่เขาต้องทำ คือใช้วิธีการแก้ปปัญหาที่ง่ายที่สุด เพื่อแก้ปัญหาที่ไม่ซับซ้อนที่สุด

ถึงแม้ว่าร่างกายของเหลินเสี่ยวซูจะดูผอม แต่ด้วยมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงทำให้เขาสามารถวิ่งได้ไวเหมือนเสือชีตาร์ แต่ชายคนนั้นก็ไหวตัวทัน ชักมีดจากเอวออกมาแล้วฟันตรงเข้าหาเหลินเสี่ยวซู ทุกคนในเมืองนั้นตต่างก็พกอาวุธไว้ป้องกันตตัวกันทั้งนั้น

ชายคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ยออกมาในใจ เพราะเขาหันไปเห็นแล้วว่า ขนาดตัวของเขานั้นสูงใหญ่กว่าเหลินเสี่ยวซูมาก อีกทั้งมีดที่เขาถือนั้น เป็นมีดเหล็ก ไม่ใช่มีดกระดูก

เป็นที่รู้กันดีว่า อาวุธโลหะนั้นยังไงก็ต้องดีกว่ามีดกระดูกโง่ๆอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ากระดูกของสัตว์ป่าตัวนั้นจะแข็งเหมือนเหล็กกล้ายังไงก็ตาม

แต่เหมือนเหล็กกล้า ไม่ได้แปลว่ามันเป็นเหล็กจริงๆซักหน่อย

ในเมืองนี้ไม่ได้มีกฏหมายห้ามพกอาวุธระยะประชิด แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถหาอาวุธโลหะดีๆมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้ว่าอุสาหกรรมเหมืองแร่และการตีเหล็กในยุคสมัยนี้จะใกล้เคียงกับมาตรฐานในยุคสมัยก่อนภัยพิบัติแล้ว แต่ด้วยแร่โลหะที่มีอย่างจำกัดทำให้ไม่ว่ายังไงก็ทำออกมาได้น้อย

เหลินเสี่ยวซูพุ่งเข้าตรงหน้าชายคนนั้นด้วยความเร็วสูง การพุ่งตัวของเขานั่นเริ่มส่งแรงตั้งแต่ขาซ้ายที่กระแทกเหยียบพื้นดิน ส่งกำลังให้กล้ามเนื้อขาขวาตึงแน่นเพื่อรับน้ำหนักตัว จากนั้นทั้ง 2 เท้าก็เหยียบแน่นไปบนพื้น ส่งกำลังทั้งหมดที่มีเหมือนกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาที่เอว แล้วออกแรงบิดจากเอวขึ้นไปสู่แขน

เหลินเสี่ยวซูเหวี่ยงมีดของเขาเป็นแนวเฉียงด้วยแรงทั้งหมดที่มีพุ่งเป้าตรงไปที่มีดโลหะที่ฟันตรงเข้ามาหาเขาจนเกิดเป็นประกายไฟวาบขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน

แกร๊ง!! ทั้งมีดกระดูกและมีดโลหะนั้นปะทะกันอย่างแรง เหล่าคนดูที่แอบดูอยู่นั้น ทุกคนต่างก็คิดว่ามีดกระดูกจะหักแค่ฝ่ายเดียว แต่เปล่าเลย พวกเขาต้องตกใจที่มีดทั้งคู่หักแตกลงพร้อมกัน!

แล้วในพริบตานั้นเอง เหลินเสี่ยวซูทิ้งมีดกระดูกของตัวเองลงข้างทางโดยไร้ความลังเล ในขณะที่ชายคนนั้นยังคงตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ท่วงท่าการเขวี้ยงมีดทิ้งจากมือนั้นมันรวดเร็วมากจนกลายเป็นจังหวะเดียวกับตอนฟัน ราวกับว่าเหลินเสี่ยวซูจะรู้อยู่แล้วว่ามีดต้องแตกแน่นอน เห็นได้ชัดเลยว่าเขามีแผนอย่างอื่นมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เขาใช้มือข้างนึงจับคว้าข้อมือของชายคนนั้นไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างกำหมัดแน่นแล้วต่อยเข้าไปบริเวณเส้นประสาทรักแร้

ชายคนนั้นพยายามสลัดข้อมือให้หลุด แต่เขาก็พบว่า เด็กหนุ่มตรงหน้านั้นบีบข้อมือของเขาไว้ด้วยแรงที่มากกว่าที่เขามี

เป็นไปได้ยังไงกัน? อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? เด็กคนนั้นสูงแค่ประมาณคอของเขาเองมั้ง

แต่ถึงอย่างนั้น ตอนที่ชายคนนั้นสังเกตุเห็นกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอของเหลินเสี่ยวซู เขาก็เข้าใจทันทีว่านี่คือพลังจากกล้ามเนื้อล้วนๆ

เส้นประสาทรักแร้ หรือเส้นประสาทอซิลลารี้ นั้นอยู่บริเวณ 3 เซนติเมตรนับจากรักแร้ถึงต้นแขน การจะต่อยเข้าไปยังเส้นประสาทนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องต่อยแม่นยำอะไรมาก เพราะขนาดของหมัดมันเพียงพอที่ยังไงก็ต้องโดนอยู่แล้ว

เส้นประสาทรักแร้นั้นเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งในร่างกายมนุษย์ หากเส้นประสาทรักแร้ได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง มันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบประสาทโดยรวม เส้นประสาทมันก็เหมือนกับสายไฟ หากสายไฟได้รับแรงกระแทกจนเสียหายมันจะส่งผลทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนวงจรปลดปล่อยสัญญาณไฟฟ้าขึ้นมารบกวนคำสั่งสัญญาณต่างๆ และเมื่อสมองได้รับสัญญาณไฟฟ้าพวกนี้มากเกินไป สมองจะส่งสัญญาณความเจ็บปวดออกมา นอกจากนี้กระแสไฟฟ้าที่ผิดพลาดทำให้แขนที่โดนโจมตีได้รับสัญญาณผิดเพี้ยนไปด้วย ทำให้ร่างกายเริ่มหลั่งแคลเซี่ยมและโปแตสเซี่ยมไออ่อนออกมา และมันเพียงพอจะทำให้ทั้งร่างกายด้านชาและเป็นอมพาติไปหลายวินาที!

ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก็จะทิ้งตัวลงกับพื้น แขนขากระตุกหนักไม่อาจควบคุมได้ และพอเขาเรียกสติรู้สึกตัวกลับมาได้ เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะสู้กับเหลินเสี่ยวซูอีกต่ออไปแล้ว

เหลินเสี่ยวซูยืนเหยียบอยู่ข้างๆเขาเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ชายคนนั้นหอบหายใจอย่างหนักก่อนจะร้องขอความเมตตา “ขอละ ฉันจะไม่แค้น ไม่เคืองไม่โกรธ แต่ปล่อยฉันไปเถอะนะ แล้วฉันจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้เอง”

คนฉลาดๆ รู้ดีว่าหากชีวิตอยู่ในกำมือของเหลินเสี่ยวซูแล้ว เขาก็ไม่ควรจะคิดสู้หรือทำอะไรกระโตกกระตาก สิ่งที่ควรทำคือการกราบขอร้องขอชีวิตแล้วค่อยกลับมาเอาคืนทีหลัง

เหลินเสี่ยวซูหันไปมองเสี่ยวหยู “เขาเป็นใครน่ะ?”

“คนงานในเหมืองถ่านหินน่ะ เขาเป็นคนที่นำกลุ่มไปบุกแทงคนตายแล้วปล้นของไปเมื่อคืนก่อนด้วย ทันทีที่เขาได้ยินว่าชายคนนั้นมีเงินเก็บ เขาก็คิดแผนการปล้นขึ้นมาทันที เพราะเขาเองก็ติดหนี้พนันอยู่เหมือนกัน” เสี่ยวหยูบอกเรื่องราวทั้งหมดออกมา เรื่องพวกนี้เธอรู้มาเมื่อคืนก่อนตอนที่เขามาโม้เรื่องนี้กับเธอเอง

เหลินเสี่ยวซูเดินไปที่ถนนก่อนจะหยิบมีดโลหะของชายคนนั้นขึ้นมา จากนั้นก็เดินกลับมาหาชายคนนั้น จ้องมองด้วยความไร้อารมณ์ เขาประมาณไว้แล้วว่ากว่าชายคนนี้จะกลับมาเคลื่อนไหวได้ก็ต้องใช้เวลามากสุด 4-5 วินาที

ทันใดนั้นเองเสียงจากในวังจิตใจของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ภารกิจ: ปล่อยศัตรูเป็นอิสระ”

แต่ทันทีที่เสียงของวังจิตใจดับลง เหลินเสี่ยวซูก็นั่งยองๆแล้วแทงมีดโลหะนั้นเข้าไปในท้องของชายคนนั้นอย่างแรง มีดโลหะแหลมคมแทงทะลุเสื้อผ้าและผิวหนังปักเข้าไปในท้องของชายคนนั้น ทำเอาเหล่าคนที่แอบมองดูเสียวสันหลังวาบกันไปตามๆกัน

“นายมีเวลาประมาณ 3 นาที ถ้านายไปถึงที่คลินิกประจำเมืองได้ทันเวลาแล้วเย็บแผลได้ทัน นายก็อาจจะมีโอกาศรอดนะ” เหลินเสี่ยวซูพูดอย่างใจเย็น

พอชายคนนั้นได้ยินแบบนั้น เขาไม่คิดจะร้องหรือสนใจความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น เขารีบวิ่งกระเผกตรงไปทางคลินิกประจำเมืองทันทีโดยไม่พูดอะไรซักคำ

“ภารกิจสำเร็จ ได้รับตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน”

“ภารกิจสำเร็จ ได้รับตำราลอกเลียนทักษะพื้นฐาน”

 

“เหตุเพราะสูญเสียอาวุธ ภารกิจเสริมพิเศษเริ่มทำงาน…”

เหลินเสี่ยวซู ตกใจตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้ยินประโยคสุดท้ายซะอีก ภารกิจแรกเขาเข้าใจว่ามันน่าจะเกี่ยวกับการช่วยเหลือเสี่ยวหยู เขาเลยพอจะเข้าใจว่ามันสำเร็จได้ด้วยดี แต่เขาไม่ได้คิดว่าภารกิจที่ 2 จะสำเร็จไปด้วย

วังในจิตใจของเขามันตัดสินใจยังไงของมันวะเนี่ย?!

หยานหลิวหยวนถามขึ้นมาข้างๆ “พี่ จะปล่อยเขาไปแบบนั้นมันจะดีเหรอ แล้วถ้าเกิดเขาไปเย็บแผลทันขึ้นมา พักฟื้นตัวให้หายดีแล้วกลับมาแก้แค้นพี่จะทำยังไงอะ? เขาไม่ใช่คนดีเลยนะ”

เหลินเสี่ยวซูมองไปทางทิศที่ชายคนนั้นวิ่งไป “อย่างกับคลีนิกเฮงซวยใจเมืองนี้จะเย็บแผลคนเป็นงั้นแหล่ะ”

“อ้อ โอเค เห็นพี่โหดขนาดนี้ ฉันก็สบายใจ”

เพราะแบบนั้น เหลินเสี่ยวซูเลยโล่งใจที่อย่างน้อยภารกิจก็ถือว่าสำเร็จ ถึงแม้ว่าชายคนนั้นยังไงก็ต้องตายแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ถึงเขาจะไม่ตาย แต่โดนมีดโลหะขึ้นสนิมเต็มไปหมดขนาดนั้นแทงมันก็เพียงพอจะทำให้เป็นบาดทะยักได้อย่างง่ายดาย เพราะงั้น ถึงเขาจะไม่ตายจากบาดแผล เขาก็จะเป็นบาดทะยักติดเชื้อตายอยู่ดี

ชายคนนั้นถึงจะมีมีดโลหะ แต่เขาก็มีตังซื้อได้แค่มีดโลหะคุณภาพต่ำที่สุดเท่านั้น ไม่งั้นเหลินเสี่ยวซูคงจะหักมีดนั่นไม่ได้แน่ๆ

คนอย่างเหลินเสี่ยวซูนั้นมีหลักการในการใช้ชีวิตของตัวเองเสมอ และจะไม่ออกนอกลู่นอกทางไปจากนั้นไกล ถึงแม้ว่าเขาจะได้พลังพิเศษอะไรมาก แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาไปเท่าไรอยู่ดี

ถ้าเขาจะเปลี่ยน เขาก็จะเปลี่ยนไปด้วยตัวของเขาเอง ไม่มีใครมาสั่งให้เขาทำ หรือเป็นอะไรได้

เพราะงั้นดูเหมือนกับว่าเกณฑ์การให้ผ่านของภารกิจพวกนี้มันไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นงั้นเหรอ? แล้ววังในจิตใจต้องการอะไรจากเขากันล่ะ… ภาพลักษณ์ที่เหลินเสี่ยวซูแสดงออกมาแค่นี้เหรอ?

ตอนนั้นเหล่าผู้คนในกระท่อมข้างถนนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน ตลอดเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของเหลินเสี่ยวซูดี แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่ดี

นั่นเป็นเพราะรูปกายของทั้ง 2 คนนั้นมันต่างกันมาก ตัวของผู้ชายคนนั้นใหญ่กว่าเหลินเสี่ยวซูอย่างเห็นได้ชัด แต่พละกำลังของเหลินเสี่ยวซูกลับเทียบเท่าได้กับชายคนนั้น แถมอาจจะมากกว่าซะอีก

ถือว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อทีเดียว

ใครบางคนพึมพัมขึ้นมาจากกระท่อมนึง “เห็นไหมละ บอกแล้วว่าอย่าไปยั่วโมโหเขา”

เหลินเสี่ยวซูเดินไปหยิบมีดกระดูกคู่ใจที่รับใช้เขามานานหลายปี วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องปลดระวางมันแล้ว

เขาหันหลังกลับไปแล้วมองเสี่ยวหยู ในยามค่ำคืน ผิวพรรณของเสี่ยวหยูกลับดูละเอียดละออขึ้นมา ถึงแม้ว่านางจะอายุมากกว่าเหลินเสี่ยวซูถึง 8 ปี แต่ในตอนนี้ เธอกลับดูเด็กกว่าเขา 8 ปีซะมากกว่า

เหลินเสี่ยวซูถามไปทื่อๆ “เลิกสูบบุหรี่จะได้ไหม?”

เสี่ยวหยูพยักหน้าอย่างขมักเขม้น

“ของพวกนั้นมันไม่ได้เสพติดขนาดนั้นหรอก เพราะว่ามันผสมฝิ่นเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ตาแก่หวางเคยบอกฉันมาว่าอัตราส่วนการผสมฝิ่นมันน้อยมากๆ เพราะงั้นมันเลยเลิกง่าย อยากเลิกเมื่อไรก็เลิกได้ไม่มีผลข้างเคียง” เหลินเสี่ยวซูพูดก่อนจะเดินไปตรงประตูกระท่อมของเสี่ยวหยู แล้วแทงมีดกระดูกสีขาวที่หักครึ่งลงไปในดินหน้าประตูอย่างแรง ก่อนจะปล่อยให้มันปักคาไว้แบบนั้นอยู่เหนือผิวดิน

เหล่าคนนอกที่เฝ้ามองหาโอกาสคิดไม่ดีไม่ร้ายกับเสี่ยวหยูสลัดความคิดนั้นทิ้งทันที

มีดกระดูกที่ปักออยู่เล่มนี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของเหลินเสี่ยวซู ไม่ว่าใครที่กล้าทำอะไรกับผลีผลามก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับเหลินเสี่ยวซูคนนั้นเช่นกัน

เหลินเสี่ยวซูหันหลังกลับแล้วพูดขึ้นมา “ฉันมีเรื่องที่อยากจะพูดให้ชัดเจนน่ะ ถึงแม้ว่าหน้าฉันจะดีแค่ไหน แต่…ระหว่างเรา…คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ…”

เสี่ยวหยูมองดูอย่างงงๆ ก่อนจะพูด “ฉันเห็นนายเป็นแค่น้องชายของฉันจริงๆนะ”

“555555 แปลกจังเลยนะ55555” เหลินเสี่ยวซูพยายามหัวเราะปกปิดเสียงหน้าแตกของตัวเอง

แล้วเขาก็รีบพาหยานหลิวหยวนกลับเข้าไปในกระท่อมทันที เขาจ้องหน้าหยานหลิวหยวนเขม็งตอนที่เขาเดินกลับกัน เหมือนกับจะบอกว่า ความผิดของนายนั่นล่ะที่พล่ามเรื่องไร้สาระพวกนั้นให้ฉันฟังตลอดน่ะ!

หยานหลิวหยวนไม่สนใจแต่เขากลับหันหลังกลับไปแล้วกระพริบตาส่งสัญญาณให้กับเสี่ยวหยู พอเสี่ยวหยูเห็นหน้าตาท่าทางของหยานหลิวหยวนแล้ว เธอก็หัวเราะออกมา ความกดดัน ความโศกเศร้าเมื่อกี้หายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

เธอก้มลงกับพื้นจ้องมองมีดกระดูกหักครึ่งที่ปักอยู่อย่างเนิ่นนานก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเดินกลัวเข้ากระท่อมไปนอนหลับอย่างสบายใจ

อีกด้านนึง เหลินเสี่ยวซูก็หลับตาลงแล้วตรวจเช็คดูวังภายในจิตใจของเขา จากนั้นเขาก็เช็คดูว่าสิ่งที่แป้นพิมพ์ พิมพ์ล่าสุดคืออะไร

ภารกิจเสริมเหรอ? น่าสนใจดีนี่!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด