The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 26 จะช่วยแม่หรือช่วยเด็ก
ในช่วงเช้าตรู่ เหลินเสี่ยวซูเปิดประตูคลินิกแต่เช้าแล้วเริ่มสำรวจพื้นที่รอบข้าง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาพบว่าอากาศยามเช้ามันสดชื่นเช่นนี้
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ ท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยหมอกควันประหลาดแทบจะตลอดเวลา อาจารย์ฉางเคยบอกไว้ว่า หมอกพวกนั้นคือชั้นฝุ่นควันที่กระจัดกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าตอนที่เกิดเหตุการณืภัยพิบัติ ไม่เพียงแต่จะบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ต้นไม้พืชผักเติบโตสังเคราะห์แสงได้แล้ว มันยังทำให้อากาศหนาวเย็นขึ้นมาก รวมไปถึงฝนกรดที่มักจะตกลงมาบ่อยๆด้วย
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อหลาย 10 ปีก่อน ตอนนี้แสงอาทิตย์เริ่มกลับมาสาดส่องได้ตลอดทั้งปีแล้ว
คลินิกของเหลินเสี่ยวซูนั้นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายของชำพอดี ทันทีที่เขาเปิดประตูออกมาเขาก็เห็นหวางฟู่กุยออกมาจากร้านพร้อมถือมันฝรั่งหวานอบ 2 ลูกออกมา “เสี่ยวซู มานี้ซิ เอามันหวานไปกินหน่อย!”
เหลินเสี่ยวซูอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้ ตาแก่หวางขี้งกถึงขนาดกว่าจะยอมให้ยืมเข็มมาใช้เย็บเสื้อของเขายังยากแทบจะต้องกราบลงกับพื้น แม้แต่ด้ายเย็บผ้ายังต้องเสียตังซื้อเลย
แต่ตอนนี้ตาแก่ขี้งกนั้นกลับหยิบยื่นมันหวานให้เขากับมือเนี่ยนะ…
เหลินเสี่ยวซูจ้องมองสีหน้าที่อารมณ์ดีขอองหวางฟู่กุย ในเมื่อมีคนมาให้ของเขา เขาก็ควรจะให้ของกลับเป็นการตอบแทนน้ำใจด้วย แต่เขาก็พูดออกมาแทน “ฉันไม่มีอะไรจะให้ของจะให้แลกหรอกนะ แต่ฉันมียาชาอยู่เยอะพอควรเลย ลุงสนใจจะเอาไปซักเข็มไหมละ?”
“แล้วฉันจะเอายาชาไปเพื่ออะไรกันวะ?”หวางฟู่กุย สวนกลับมาหน้าดำเข้ม เขาถามต่อ “จะว่าก็ว่าเถอะ นายเองก็ไม่ได้ออกไปเก็บสมุนไพรเลยนี่ช่วงนี้ แล้วแบบนี้นายยังมีตัวยาเหลือพอเหรอ?”
“ก็พอนะ ฉันมียาแก้อักเสบ ยาชา ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก” เหลินเสี่ยวซูพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันหมายถึงว่า นายยังมียาดำเหลืออยู่บ้างรึเปล่า” หวางฟู่กุยอ้อมโลกกลับมาเข้าประเด็นที่ต้องการ
“ลุงก็พึ่งซื้อไปเองไม่ใช่เหรอ?” เหลินเสี่ยวซูถาม
“นั่นฉันซื้อไปให้ขาใหญ่ในป้อมปราการตั่งหากเล่า อย่ามาแกล้งโง่ไปหน่อยเลย ถ้าฉันไม่ส่งยานั่นเข้าไปในป้อมปราการ คิดเหรอว่านายจะได้มีวันเข้ามาอยู่ในคลินิกประจำเมืองแบบนี้ได้ง่ายๆน่ะ?” หวางฟู่กุยบ่น “เอาจริงๆฉันก็แค่กะจะให้ยานี่กับเฉินไหตงเฉยๆแหล่ะ แต่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันส่งต่อกันไปเรื่อยๆจนถึงมือของบอสลั่วได้ยังไง…”
หวางฟู่กุยเองก็ยังไม่เข้าใจว่ายาดำนั่นมันโด่งดังไปถึงระดับนั้นได้ยังไงกัน เขายังอยากรู้อีกด้วยว่ากว่าจะถึงมือบอสลั่ว ยาดำมันเหลืออยู่เท่าไร
“อะนี้” เหลินเสี่ยวซูหยิบขวดกระเบื้อง 2 อันขึ้นมา เมื่อวานเขาแลกยาดำออกมาเพื่อรักษาอาการไข้ของหยานหลิวหยวน แล้วมันเหลือใช้ได้อีก 2 ครั้ง เขาเลยแบ่งมันเก็บไว้ในขวดเล็กๆเผื่อใช้ทำอย่างอื่นต่อได้ “1200หยวน ไม่น้อยไปกว่านั้น”
“ฉันจะส่งขวดนึงเข้าป้อมปราการ” เถ้าแก่หวางจ้องมอง “ไม่รู้สึกอับอายบ้างเหรอที่ขายของแพงขนาดนี้น่ะ?”
“ซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไปแค่นั้นล่ะ” เหลินเสี่ยวซูเตรียมเก็บยาดำลงเข้ากระเป๋า
สุดท้ายหวางฟู่กุยก็ไม่งลังเล เขาจับมือของเหลินเสี่ยวซูแล้วยัดเงินลงไปแทนที่ก่อนที่หวางฟู่กุยจะขอบคุณเขาอีกครั้ง
“ได้รับคำขอบคุณจาก หวางฟู่กุย +1!”
เอ๋? เหลินเสี่ยวซูรู้สึกได้ว่าหวางฟู่กุยนั้นเป็นคนที่น่าสนใจมากทีเดียว เพราะคำขอบคุณทั้ง 2 ครั้งของเขานั้นทำให้เหลินเสี่ยวซูได้เหรียญขอบคุณเพิ่มขึ้นทุกครั้งเลย
แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูกลับแอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ต้องยอมมอบยาดำไปให้ทั้งแบบนั้น แล้วแบบนี้จำนวนเหรียญขอบคุณของเขาจะเพิ่มขึ้นมาได้ยังไงกันล่ะ? ตอนนี้เหลือแค่ 4 เหรียญเท่านั้นเอง
แต่ถ้าเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้ว ด้วยความที่ว่าเขาเองก็อยากให้หยานหลิวหยวนกับพี่เสี่ยวหยูมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะงั้นการที่จะต้องผูกมัดญาติดีกับคนใหญ่คนโตในป้อมปราการก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น
เพราะงั้น การที่เขามอบยาดำไปมันก็ไม่ถือว่าเป็นการมอบให้เปล่า แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมทีเดียว
พอคิดแบบนั้นแล้วเหลินเสี่ยวซูก็ถอนหายใจ ตอนนี้เขาอยากจะรู้มากกว่าว่าการที่เขาได้มาเป็นหมออย่างถูกต้องเป็นทางการของเมืองจะทำให้เขาได้รับคำขอบคุณอย่างจริงใจมากขึ้นไหม
แต่ยังไงสิ่งที่เหลินเสี่ยวซูต้องทำในตอนนี้เป็นอย่างแรกก็คือออกไปเก็บสมุนไพรป่า การรอบคอบเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเกิดเขายังขายยาดำต่อโดยที่ไม่ออกไปหาสมุนไพร คนอื่นจะพากันสงสัยเอาได้
ไม่งั้นพอคนพูดถึงในอนาคตมันอาจจะเป็นแบบว่า “คนนั้นมีพลังพิเศษเสกฝนน้ำแข็งขึ้นมาถล่มเมืองได้ ส่วนคนนั้นใช้มือตัดผ่านภูเขาได้” ในขณะที่พอพูดถึงเหลินเสี่ยวซู มันจะกลายเป็น “พลังพิเศษของเขาคือการเสกยาขึ้นมาได้” มันจะน่าอายไปหน่อย
หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูเข้าไปในป่าเขาก็แอบที่จะไปดูจุดที่ฝังปืนเอาไว้ไม่ได้ เขาต้องตรวจเช็กให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเจอปืนที่เขาฝังไว้ ตอนนี้ปืนพกถือว่าเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่เขามีมา มันจะหายไปไหนไม่ได้เด็ดขาด
ถึงแม้ว่าเขาจะมีค่าพลัง 4.5 และค่าความคล่องตัวอยู่ที่ 4.1 แล้วก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไง มนุษย์ก็ยังสู้ปืนไม่ได้อยู่ดี
ตอนที่เหลินเสี่ยวซูกลับมาที่คลินิกพร้อมด้วยตะกร้าไผ่สานแบกขึ้นหลังนั้นเอง เขาก็เห็นเสี่ยวหยูทำหน้าตาลำบากใจพยายามจะช่วยคู่ชายหญิงที่เข้ามาหาหมอที่คลินิก
ตอนที่เธอเห็นเหลินเสี่ยวซูกลับมา เธอก็หันหาเหลินเสี่ยวซูแล้วส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที “เสี่ยวซู มาช่วยดูคนไข้ด่วนเลย”
เหลินเสี่ยวซูวางตระกร้าลงกับพื้นแล้วเข้าไปถาม “บาดเจ็บอะไรปวดตรงไหนมารึเปล่าครับ? ผมเป็นหมอของคลินิกนี้”
“ดีเลย คุณหมอมาแล้ว” ผู้ชายพูด “เราไม่ได้บาดเจ็บอะไรครับ แต่ภรรยาของผมที่พึ่งตั้งท้องได้ 4 เดือน จู่ๆก็เจ็บท้องขึ้นมาเช้าวันนี้ พวกเรากลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เลยรีบพามาหาหมอก่อนนะครับ”
เหลินเสี่ยวซูหน้าชา ถึงแม้ว่าเขาจะบอกตัวเองเป็นหมอ แต่จะให้เขาก็รักษาอะไรแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน!
ในยุคสมัยแบบนี้ ความรู้เรื่องบุรุษเวช กับนรีเวช มันหายไปจากโลกเกือบหมดแล้ว ชุดความคิดของผู้ลี้ภัยในเมืองตอนนี้คือ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยบ้าบออะไรก็ตามแต่ ให้วิ่งเข้าคลินิกไว้ก่อน
นั้นทำให้เหลินเสี่ยวซูตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาดันพูดโม้บอกว่าตัวเองเป็นหมอไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ต้องรับกับความคาดหวังของคู่สามีภรรยา แล้วแบบนี้เขาจะทำให้ตัวเองเสียหน้าได้ยังไงกันล่ะ
เหลินเสี่ยวซูพยายามนึกรื้อฟื้นความทรงจำในห้องเรียนกับอาจารย์ฉางออกมาทั้งหมดรวมไปถึงหนังสือที่เขาเคยอ่านมาเท่าที่ทำได้ พยายามคิดหาทางรอด ค้นหาวิธีการรับมือกับปัญหาที่เขากำลังเผชิญ ถ้าเป็นหมอปรกติจะพูดว่าอะไรกับพ่อแม่ที่รอคอยสมาชิกใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลกกัน
จนกระทั้งมันผุดออกมาเป็นประโยคแล้วเขาก็พูดออกมาทันที “คุณอยากจะช่วยคุณแม่หรือช่วยเด็กเอาไว้ดีละครับ?”
ทั้งคู่งงแตกทันที
ผู้ชายหัวร้อน “นี่เป็นหมอจริงรึเปล่าเนี่ย ภรรยาของผมพึ่งจะรู้สึกปวดท้องแค่นี้เอง แต่คุณถึงขั้นมาถามผมว่าจะให้ช่วยแม่หรือช่วยเด็กในท้องงั้นเหรอ? ปัญหาก็คือ เมียผมพึ่งท้องได้แค่ 4! เดือน 4 เดือนที่ว่านั้นเด็กยังไม่โตพอจะลืมตาดูโลกเลยนะ ถ้าผมเลือกเด็กแล้วผมจะเอาเด็กไปไว้ที่ไหน?!”
เหลินเสี่ยวซูลองคิดตามดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดมหันต์
เขาเลยถอนหายใจแล้วพูดออกมาแทน “ผมต้องขอโทษพวกคุณมากนะครับ ผมคิดผิดไปเอง เอาจริงๆ ผมไม่มีความรู้เรื่องนรีเวชศาสตร์หรอกครับ ถ้าผมจะพูดหลอกคุณต่อไป มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย หมอคนเก่าเองก็คงไม่รู้วิธีรักษาเธอเหมือนกันครับ เพราะเขาเองก็เป็นหมอเก๊เหมือนกัน”
เหลินเสี่ยวซู ชายผู้สามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ตราบใดที่คนๆนั้นมันเลวชั่วสมควรตาย แต่เขาก็ยังมีความเป็นมนุษย์มากพอที่จะไม่โกหกคุณแม่ที่ตั้งท้องหรอก”
เหลินเสี่ยวซูพูดต่อ “ถ้าจะให้ผมแนะนำ พวกคุณลองไปที่โรงเรียนแล้วยืมหนังสือของอาจารย์ฉางอ่านเกี่ยวกับเรื่องการตั้งครรภ์ แล้วก็ให้คุณแม่กินดีดื่มดีทุกวัน หลังจากนั้นคงต้องให้ชะตาฟ้าลิขิตแล้วล่ะครับว่าเด็กจะเกิดออกมาราบลื่นหรือเปล่า ผมจะไม่เก็บเงินอะไรพวกคุณหรอกครับ อีกอย่าง อย่าเที่ยวไปซื้อยามั่วซั่วจากคนอื่นนะครับ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไม่ควรจะกินยาอะไรแปลกๆเข้าไปในร่างกาย มันอาจจะนำไปสู่การที่จะทำให้ลูกในท้องพิการได้นะครับ ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณก็ลองไปถามกับอาจารย์ฉางแล้วยืมหนังสือของเขามาอ่านเรื่องวิธีการป้องกันไม่ให้แท้งลูกก็ได้นะครับ”
คู่สามีภรรยามองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่คิดว่าเหลินเสี่ยวซูจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา สามีคิดอยู่ซักพักแล้วพูด “ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยคุณดีกว่าหมอคนก่อนนะครับ ครั้งที่แล้วที่ผมป่วย เขาเอะอะก็จะเร่งให้ผมซื้อยาเขาอย่างเดียวเลย แต่ถึงผมจะกินยาของเขาเข้าไปเท่าไรสุขภาพผมก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยซักนิด สุดท้ายผมก็ต้องอดทนฟื้นตัวเอาเอง”
ภรรยาที่ตั้งครรภยืนขึ้นแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณนะคะ คุณหมอ”
“ได้รับคำขอบคุณจากฉินเจียเจีย +1!”
เหลินเสี่ยวซูผงะ เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่จู่ๆเขากลับได้คำขอบคุณมาซะอย่างงั้นเลย
คอมเม้นต์