หัตถ์เทวะธิดาพญายม – ตอนที่ 72 จวนโอวหยาง
เกอซีตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เอื้อนเอ่ย หญิงสาวนิ่งไปครู่ใหญ่ในที่สุดจึงพึมพำออกมา “เจ้ากำลังจะพาข้าไปรักษาอาการป่วยของโอวหยางฮ่าวเซวียนที่จวนสกุลโอวหยางงั้นรึ ?”
“อะไรกัน ? นี่เจ้าไม่มีความมั่นใจว่าจะให้การรักษาได้งั้นรึ ?” รอยยิ้มเหน็บแนมของหนานกงยวี่ยกแย้มขึ้น “หากเจ้าไร้สามารถจะให้การรักษาโอวหยางฮ่าวเซวียนเช่นนั้นเราก็รีบกลับก่อนจะสายเกินไปเถิด จากนั้นข้าจะ……” จะหาทางแสวงหาผลหยวนหยางลูกใหม่ให้แก่เจ้า
ความนัยที่แฝงไว้ของหนานกงยวี่ยังไม่ทันจะหลุดออกจากปาก คิ้วเรียวงามของเกอซีกลับยกสูงขึ้นพร้อมใบหน้างดงามที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจยามเมื่อนางเอ่ยถามด้วยความภาคภูมิ “ผู้ใดกล่าวว่าข้าไร้ความมั่นใจ ? ข้าหรือจะไม่สามารถให้การรักษาอาการเส้นชีพจรปราณฉีกขาดได้ ?”
เมื่อสาวน้อยที่อยู่ในรูปของเด็กหนุ่มเอ่ยวาจาที่หยิ่งทะนงขึ้น ดวงตาหงส์คู่งามหรี่ลงเล็กน้อยประกายตาสีม่วงแกมเงินลุกโชนขึ้นอีกครา
แววตาที่สุกใสวูบวาบประดุจวังวนที่ดูดกลืนสรรพสิ่งนั้นดึงดูดใจหนานกงยวี่ได้อย่างแน่นหนา
ชายหนุ่มเหยียดยื่นฝ่ามือออกไปด้วยความใคร่รู้ เขาจับกุมรัดข้อมือเกอซีไว้อย่างนุ่มนวล น้ำเสียงเอ่ยถามด้วยความอ่อนโยนดังก้องขึ้น “เมื่อวาน ข้าให้คนไปส่งโอสถให้เจ้า เจ้าได้ใช้มันหรือไม่ ?”
กล่าวจบเขาถกแขนเสื้อหญิงสาวขึ้นเพื่อสำรวจดูบาดแผลบนท่อนแขน
ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ว่าคำถามที่เขาเอ่ยออกมานั้นผิดตั้งแต่วาจาแรก เพราะทันทีที่คำกล่าวนั้นหลุดมากลับทำให้เกอซีหวนนึกถึงเหตุการณ์น่าหงุดหงิดใจเมื่อคืนก่อน สีหน้าของหญิงสาวพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เกอซีปลดมือถอนกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไยต้องลำบากท่านด้วย เพียงอาการบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านี้นับว่าไร้ความหมายสำหรับข้า”
แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตัวตนในอดีตของเกอซี หรือแม้เมื่อนางต้องกลายเป็นน่าหลานเกอซีในช่วงชีวิตแห่งภพนี้ นางก็คุ้นชินกับบาดแผลบนร่างกายเหล่านี้แล้ว สิ่งนี้นับว่าไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เพียงบาดแผลจิ๊บจ้อยนางย่อมสามารถเยียวยารักษาด้วยตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาร่วมห่วงกังวล
นัยน์ตาของหนานกงยวี่มืดหม่น แม้เขาอยากเอ่ยปากโต้เถียง หากแต่เมื่อได้เห็นสีหน้าดึงดันดื้อรั้นของหญิงสาวผู้อยู่ตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มคงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา ก่อนจะส่งกระแสถ่ายทอดพลังเสียงเข้าสู่วาระจิตของนางแทน “จำไว้ว่าจงอย่าได้เปิดเผยตัวตนของเจ้าในฐานะน่าหลานเกอซี ทุกวันนี้ตระกูลโอวหยาง และตระกูลน่าหลานชิงชังกันชนิดเข้ากระดูกดำ หากพวกเขาได้รู้ฐานะที่แท้จริงของเจ้าแล้ว ย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเราจะสามารถได้ผลหยวนหยางมาหรือไม่”
คิ้วของเกอซีจิกเข้าหากัน เมื่อหญิงสาวกำลังจะเอ่ยปากถามถึงเรื่องราวความบาดหมางระหว่างสองตระกูล น้ำเสียงของหนานกงยวี่กลับแทรกขึ้นเบา ๆ “เรามาถึงแล้ว”
ณ จวนโอวหยาง
ยามนี้หน้าต่าง และประตูทุกบานในห้องของโอวหยางฮ่าวเซวียนถูกปิดแน่นสนิท ทั่วทั้งห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นโอสถรุนแรงเข้มข้น กลิ่นอับเหม็นภายในห้องทำให้ผู้คนต่างรู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียน
สิ่งที่พอให้ความสว่างสลัวภายในห้องมีแค่เพียงแสงจากเปลวเทียนน้อยนิด และไข่มุกราตรีอันหาค่ามิได้มากมาย แต่ด้วยแสงอาทิตย์ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาถึงด้านในจึงทำให้ภายในห้องยังคงแฝงไว้ด้วยความมืดสนิทที่สามารถสร้างความอึดอัดใจจนทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
ยามนี้ฮูหยินโอวหยางกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าบุซึ่งอยู่ข้างเตียงนอน เส้นผมของนางยุ่งเหยิงดวงตาลึกแดงก่ำ คราบโอสถยังคงเปรอะเปื้อนติดค้างอยู่บนผืนอาภรณ์
นางทอดสายตาลงมองบุตรชายผู้นอนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงราวกับหุ่นปั้น นางร้องไห้คร่ำครวญเอ่ยอ้อนวอนด้วยความเศร้าโศกจับจิต
“ฮ่าวเซวียน แม่ขอร้องล่ะ เจ้าช่วยกินยาหน่อยได้ไหม ? หากเจ้าไม่ยอมกินยาอวัยวะภายในหยินทั้งห้าหยางทั้งหกของเจ้าจะสิ้นสภาพ ที่สุดเจ้าจะถึงแก่ความตาย”
ใบหน้าของโอวหยางฮ่าวเซวียนผู้นอนอยู่บนเตียงมีเพียงความหมดอาลัย หนวดเคราทั่วใบหน้างอกเงยยาวจนรกรุงรังยุ่งเหยิงกลายเป็นสภาพที่สกปรกมอมแมม ดวงตาทั้งคู่จมลึก ตลอดทั่วทั้งร่างมีเพียงอายแห่งความรันทดสิ้นหวังประดุจดั่งคนใกล้วายชีวิต
ชายหนุ่มหัวร่อดังลั่นเมื่อได้ยินสิ่งที่เอ่ยกล่าว น้ำเสียงที่แหบห้าวแบกพาเอาความสิ้นหวังติดตามมา “ท่านแม่ ข้าขอร้องท่านเช่นกัน ช่วยปล่อยให้ข้าตายได้หรือไม่ ? ความมีอยู่ที่ไร้ค่าเยี่ยงนี้ สูญสิ้นพลังไร้ความสามารถแม้กระทั่งบั่นคอตนให้ตายตกไป ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อการใด ? สังหารข้าเสียเถิด ปลดปล่อยข้าให้ได้จบชีวิตลงอย่างไร้มลทิน !”
ยิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินโอวหยางยิ่งร่ำไห้โศกาหนักขึ้นกว่าเดิม นางทิ้งร่างลงกับเตียงไขว่คว้ามือบุตรชายขึ้นมากำไว้แน่น ขณะที่ปากยังคงบ่นเพ้อไม่เป็นส่ำ “เซวียนเอ๋อ*บิดาของเจ้าออกไปขอความช่วยเหลือจากสหพันธ์แพทย์ เขาสู้อุตส่าห์เสาะแสวงหาโอสถชั้นยอดจากทั่วทุกแห่งในใต้หล้ามาให้เจ้า จะต้องมีผู้ที่สามารถให้การรักษาอาการของเจ้าได้อย่างแน่นอน เจ้าจะเลิกล้มตอนนี้ไม่ได้”
*เอ๋อ ใช้เรียกเมื่อสนิทสนมโดยเรียกชื่อเล่นตามด้วยเอ๋อ
“ท่านแม่ท่านอย่าได้หลอกข้า อย่าได้หลอกตัวเองต่อไปอีกเลย !” น้ำเสียงที่ไหลผ่านลำคอของโอวหยางฮ่าวเซวียนส่งเสียงดังโครกครากราวกับหญิงชราที่กระแอมในลำคอออกมาเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมหายใจ “แม้น่าหลานเจิ้งเจ๋อมาเหยียบเยือนด้วยตนเองก็ยังไม่อาจให้การรักษาข้าได้ อาการของข้านั้นไม่อาจเยียวยารักษาได้อย่างแท้จริง…ชีวิตนี้ของข้าฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว ท่านแม่ปล่อยให้ข้าตายได้หรือไม่ ?”
***จบตอน จวนโอวหยาง***
คอมเม้นต์