หัตถ์เทวะธิดาพญายม – ตอนที่ 226 เพลิงน้ำแข็งน้ำเงินอันโชติช่วง
“เจ้าอาศัยใบหน้านี้ลวงล่อพี่ยวี่กระนั้นหรือ ? หึหึหึ ชายชาตรีไหนกันจะใช้รูปลักษณ์ของตนเองปรนเปรอผู้อื่น เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี เมื่อเจ้าไร้ซึ่งยางอายเช่นนี้ ข้าก็จะทำลายโฉมหน้าของเจ้าก่อน ต่อเมื่อเจ้าสิ้นใจจากไปแล้ว ข้าก็จะประกาศให้ผู้คนทั่วหล้าได้รับรู้ในความชั่วช้าสามาลย์ของเจ้า !”
ปลายกระบี่อันทรงพลังพุ่งตรงเข้าหาใบหน้าของเกอซี ทว่าในยามนี้ มีหรือที่เกอซีจะใส่ใจสิ่งที่ดำเนินไปโดยรอบกาย นางยังคงอยู่ในห้วงแห่งความอดทนต่อความเจ็บปวดทรมานอย่างเหลือแสน เพื่อรับบทสดสอบแห่งการเป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไป
ต้านต้านผู้ซุกซ่อนกายอยู่ใต้ชายกระโปรงของหญิงสาวจ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยสายตาเกรี้ยวกราด สายตานั้นแดงก่ำประดุจหยาดโลหิตด้วยหมายจะพุ่งเข้าไปฟาดสตรีน่าชังผู้นั้นให้ขาดใจตายไปตรงหน้าเสียให้ได้
มังกรทองตัวน้อยรีบยกมือขึ้นปิดปากต้านต้านพลางกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู “อย่าห่วง คอยดูข้าให้ดี !”
เพียงครู่ถัดมา วังจื่อจินทั่วทั้งวังกลับเกิดการสั่นไหวเล็กน้อยติดตามมาด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจที่ค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยทีละน้อย “ในวังจื่อจินแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าห้ำหั่นทำการประลองฝีมือ หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎนี้ คนผู้นั้นจะถูกขับออกนอกวังในทันที ทั้งจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสู่ด้านในวังอีก”
ปลายกระบี่ที่กำลังจะฟาดฟันลงกลางใบหน้าของเกอซีพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เฟิ่งเหลียนอิ่งชักกระบี่กลับด้วยสีหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความตื่นผวา นางหันมองหลุกหลิกไปทั่วห้อง
ภายในวังแห่งนี้ ยังคงเป็นพื้นที่โดยรอบแค่เพียง 5 จ้าง*
*1 จ้างคือ 2 เมตร 5 จ้างคือ 10 เมตร
โดยตลอดทั่วทั้งห้องไม่ปรากฏแม้เพียงร่างเงาของผู้ใด ทั้งไม่พบสิ่งผิดปกติใด
ใบหน้าของนางเอิบอาบไปด้วยความฉงนสงสัย ครั้นเมื่อคิดถึงข้อมูลที่ตนได้ตระเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์พร้อมในการมาเหยียบเยือนอาณาจักรกำบังแห่งนี้ อาจารย์ของนางได้บอกเล่าทุกสิ่งที่นางจำต้องรับรู้ยามเมื่อต้องย่างกรายเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ และนั่นย่อมรวมถึงวิธีการผ่านบททดสอบ และวิธีการทั้งหลายเพื่อให้สามารถได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าทุกชิ้นอีกด้วย ทว่าทั้งหมดทั้งมวลที่ปรากฏนั้นท่านอาจารย์กลับไม่เคยกล่าวถึงบทข้อห้ามเรื่องการต่อสู้ภายในวังจื่อจิน
ท่านอาจารย์ยังสอนพร้อมทั้งมอบอาวุธเวทอันทรงพลังเพื่อเป็นหลักประกันให้ความอุ่นใจว่าภารกิจนี้จะไม่มีทางล้มเหลวให้แก่นาง ทั้งนี้ย่อมเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าวังจื่อจินชิงตำแหน่งผู้สืบทอดตัดหน้านางไปได้
ดวงตาสีม่วงเหลือบประกายทองของเจ้ามังกรตัวน้อยเบิกกว้างด้วยความตื่นประหม่าเมื่อเขาแอบเลิกชายผ้าเกอซีขึ้นดู เกล็ดมังกรทั่วทั้งร่างน้อย ๆ พลันลุกยกชูตั้ง
สตรีผู้อยู่เบื้องหน้าสายตาในยามนี้คือผู้มีพลังฝีมือขั้นสี่ ปฐพีสะท้านสะเทือน หากเป็นตัวเขาในอดีต เพียงตวัดอุ้งมือเดียวนางคงได้แบนแต๊ดแต๋กลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
ทว่าผนึกของเขาเพิ่งได้รับการปลดปล่อย ร่างในยามนี้จึงยังเป็นเพียงมังกรทารกน้อย แค่เพียงเกอซีเขาก็ไม่อาจประมือได้ จะต้องกล่าวไปไยถึงยอดฝีมือระดับปฐพีสะท้านสะเทือนกันเล่า
เช่นนั้น เขาจึงทำได้เพียงเลียนเสียงท่านนายคนก่อนขู่นางให้ตื่นผวาหวาดกลัว เพื่อหวังจะไม่ให้นางกระทำการบุ่มบ่ามใด
และหากกลยุทธนี้ไม่อาจหยุดสตรีผู้นี้ได้ เช่นนั้น…..เช่นนั้นเขาคงไม่อาจทำอย่างไรได้ คงจำต้องทิ้งเจ้าลูกหมูสีชมพูต้วน้อย เพื่อหนีเอาตัวรอดให้ได้ก่อนเท่านั้น
นับเป็นความโชคดีที่ท้ายสุดแล้ว แววตาอันโหดเหี้ยมของเฟิ่งเหลียนอิ่งที่จับจ้องอยู่กับเกอซีพลันคลายลงอย่างไม่ใคร่เต็มใจ
“นับว่าเจ้ายังโชคดี ทว่าจงอย่าได้ใจไป วาสนาย่อมไม่เข้าข้างคนทุกเมื่อเสมอไป”
ยามนี้ สิ่งสำคัญอันยิ่งยวดอย่างที่สุดสำหรับนางนั้น คือการได้เป็นผู้สืบทอดวังจื่อจิน เพื่อสิ่งนี้ สำนักหลิวหลีได้ทุ่มเทลงไปมากมายมหาศาล ทั้งยังตระเตรียมการทุกสิ่งไว้พร้อมสรรพอย่างดีเยี่ยม พวกเขาย่อมไม่อาจยอมให้เกิดความผิดพลาดใดขึ้นได้เลย
ส่วนเจ้าหนุ่มน่ารังเกียจผู้มีฝีมือเพียงขั้นเมล็ดพันธุ์เพาะบ่มผู้นี้จะเป็นปัญหาอย่างไรได้ เบื้องหน้าต่อไป พวกเขายังสามารถหาโอกาสลงมือสังหารมันได้เสมอ
ครั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิ่งเหลียนอิ่งก็ชักกระบี่กลับพลางควักกล่องอันวิจิตรออกมาจากแขนเสื้อ
ครั้นเมื่อปากกล่องถูกเปิดออก เปลวเพลิงสีน้ำเงินพลันโพลงขึ้นมันลุกโชนโหมกระพือลอยขึ้นสู่อากาศเบื้องบนก่อนจะหลอมรวมตัวลงสู่เตาหลอมเบื้องหน้า
เปลวเพลิงสีน้ำเงินนี้คือ เพลิงน้ำแข็งน้ำเงินอันโชติช่วง เปลวเพลิงขั้นห้าซึ่งอาจารย์ของนางต้องติดตามค้นหาอยู่นานกว่าจะได้พบเจอ หลังจากได้รวบรวมสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งหมดแล้ว สมบัติชิ้นนี้จึงถูกส่งมอบให้แก่นางเพื่อช่วยเอื้อต่อการปรุงกลั่นโอสถ
หากทว่าช่างโชคร้ายยิ่งนักที่พลังฝีมือในยามนี้ของนางหาได้สูงส่งไม่ เช่นนั้นนางจึงไม่อาจหลอมข่มพลังเพลิงให้รวมลงในร่างของตนได้
ทันทีที่เปลวเพลิงสีน้ำเงินพุ่งทะยานรวมลงสู่เตาหลอม มันก็ค่อย ๆ กลืนรวมร่างเข้าร่วมกับพื้นผิวรอบตัวเตา เฟิ่งเหลียนอิ่งคิดว่า เมื่อเปลวเพลิงน้ำแข็งน้ำเงินอันโชติช่วงของตนหลอมรวมเป็นหนึ่งสู่เตาเผาแล้ว เปลวไฟนั้นจะกินปราณเพลิงขั้นต่ำของเกอซี เมื่อนั้น นางไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด บททดสอบผู้รับช่วงสืบทอดของเกอซีจะนับว่าล้มเหลวทันที และเมื่อนั้น คนผู้นั้นย่อมต้องสิ้นใจในทันที
ทว่าทุกสิ่งกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดคิด ด้วยเมื่อพลังเพลิงน้ำแข็งน้ำเงินปะทะกับเปลวเพลิงสว่างไสวสีทองที่หล่อหลอมรวมอยู่ในเตาแต่แรกแล้วมันกลับหม่นมัวหมองมืดลงไปในบัดดล
***เพลิงน้ำแข็งน้ำเงินอันโชติช่วง***
คอมเม้นต์