เหลินเสี่ยวซูนอนหลับสนิท หลังจากที่เฝ้ารออยู่ในป่าใหญ่เป็นระยะเวลานาน แต่สิ่งที่เขาจับได้มีเพียงแค่นกกระจอกตัวเดียว ถึงแม้ว่าส่วนมากแล้วเขาจะใช้เวลาไปกับการนอนราบไปกับพื้นแล้วรอคอย แต่ถ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์ก็จะรู้ดี ว่าการเฝ้ารอด้วยสติเต็มร้อยอยู่กับที่นิ่งสนิทเป็นเวลานานๆนั้นเป็นสิ่งที่เหนื่อยมากๆ
ก่อนที่เขาจะผลอยหลับไป เขาก็ย้ำเตือนเตือนกับหยานหลิวหยวนอีกครั้ง “ออกห่างพวกนักดนตรีพวกนั้นไว้นะ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความอันตรายของภูเขาจิงหรอก คนส่วนมากถ้าเป็นไปได้ก็เลือกที่จะเลี่ยงเส้นทางนั้นกันทั้งนั้นแหล่ะ แต่พวกเขากลับกำชับมาว่าให้ไปเส้นทางนั้น สัญชาติญาณของฉันมันบอกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่”
“ได้เลยพี่” หยานหลิวหยวนพยักหน้าอย่างว่าง่าย “เข้าใจแล้ว”
ความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนจะดูเข้าขากันเป็นทีมมากแค่ไหน แต่พวกเขาเองก็พึ่งจะรู้จักกันเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง ตั้งแต่ตอนนั้น เหลินเสี่ยวซูก็ตัดสินใจปกป้องหยานหลิวหยวนตัวน้อย เพราะเขาดันไปพบเข้ากับความลับของหยานหลิวหยวนอย่างไม่ตั้งใจเขา อีกอย่าง อาการปวดหัวของเขานั้นสร้างปัญหาให้เขามานานมากแล้ว เขาต้องการใครซักคนมาคอยคุ้มกันให้เขาตอนกลางคืน
ตอนนั้น เหลินเสี่ยวซูบอกเหตุผลกับหยานหลิวหยวนว่าที่พวกเขาช่วยเหลือรวมกลุ่มกันนั้น เพียงเพราะว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เหตุผลที่ว่านั้นมันก็เริ่มจางลงซะจนไม่ชัดเจนว่าที่พวกเขาสนิทสนมเป็นเพื่อนพี่น้องกันนั้น ยังเป็นเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ หรือเป็นเพราะมีความรู้สึกผูกพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันแน่
หยานหลิวหยวนเองแท้จริงแล้วก็เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ คนหนึ่งเมื่ออยู่ข้างนอก เขาจะเชื่องเป็นแกะหลงทางต่อหน้าของเหลินเสี่ยวซูเท่านั้น
บางครั้ง หยานหลิวหยวนสามารถพูดได้เต็มปากเลยด้วยซ้ำว่าที่เขามีชีวิตรอดอยู่ได้ เป็นเพราะว่าเหลินเสี่ยวซูเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเขาไว้ แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเหลินเสี่ยวซูก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ สิ่งที่เหลินเสี่ยวซูอยากจะรู้มากที่สุด คือเกิดอะไรขึ้นภายในจิตใจของเขากันแน่ เขาเฝ้ารออยู่นานแสนนานคืนนั้น เพราะเขาอยากที่จะให้ “อาการป่วย” ของเขามันกำเริบขึ้นมา แต่สุดท้ายความสับสนก็ไม่เกิดกับเขาซักที
ดูเหมือนว่า วังที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ก่อนหน้านี้จะหลบซ่อนตัวเองตลอดเวลาตอนที่เขาเกิดอาการสับสนขึ้น แต่ตอนนี้ เหมือนกับว่าหมอกทมิฬแห่งความสับสนจะจางลงไปแล้ว
เหลินเสี่ยวซูจึงอยากจะเห็นจริงๆว่าภายในวังนั้นมันมีอะไรอยู่กันแน่
ทางด้านหยานหลิวหยวนเองพอเห็นเหลินเสี่ยวซูนอนลงบนเตียงข้างๆกับเขาแล้ว เขาก็หยิบมีดกระดูกของเขาออกมาเงียบๆก่อนจะเดินลงไปนั่งตรงทางเข้าของกระท่อม ตรงจุดที่มีประตูอยู่ ตอนนี้ก็ใกล้เข้าช่วยฤดูใบไม้ร่วงแล้วทำให้อากาศข้างนอกหนาวเย็นเล็กน้อย
ตอนนี้สายฝนได้หยุดลงแล้ว
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากนอกประตูกระท่อม มันเป็นเสียงรองเท้าเหยียบย้ำไปบนถนนเปื้อนโคลนหลังฝนตกทำให้เกิดเสียงลื่นๆอันเป็นเอกลักษณ์
ใครคนนั้นตรงเข้ามาทางประตูกระท่อมก่อนที่จะแง่มประตูออก แต่ถึงอย่างก่อนที่ผู้มาเยือนคนนั้นจะได้เปิดประตูออกได้ มีดกระดูกคมกริบของหยานหลิวหยวนก็พุ่งจ่อเข้าที่คอหอยของคนๆนั้นทันที
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามานั้นเป็นผู้หญิงสวยที่มีใบหน้าเข้ารูป ยืนอยู่ข้างนอกกระท่อม
หยานหลิวหยวนขมวดคิ้วตอนที่เห็นหน้าของผู้ที่เปิดประตูเข้ามา นางไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่อย่างใด เธอพักอาศัยอยู่ข้างเคียงนี่เอง
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มทั้งๆที่มีดจ่อคอ “หลิวหยวน ยังไม่หลับอีกเหรอ? เสี่ยวซูอยู่ไหนละ? ฉันได้ยินมาว่าเขากลับมาแล้วนะ”
“เขาหลับไปแล้วน่ะพี่เสี่ยวหยู” หยานหลิวหยวนยิ้มตอบกลับ “ถ้ามีอะไรอะไรก็บอกผมไว้ได้เลยนะครับ”
สีหน้าของเสี่ยวหยูดูผิดธรรมชาติไปเล็กน้อย “กลับมารอบนี้เขาบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“มือเขาโดนนกกระจอกจิกนิดหน่อย แต่พี่เสี่ยวหยูเองก็ไม่เห็นจะต้องมาเป็นห่วงเป็นไยอะไรพี่ชายของผมขนาดนั้นเลยนี่ครับ เพราะพี่เองก็แก่กว่าพี่เสี่ยวซูแค่ 8 ปีเท่านั้นเอง” หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูนอนหลับไปแล้ว การปฏิบัติตัวของหยานหลิวหยุนโตขึ้นกว่าอายุอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับคนนอก ไม่ว่าเขาจะรู้จักคน ๆ นั้นดีแค่ไหน หรือไม่ว่าคนนอกจะหว่านล้อมยังไง เขาก็ยังคงไม่ลดมีดลงจากคอของเธออยู่ดี
เสี่ยวหยูหยิบเอาบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจากกระเป๋าที่เธอพอไปไหนมาไหนด้วยเสมอ มันเป็นบุหรี่ม้วนที่มักจะมีจำหน่ายแค่ในเหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้า หรือสถานที่อื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของป้อมปราการ
แรงงานร่างกายดีๆหลายคนไปทำงานไม่ใช่แค่เพื่อเงินหรืออาหาร แต่ก็เพื่อบุหรี่ด้วยส่วนนึง เพราะพวกเขาจะได้บุหรี่กลับมา 1 ตัวต่อการไปทำงาน 1 วัน
เพราะงั้นในค่ำคืนหลังเลิกงาน เราจึงมักจะเห็นกลุ่มคนจำนวนมากมารวมตัวกันสูบบุหรี่ เหลินเสี่ยวซูเคยอธิบายให้หยานหลิวหยวนฟังอยู่ว่าบุหรี่พวกนี้เหมือนจะผสมไปด้วยสารเสพติดบางอย่างด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เห็นชัดๆเลยว่า เสี่ยวหยูนั้นไม่ได้เอาบุหรี่นั้นมาจากที่การทำงานพวกนั้นเลย
เสี่ยวหยูจุดบุหรี่ขึ้นมาก่อนจะดูดเข้าไป 2 ฟอด เธอเหมือนกับจะคิดอะไรบางอย่าง “โถ่เอ้ย ฉันก็เห็นพวกนาย 2 คนเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆของฉันทั้งนั้นล่ะ”
“เหรอครับ” หยานหลิวหยวนถามสวนทันที “จะว่าไปแล้ว พี่เสี่ยวหยูเป็นหวัดเหรอครับ?”
เสี่ยวหยูตะลึงกับคำถามเล็กน้อย “ก็นิดหน่อยนะ ทำไมล่ะ เสียงฉันดูแปลกไปเหรอ?”
“เปล่าหรอกครับ” หยานหลิวหยวนส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ “พอดีผมเห็นควันบุหรี่มันพ่นออกมาจากรูจมูกแค่ข้างเดียวน่ะครับ” (ปล.การที่จมูกตันข้างเดียวอาจหมายถึงการใช้ยาเสพติดชนิดโคเคนด้วย)
เสี่ยวหยูพูดไม่ออก
ด้วยเหตุผลบางอย่างเสี่ยวหยูรู้สึกได้ทันทีว่าหยานหลิวหยวนนั้นดูจะไม่เป็นมิตรกับเธอเอามากๆเลย
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนแล้วกัน” เสี่ยวหยูพูด “ถ้าพี่ชายของนายตื่นแล้วช่วยบอกเขาทีละกันนะว่าฉันมาหาหน่ะ”
“ได้เลยครับ” หยานหลิวหยวนยิ้ม “เดี๋ยวผมจะบอกให้นะครับ”
หลังจากที่เสี่ยวหยูจากไปแล้ว เหลินเสี่ยวซูก็พูดขึ้นมาจากบนเตียงด้านหลังของหยานหลิวหยวน “อย่าไปแกล้งพี่เสี่ยวซูแบบนั้นอีกล่ะ นางเองก็คงจะเสียหน้าแย่เลย”
“นางไม่ใช่คนดีหรอกนะพี่” หยานหลิวหยวนพูด “อีกอย่าง ที่นางเข้ามาตอแยกับพี่แบบนี้ก็เพราะว่านางรู้ว่าพี่พึ่งจับนกมาได้ตั่งหากล่ะ”
“แล้วแถวนี้มันมีคนดีซักที่ไหนกันล่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “ยุคสมัยนี้คนดีล้วน 100% เอาตัวรอดบนโลกนี้ไม่ได้หรอก ทุกคนต่างถูกชีวิตกฏขี่บังคับให้เอาตัวรอดกันทั้งนั้นล่ะ ที่เราต้องทำก็แค่รักษาระยะห่างจากเธอไว้เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปตอกย้ำอะไรนางมากนักหรอก”
สาวบริสุทธิ์ที่เป็นคนดีไม่มีทางอยู่รอดในเมืองนี้แน่ๆ
เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะพูด “แถมนางก็ไม่ได้บอกว่าชอบฉันด้วย อีกอย่าง นายแน่ใจเหรอว่านางมาตามตื้อฉันเพราะว่าฉันพึ่งได้นกกระจอกมาน่ะ? แน่ใจเหรอไม่ใช่ว่าเพราะความหล่อของฉันน่ะ”
“พี่ ทุกคนไม่ได้ล้างหน้ามาเป็นเดือนแล้วนะ หน้าตาแต่ละคนมันก็เหมือนกันหมดนั้นล่ะ” หยานหลิวหยวนกรอกตามองเหลินเสี่ยวซู “แล้วพี่ไม่นอนรึไง ทำไมยังตื่นอยู่อีกล่ะ?”
“แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ” เหลินเสี่ยวซูพูดแถอธิบาย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่เหลินเสี่ยวซูยังไม่นอนนั้นเพราะว่าเขาตั้งใจจะออกไปสำรวจความลับของวังภายในจิตใจของเขาตั่งหาก
วังในจิตของเขานั้นเป็นเหมือนปราสาททรงกลมที่มีกำแพงสูงเรียงรายไปด้วยชั้นไม้เก่าๆ ทำให้ดูคล้ายกับพวกโชว์รูมสินค้า แต่ถึงอย่างนั้น ภายในตู้โชว์พวกนั้นกลับถูกบดบังไปด้วยหมอกทมิฬสีดำสนิท
ใจกลางของห้องนั้นมีโต๊ะเพียงตัวเดียว พร้อมด้วยเครื่องพิมพ์ดีดทองเหลืองวางอยู่ด้านบน มันเป็นเครื่องพิมพ์ดีดเก่าแก่ที่จะทำเสียงแกร๊กๆเสียงดังลั่นทุกครั้งที่กดพิมพ์ลงไป และมันเป็นสิ่งที่สูญหายไปในกาลเวลานานมากแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์หายนะเข้า
บนแต้นพิมพ์นั้น มีปุ่มพิมพ์ดีดเพียงแค่ 24 ตัวอักษรเท่านั้น แต่ละปุ่มก็จะสลักตัวอักษรเอาไว้ เช่น 允กง , 正เฉิ้ง, 诚เฉิง, 实ฉี และอื่นๆอีกมากมาย
หากจะพูดกันตามธรรมเนียมแล้วคำแต่ละคำนั้นต่างเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก
แต่ดูเหมือนกับว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้จะถูกป้อนไปด้วยกระดาษที่ทำจากแผ่นหนังจำนวนไม่จำกัด และดูเหมือนมันจะสามารถขยับได้เองโดยที่ไม่ต้องมีคนไปกดแป้นพิมพ์เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้บนกระดาษแผ่นหนังนั้น มีคำ 2บรรทัดที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อเที่ยงที่ผ่านมา “ภารกิจ: จงมอบสิ่งที่จับมาได้ให้คนอื่น ภารกิจสำเร็จ รางวัล ได้รับตำราลอกเรียนทักษะพื้นฐาน สามารถใช้ตำรานี้เพื่อเรียนรู้ทักษะของคนอื่นได้”
เขาตอบไม่ได้เลยว่าตอนนี้เขากำลังฝันเฟื้องจินตนาการหรือมันเป็นเรื่องจริงกันแน่ ตามเรื่องเล่าตำนานจากโลกก่อน คนบางคนสามารถสร้าง วังวนความทรงจำขึ้นมาแล้วสร้างโลกแฟนตาซีของตนเองขึ้นมาในนั้น
แต่เหลินเสี่ยวซูกลับรู้สึกว่า วังของเขาแห่งนี้มันดูต่างออกไปจากคำอธิบายวังวนความทรงจำที่เขาเคยรู้จัก
ทำไมเขาถึงต้องมอบสัตว์ที่เขาจับมาได้ให้คนอื่นด้วยล่ะ? หรือว่าเจ้าแป้นพิมพ์ดีดนี่อยากจะให้เขาเป็นคนดีงั้นเหรอ?
จะให้เป็นคนดีในโลกที่ศีลธรรมกลายเป็นเรื่องหลอกเด็กเนี่ยนะ?
ไม่มีทางซะหรอก
ในตอนนั้นเองที่จิตของเขายืนอยู่ตรงใจกลางของวังที่แสนกว้างใหญ่ เขามองขึ้นยัง “ตู้โชว์” ทั้งหลายรอบตัวของเขา ราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างล่องลอยอยู่ภายในตู้โชว์นั้น เพียงแต่มันถูกหมอกทมิฬขวางกั้นไม่ยอมให้เหลินเสี่ยวซูเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้
แต่ละตู้โชว์นั้นเชื่อมต่อกับส่วนโดมของวัง ทำให้มันดูเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ขนาดยักษ์ เหลินเสี่ยวซูเดินตรงเข้าหาชั้นวางหนึ่งก่อนจะพยายามเอื้อมไปหยิบของที่อยู่ภายในหมอกทมิฬ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถใช้มือเจาะทะลุหมอกทมิฬไปได้เลย
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังที่เขาไม่อาจใช้ได้ในตอนนี้
ถ้าเขาอยากจะรู้ว่าที่นี่ วังแห่งนี้มีตัวตนจริงไหม ทางเดียวที่จะรู้ได้คือใช้พลังของวังเพื่อพิสูจน์ว่ามันมีจริง
คอมเม้นต์