The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ – ตอนที่ 21 จุดยืนในครอบครัว

อ่านนิยายจีนเรื่อง The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์ ตอนที่ 21 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ข่าวของวันนี้มีแต่เรื่องที่ไม่คาดคิดเต็มไปหมด ทำให้ทุกคนในเมืองนั้นตื่นตูมกันไปใหญ่ ถึงจะเป็นในยามคำคืน แต่ไม่มีใครเลยที่อยู่ในบ้านของตัวเอง ทุกคนต่างออกมาเตรียมความพร้อมหารือกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เอาเข้าจริงแล้วเหตุการณ์เตาหลอมโรงงานระเบิดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะยังไงเตาหลอมของโรงงานเองก็ไม่ได้ระเบิดครั้งนี้ครั้งแรก เหตุเพราะมันถูกใช้งานอย่างหนักโดยขาดการดูแลรักษามาเป็นปี

แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคราวนี้ คือพวกฝูงหมาป่าต่างหาก เดิมทีแล้วพวกฝูหมาป่านั้นไม่กล้าที่จะเข้ามาโจมตีโรงงานที่มีมนุษย์อยู่เต็มไปหมดหรอก เกือบทุกโรงงานนั้นมีคนงานอยู่มากกว่า 1000 คน และจะเดินกันเป็นหนอนเต็มถนนนอกเมืองกลับเข้ามาในเมืองเมื่อเลิกงานแล้ว

โรงงานที่ว่านั้นตั้งอยู่นอกตัวเมือง ในขณะที่คนงานหลายคนเลือกที่จะกลับเข้ามานอนในเมืองยามค่ำคืน บางคนก็เอาสะดวกนอนในหอพักที่โรงงานจัดเตรียมไว้ให้คนงาน คนงานพวกนี้จะทำงานเป็นกะ โดยแบ่งออกเป็น 3 กะด้วยกัน

แต่ฝูงหมาป่ากลับกล้าถึงขนาดบุกเข้าโจมตีแหล่งที่มั่นของมนุษย์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับป้อมปราการขนาดนี้ มันถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมากทีเดียว

ตามคำกล่าวของทหารที่ออกเดินทางไปพร้อมกับคณะวงดนตรี ป้อมปราการ 113 นั้นตั้งอยู่ใจกลางของวงล้อมของป้อมปราการอื่นๆ และการที่อยู่ในวงล้อมนั้นทำให้ที่นี่กลายเป็นป้อมปราการที่ปลอดภัยจากอันตรายในระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับที่อื่น ตอนแรกทางป้อมปราการก็ส่งกองทหารไปประจำการที่โรงงานอยู่ แต่พอทุกคนเริ่มรู้สึกว่าไม่มีสัตว์ป่าบุกเข้าโจมตีโรงงาน พวกเขาเลยถอนกำลังทหารออกจากโรงงาน แล้วทิ้งปืนไว้ให้ผู้จัดการโรงงานเพียงไม่กี่กระบอกเผื่อฉุกเฉินเท่านั้น

ค่ำคืนนั้นเองที่ประตูป้อมปราการได้ถูกเปิดออก เสียงกรุกกรักดังขึ้นมาจากด้านในประตูทันทีที่เปิด เสียงนั้นเป็นเสียงของทหารนับหลายร้อยนาย เคลื่อนทัพพร้อมอาวุธปืนครบมือเตรียมออกจากเมืง

พวกเขาคือกองทหารส่วนตัวของป้อมปราการที่ 113 หรือถ้าจะให้พูดให้ถูกพวกเขาคือกองทหารส่วนตัวที่ควบคุมโดยสมาคมฉิง กลุ่มสมาคมที่อยู่เบื้องหลังป้อมปราการที่ 113

อาจารย์ฉางจิงหลินเคยหลุดปากพูดออกมาอยู่ว่าสมาคมฉิงนี่หล่ะคือผู้ควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังป้อมปราการที่แท้จริง อำนาจของพวกเขาอยู่เหนือชีวิตของประชาชนรากหญ้า พวกเขาครอบครองอาวุธที่สามารถนำไปใช้ต่อสู้ เผชิญหน้ากับภยันตรายจากโลกภายนอกได้ ด้วยเงินและอำนาจคลังแสงอาวุธที่พวกเขามีทำให้พวกเขาสามารถควบคุมได้ทั้งป้อมปราการจนถึงทุกวันนี้

นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนเห็นกองทหารจำนวนมากมายขนาดนี้ออกมาจากป้อมปราการ หยานหลิวหยวนซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมแอบเฝ้ามองกองทหารพวกนั้นเคลื่อนทัพออกจากเมือง ก่อนที่เขาจะพึมพัม “พี่ ที่พวกเขาแบกไว้ที่หลังพวกนั้นใช่ปืนรึเปล่า”

ปืนสีดำพวกนั้นดูน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงอย่างนั้น เหลินเสี่ยวซูกลับไม่รู้สึกตกใจเลยที่ได้เห็นปืนพวกนั้น

ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกอีกด้วย ว่าถ้าเกิดปืนพวกนั้นมาอยู่ในมือของเขาละก็ เขาก็สามารถใช้มันยิงได้เข้าเป้าทันที

กองทหารที่เดินทัพไปนั้นไม่ได้เคลื่อนทัพด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยเลยซักนิด กองทัพนั้นนำโดยยานยนต์วิบากก็จริงแต่ขบวนทัพของทหารราบที่เดินตามมานั้นเละเทะมาก จะเรียกว่าไร้ระเบียบสุดๆเลยก็ได้ ใครบางคนในกองทัพบ่นขึ้นมา “ก็แค่มีคนตายที่โรงงานเองไม่ใช่เหรอ ทำไมเราไม่ออกเดินทางกันไปตอนพรุ่งนี้เช้าล่ะ ทำไมเราต้องไปฆ่าพวกหมาป่ากันคืนนี้ด้วย?”

“หุบปากไปเหอะหน่า นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบนลงมานะ” ใครบางคนพูดแล้วมองหน้าเขา

“แกจะไปกลัวบ้าอะไรวะ ไอ้พวกเบื้องบนที่เอาแต่นั่งอยู่ในออฟฟิศไม่มาได้ยินเราหรอก ป่านนี้พวกมันคงไปนอนกกผู้หญิงอยู่ละมั้ง” ชายคนนั้นบ่นอุบอิบจากนั้นก็จุดบุหรี่ม้วนของตัวเองขึ้นมา

เหลินเสี่ยวซูได้กลิ่นเหม็นของบุหรี่แปลกๆจากพวกทหารแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เขาขมวดคิ้วแล้วเริ่มไม่ไว้ใจกองทหารของป้อมปราการมากขึ้นทุกที

ในตอนนั้นเอง ทหารคนที่จุดบุหรี่อยู่ในกองทหารก็หันมาเห็นเหลินเสี่ยวซูกับหยานหลิวหยวนที่กำลังแอบมองพวกเขาอยู่พอดี เขาเลยตะคอกด่า “เห้ย ไอ้เด็กเวร มองอะไรของพวกแกวะ รู้เหรอว่าไอ้เนี่ยคืออะไร? ไสหัวไปซะ ถึงฉันจะเอาให้พวกแกก็ใช้มันไม่เป็นหรอก”

เหลินเสี่ยวซูเปิดม่านออก เขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดส่วนหลังของประโยคอย่างแรง

ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขารู้สึกได้ว่าทหารพวกนี้อาจจะไม่ได้ยิงปืนเก่งซะด้วยซ้ำ เพราะร่องไหล่ด้านขวาของพวกทหารที่ควรจะเป็นจุดรับแรงดีดของปืนยาวนั้นไม่มีท่าทีรูปร่างลักษณะที่เป็นหลักฐานของการฝึกซ้อมการใช้ปืนมาเลยแม้แต่น้อย

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เหลินเสี่ยวซูยังไม่รู้ก็คือ อาวุธปืนในสมัยนี้กลายมาเป็นทรัพยากรล้ำค่าภายในป้อมปราการ ปรกติแล้ว เจ้าหน้าที่ในกองทัพจะไม่ปล่อยให้พวกทหารเสียกระสุนไปฝึกซ้อมโดยสูญเปล่าหรอก ถ้ามีทุนไปลงกับอะไรแบบนั้น พวกทหารคงเลือกที่จะไปสังสรรค์กินเหล้าเคล้านารียังจะดีกว่า

เหล้าแอลกอฮอลทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามนอกป้อมปราการ แต่ในป้อมปราการยังคงหากินได้อยู่

หยานหลิวหยวนสงสัย “พี่ ทำไมเหมือนกับว่าพี่รู้เรื่องเกี่ยวกับปืนของพวกเขาจัง?”

เหลินเสี่ยวซูหันกลับมามองหน้าแล้วพูด “อย่าถามมากเลยน่ะ”

หยานหลิวหยวนเริ่มบ่น “นี่ฉันมีจุดยืนอยู่ในครอบครัวนี้บ้างไหมเนี่ย”

เหลินเสี่ยวซูสะอึกนิดหน่อยก่อนจะตอบแบบไม่ใยดี “อย่าคิดเรื่องนี้เยอะเลย หน้าที่ของนายคือการอยู่ให้รอดเท่านั้นล่ะ”

หยานหลิวหยวนพูดไม่ออก

เมื่อพวกเขาเห็นว่ากองทัพเคลื่อนพลไปได้ห่างออกไปเรื่อยๆ เหลินเสี่ยวซูก็เริ่มออกเดินจากกระท่อมแล้วพูดกับหยานหลิวยวน “คืนนี้ไปอยู่ในกระท่อมกับพี่เสี่ยวหยูซะ แล้วค่อยกลับมาตอนที่ฉันกลับมาแล้ว เข้าใจไหม”

“พี่จะไปทำอะไรน่ะ?”หยานหลิวหยวนถามด้วยความตกใจ

แต่คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบ เหลินเสี่ยวซูเปิดประตูกระท่อมแล้วเดินจากไป หายเข้าไปในฝูงชนมากมายบนถนน ไม่มีใครสังเกตุเห็นเหลินเสี่ยวซูเลยซักคน

ปรกติแล้วไม่มีใครกล้าออกมาจากบ้านในยามค่ำคืนหรอก แต่วันนี้ทุกคนกลับออกมาจากบ้านอยู่ข้างนอกราวกับกำลังเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ยังไงอย่างงั้น

เหลินเสี่ยวซูค่อยๆเดินไปตามทางท่ามกลางความมืดมิด หลังจากที่ออกจากเขตใจกลางเมืองได้แล้ว เขาก็รีบมุ่งหน้าต่อไป แสงจันทร์ในยามค่ำคืนนี้ไม่ได้ส่องสว่างมากนัก แต่เหลินเสี่ยวซูที่เดินเข้าออกเมืองเป็นประจำเกือบทุกวันตลอดหลายปีมานี้ทำให้เขาสามารถหลับตาเดินเข้าออกเมืองยังได้เลย

กองทหารจากป้อมปราการใช้เส้นทางหลักในการเดินออกจากเมืองในขณะที่เหลินเสี่ยวซูเลือกใช้เส้นทางลัดคู่ขนาดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บังเอิญไปเจอกัน

ที่เขาออกตามพวกทหารพวกนี้มานั้น เขามาเพื่อที่จะหาโอกาส แต่โอกาสที่ว่ามันคืออะไรนั้นเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ

แต่ที่แน่ๆคือมันมีปืนมาเกี่ยวข้องแน่ๆ

เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งที่ดึงดูดเหลินเสี่ยวซูให้เดินมาถึงนี้ส่วนนึงก็เพราะปืนนี้ล่ะ

เหลินเสี่ยวซูได้เรียนรู้ทักษะการใช้อาวุธปืนขั้นสูงมากแล้ว นั้นทำให้เขารู้ดีว่าอาวุธปืนมันสำคัญแค่ไหนในยุคนี้ กองทหารที่ไปกับพวกวงดนตรีเองเคยพูดไว้เองด้วย แค่ยิงปืนขึ้นฟ้า พวกหมาป่าก็ตกใจกลัวจนหนีเตลิดไปหมดแล้ว

เหลินเสี่ยวซูเคยเผชิญหน้ากับพวกหมาป่ามาก่อน และเขารู้ดีว่าพวกมันอันตรายมากแค่ไหน แต่สัตว์อันตรายสุดโหดแบบนั้นก็ยังกลัวเสียงปืนงั้นเหรอ?

เหลินเสี่ยวซูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าพวกทหารพวกนี้ถ้าไปเผชิญหน้ากับหมาป่าจริงๆจะเกิดอะไรขึ้น แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเหลินเสี่ยวซูนั้น ไม่ใช่ทหารหรือหมาป่า แต่เป็นโรงงานตั่งหาก คนในเมืองต่างรู้ดีว่าผู้จัดการโรงงานเองก็มีปืนประจำการฉุกเฉินอยู่เหมือนกัน

ถ้าอิงตามคำบอกเล่าของคนที่วิ่งหนีออกมาจากโรงงานได้ เขาบอกว่าคนที่หลงเหลืออยู่ในนั้นตายไปหมดแล้ว เหลินเสี่ยวซูเองก็สงสัยมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกทหารบอกเองว่าหมาป่ากลัวเสียงปืนหรอกเหรอ? ถ้างั้น ผู้จัดการโรงงานก็น่าจะไล่พวกหมาป่าไปได้ซิ

บางทีพวกเขาอาจจะไม่คิดว่าพวกหมาป่าจะบุกเข้ามากว่าจะรู้ตัวก็ไปหยิบปืนช้าไปแล้ว หรือไม่บางทีพวกหมาป่าก็อาจจะลอบโจมตีคนยิงก่อน เหตุผลมีอีกเป็นหมื่นล้าน แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว และความจริงนั้นก็ยังรวมถึงเรื่องที่ว่ายังมีปืนอยู่ในโรงงานด้วย

เหลินเสี่ยวซูเลยรีบวิ่งไวที่สุดที่ทำได้ตรงไปยังโรงงาน เขาคุ้นชินกับทางเดินระหว่างเมืองไปโรงงานดีกว่าทหารพวกนั้นแน่นอน อีกอย่าง พวกทหารกำลัง “เดินเคลื่อนทัพ” ส่วนเหลินเสี่ยวซูนั้นกำลังวิ่งเต็มฝีเท้า

ทันใดนั้นเอง เสียงปืนก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ตามมาด้วยเสียงรัวลั่นไกกระสุนปืนดังขึ้นตามมาอีกเป็นชุด แทรกด้วยเสียงร้องโหยหวนของคน

เหลินเสี่ยวซูหันหลังกลับ แล้วมองไปยังต้นทางของเสียง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน เสียงปืนพวกนั้นดังมาจากกองทหาร ที่น่าจะดันไปเจอเข้ากับฝูงหมาป่า พวกทหารยังโดนโถมเข้าโจมตีอยู่ดีทั้งๆที่ยิงปืนไปแล้วก็ถาม พวกเขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพวกหมาป่ากลัวเสียงปืน? ไม่ใช่พวกเขาเหรอที่เป็นคนบอกว่าพวกสัตว์ป่ามีสัญชาติญาณหลีกหนีจากอันตรายน่ะ?

วันนี้ เหลินเสี่ยวซูได้ความรู้ใหม่กลับไป: ถึงแม้ว่าสัตว์ป่าจะวิวัฒนาการไปมากน้อยแค่ไหน แข็งแกร่งตัวใหญ่มากขึ้นเพียงใด พวกมันก็ยังไม่อาจสามารถเอาชนะสัญชาติญาณดั้งเดิมของพวกมันได้ กระต่ายยังต้องกินหญ้า หมาป่าหวาดกลัวเสียงกระสุนปืน

ยกเว้นแต่ว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด