ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 18 กลับเอง
ตอนที่ 18 กลับเอง
ทำไมเขาถึงปฏิบัติต่อเธอราวกับว่าเธอเป็นหมอนข้างอย่างนี้!
โธ่เอ้ย! เขาคงไม่รู้สินะว่าจิตวิญญาณของเธอเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบแปดปี!
จากนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้น!
มันเป็นเสียงของนาฬิกาสไตล์ตะวันตกในยุคกลางบนผนังนั่นเอง…โดยมันดังขึ้นสองครั้ง
และเมื่อหยางซือเหมยเงยหน้าขึ้นมอง…
อุ๊ตะ…สองนาฬิกาเหรอ?! แล้วมันเป็นเวลาบ่ายสองโมงหรือตีสองกันแน่เนี่ย? จากนั้นเธอก็หันไปมองที่หน้าต่าง ทำให้เห็นไฟถนนที่สาดส่องผ่านเข้ามาทางมู่ลี่
หลังจากที่ไม่ได้กลับบ้านเลยทั้งวัน ดังนั้นตอนนี้ทางครอบครัวของเธอคงจะต้องเป็นห่วงแน่ จึงร้องตะโกนออกมาทันทีว่า
“ปล่อยฉันนะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว!”
เด็กน้อยกล่าวพร้อมกับพยายามใช้ความเข้มแข็งที่มีผลักร่างของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหล่าออกไปอย่างแรง
“เธอมีบ้านด้วยเหรอ?”
ชายหนุ่มรูปงามถามด้วยดวงตาสีดำจดจ่อที่เธอ
“อ้าว…ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ? ฉันไม่ได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่นะ..จะได้ไม่มีบ้าน”
หยางซือเหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองแต่เมื่อได้ยินแล้วกลับรู้สึกขบขัน
“อ้าว! ฉันคิดว่าเธอเป็นเด็กจรจัดเสียอีก ก็เลยพาเธอมาด้วย”
เมื่อเห็นความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลาและบอบบางของเด็กหนุ่ม หยางซือเหมยจึงตกใจมากและรีบเอ่ยถามว่า
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน?”
“โรงแรมเอซิตี้แกรนด์ไฮแอท”
และคำตอบนี้ก็ทำให้หยางซือเหมยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขณะที่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า โชคดีที่ยังอยู่ในเมืองนี้เพราะมันอยู่ห่างจากหมู่บ้านของเธอประมาณสิบกว่ากิโลเมตร และหากนั่งรถกลับไปก็คงจะใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น
แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า ตอนนี้มันดึกมากแล้วจึงไม่มีรถโดยสารให้บริการ แล้วตอนนี้คนในครอบครัวของเธอจะเป็นห่วงจนออกตามหาตัวเธอหรือเปล่า?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของเธอก็เริ่มปั่นป่วนและเกิดความรู้สึกวุ่นวายในหัวใจจึงตะโกนออกมาด้วยความโกรธเคืองว่า
“ทั้งหมดเป็นความผิดของคุณ! ทำไมคุณถึงต้องพาฉันมาไกลขนาดนี้ด้วย?”
หนุ่มหล่อจ้องมองเธอโดยไม่ได้กล่าวอะไร และทำเพียงแค่กอดร่างเล็ก ๆ นั้นพร้อมกับกล่าวว่า
“นอนต่อเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง..เดี๋ยวพอเช้าฉันจะส่งเธอกลับบ้านเอง”
ในปี 1992 ตามต่างจังหวัดยังถือว่าล้าหลังมากและยังไม่มีบริการรถเช่าทุกประเภท โดยการเดินทางของผู้คนส่วนใหญ่จะใช้รถประจำทางหรือจักรยาน ทำให้หยางซือเหมยที่ต้องการจะกลับบ้านในตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรอเวลา
และตอนนี้มันเป็นเวลาเพียงแค่ตีสองซึ่งมันเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะรุ่งสาง เธอจึงคิดว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย
แต่เธอจะปล่อยให้เขากอดตัวเองในขณะที่นอนหลับได้อย่างไร?
“ปล่อยฉัน! ฉันอยากนอนคนเดียว”
หยางซือเหมยกล่าวพร้อมกับผลักร่างของเขาอีกครั้ง
“ไม่ไป! ฉันชอบทำแบบนี้”
“แต่ฉันไม่ชอบแบบนี้!” จากนั้นหยางซือเหมยก็เริ่มคร่ำครวญ
“คุณจะ…”
หลังจากที่หนุ่มหล่อกล่าวเช่นนั้นแล้วเขาก็หลับตาลงพร้อมกับมีเงาดำจาง ๆ ของขนตายาวคู่นั้นปรากฎบนใบหน้าที่สามารถทำให้สาว ๆ รู้สึกอิจฉาได้ และจากนั้นไม่นานเสียงลมหายใจที่ค่อนข้างดังก็ก้องเข้ามาในหู ซึ่งรู้ได้ในทันทีว่าเขาได้หลับไปอีกครั้ง
ทำให้หยางซือเหมยแหลับตาลงด้วยความรู้สึกสบายใจ เพราะอันที่จริงแล้วการได้กอดกันแบบนี้มันสบายมาก และเธอก็ค่อนข้างชอบกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยออกมาจากตัวเขา ดังนั้นเธอจึงดิ้นรนเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหลับไปอย่างรวดเร็ว
***
และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มีเพียงเธอเท่านั้นที่นอนอยู่บนเตียง เด็กน้อยจึงรีบลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ตาและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่เห็นร่างของเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาคนนั้นแล้ว
จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปที่นาฬิกา ซึ่งพบว่ามันเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว!
เธอต้องกลับไป! เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงไปเข้าห้องน้ำด้วยความหวังว่าจะได้พบชายหนุ่ม แต่ก็ไม่เห็นเขาและไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนด้วย
กลับเองก็ได้!
แต่ในขณะที่เธอเปิดประตูเพื่อที่จะออกจากห้องนั้น กลับเห็นผู้หญิงที่สวมเครื่องแบบของโรงแรมยืนรออยู่ที่บริเวณหน้าห้องเดินมาหาเธอและก้มลงมาหาพร้อมกับจับไหล่ของเด็กน้อยพลางกล่าวว่า
“หนูน้อย พี่ชายของหนูสั่งให้พี่พาหนูไปทานอาหารเช้าแล้วค่อยส่งหนูกลับบ้าน ตามมาสิจ๊ะ”
หยางซือเหมยไม่ได้ปฏิเสธว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พี่ชายของตนเอง โดยที่เธอรีบเอ่ยถามในทันทีว่า
“เขาไปไหนคะ?”
“เขาบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องไปทำ”
หยางซือเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่คิดว่าต้องการกลับบ้านให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าคนทางบ้านจะเป็นห่วง
“งั้นฉันจะกลับแล้ว”
“หนูจะไม่ทานอาหารเช้าก่อนเหรอจ๊ะ?”
“ขอซาลาเปาซักสองสามลูกก็พอ!”
“อึม…ก็ได้”
และขณะที่พนักงานโรงแรมคนนั้นพยายามจะจับมือของเด็กน้อย เธอก็รีบสะบัดหนีอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกรำคาญ เพราะเธอคิดว่า ตัวเองไม่ใช่ลูกของผู้หญิงคนนี้แล้วจะมาจูงมือเพื่ออะไร?
ทำให้พนักงานของโรงแรมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็กำชับเเด็กน้อยว่าให้เดินตามหลังมาและห้ามแวะที่ไหนเด็ดขาด หยางซือเหมยจึงพยักหน้าตอบรับ
จากนั้นเมื่อเด็กน้อยทานซาลาเปาไปหลายลูกจนรู้สึกอิ่ม ในที่สุดพนักงานของโรงแรมก็พาเธอส่งขึ้นรถบัสเพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านหยาง
และขณะที่นั่งอยู่บนรถบัสนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของเด็กผู้ชายที่อยู่ด้านข้างว่า
“คุณปู่ครับ! ผมอยากได้หุ่นยนต์ ถ้าคุณปู่ไม่ซื้อให้ผมก็จะร้องอยู่อย่างนี้แหละ ฮือ..ฮือ..ฮือ…”
“มินกัง! อย่างอแงสิ เดี๋ยวปู่ซื้อให้.. เดี๋ยวปู่ซื้อให้”
เมื่อได้ยินชายชราเรียกเด็กผู้ชายคนนั้นว่า ‘มินกัง’ ทันใดนั้นการแสดงออกของหยางซือเหมยก็เปลี่ยนไปและรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว
โดยเห็นว่าเด็กผู้ชายที่กำลังมีอารมณ์ฉุนเฉียวคนนี้อยู่ในวัยเดียวกับตนเองในปัจจุบันและ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้อายุของเขายังน้อยและเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่เอาแต่ใจอีกทั้งหน้าตาก็ดูธรรมดามากโดยไม่มีเค้าโครงความหล่อเหลาเลย
แต่เมื่อได้เห็นไฝสีดำที่อยู่บริเวณลำคอด้านซ้ายของเขาแล้ว เธอก็ถึงกับตกตะลึงจนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!
เพราะเธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นผู้คนในชาติที่แล้วมาปรากฏตัวให้เห็นมากมายจนนับไม่ถ้วนเช่นนี้!
และเมื่อนึกย้อนไปในชาติที่แล้ว ภาพที่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของเธอคือบุรุษหนุ่มที่มีรูปร่างสูงโปร่งด้วยใบหน้าที่มีเสน่ห์อันเยือกเย็นและช่างสง่างาม โดยมนความรู้สึกของตัวเองนั้นเธอเป็นเหมือนสุนักที่มองขึ้นไปยังเครื่องบินที่อยู่ลิบลิ่วและนึกชื่นชมเขาอยู่ในใจมานานแล้ว ซึ่งชายคนนั้นก็คือ ‘มินกัง’ นั่นเอง
โอ้มายก๊อด!
รับไม่ได้จริง ๆ !
ทำไมตอนเป็นเด็กเขาถึงไม่มีความโดดเด่นเอาเสียเลย และเป็นเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ ที่ชอบร้องไห้สะอึกสะอื้นไห้เพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ มันเหลือเชื่อจริง ๆ !
และเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะเธอไม่สามารถเชื่อมโยงเด็กน้อยที่เห็นในตอนนี้กับชายหนุ่มที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีความมั่นคงที่ตนเองรู้จักได้!
คอมเม้นต์