ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 21 ขี้นก
ตอนที่ 21 ขี้นก
แน่นอนว่าเเม้เธอจะปลุกเสกเครื่องรางเป็นผลสำเร็จแต่ก็คงไม่สามารถมอบเครื่องรางของขลังชิ้นนี้ให้กับบิดาได้ เพราะเขาคงจะไม่พกติดตัวไปด้วยอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเธอรู้ดีว่า ทุกครั้งที่บิดาจะออกไปทำธุระสำคัญเขามักจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่งที่มีอยู่ตัวเดียวกับกางเกงสแลกและสูทสีดำ ซึ่งเป็นชุดที่เขาใส่ในวันแต่งงาน และนั่นเป็นชุดที่ดีที่สุด โดยชุดนี้เขาไม่เคยสวมใส่ในวันธรรมดาเลย แต่พรุ่งนี้เขาจะต้องสวมใส่มันเข้าไปในเมืองอย่างแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงพับยันต์อย่างระมัดระวังและซ่อนเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยไม่บอกให้ใครทราบแม้แต่คนเดียว พร้อมกับนึกภาวนาอยู่ในใจว่าขออย่าให้บิดาของตนพบมันเลย
***
ในวันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ โดยบิดาของเธอออกจากบ้านไปพร้อมกับชุดนั้น และอาจเป็นเพราะเครื่องรางที่เธอปลุกเสกจึงทำให้สีหน้าอันหม่นหมองบนใบหน้าของเขาสว่างขึ้นเล็กน้อย ซึ่งดูราวกับว่ามันมีพลังบางอย่างมาช่วยปรับให้พลังงานทางจิตวิญญาณของเขามีความเข้มแข็งมากขึ้น
และเมื่อเขาเดินทางออกไปแล้วหยางเหอก็เข้ามาที่บ้านของเธอ และเมื่อเขาได้เห็นหยางซือเหมยก็รีบร้อนเข้ามาหาพลางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า:
“ตัวเล็ก! หนูเก่งมากเลย! ที่หนูบอกว่าอาจะได้รับประโยชน์จากไม้น่ะ มันเป็นเรื่องจริงเพราะวันนี้มีคนสองคนมาที่บ้านอา และเมื่อพวกเขาเห็นต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่หน้าบ้าน พวกเขาก็ยื่นเงินให้อาหนึ่งพันเหรียญ
ฮ่า ๆ อาจะมีเงินไปลงทุนแล้ว! คิดไม่ถึงเลยว่าต้นไม้จะมีค่ามากขนาดนี้”
ในปี 1992 นั้นเงินพันเหรียญนั้นเป็นเงินที่ก้อนใหญ่มาก ขณะที่ในตอนนั้นรายได้ต่อเดือนของอาชีพครูคือสามร้อยเหรียญเท่านั้นเอง
“ใครมาหาอาเหรอคะ?” หยางซือเหมยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“มีชายชราที่มีอายุประมาณห้าสิบถึงหกสิบปีเห็นจะได้และดูท่าทางร่ำรวยมากมาหาอาที่บ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยเพราะเห็นเขาถือเข็มทิศในขณะที่เดินวนไปมารอบต้นไม้เก่าของอา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหยางซือเหมยก็รู้สึกสนใจมากจึงรีบตามหยางเหอไปที่บ้านของเขาเพื่อตรวจสอบถึงที่มาที่ไปในทันที
โดยพบว่าที่บริเวณหน้าประตูบ้านของหยางเหอนั้น เธอเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังยืนโอบต้นไม้โบราณอยู่และดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุประมาณหกสิบปีที่มีผมสีดำแกมเทาซึ่งค่อนข้างจะดกหนาอยู่พอสมควร
ขณะที่บนคอนั้นแขวนจี้หยกดำรูปเจ้าแม่กวนอิม และสวมสร้อยข้อมือลูกปัดหยกสีแดงไว้ที่ข้อมือของเขา พร้อมกับท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น อีกทั้งยังมีความเป็นมิตรที่สามารถสัมผัสได้จากการมองเห็นเพียงแค่แวบเดียว
ส่วนผู้ชายอีกคนนั้นสวมชุดสีขาวซึ่งดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบปีและไว้ผมยาวประบ่าพร้อมกับรูปร่างที่อวบอ้วนเล็กน้อย โดยเขามีเข็มทิศอยู่ในมือขณะที่กล่าวอะไรบางอย่างกับชายอีกคนด้วยท่าทางที่หยิ่งผยองซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
และเพื่อที่จะเข้าใจถึงเหตุผลในการมาของพวกเขา หยางซือเหมยจึงใช้สมาธิเพ่งไปที่ร่างของชายชราคนนั้นเป็นเวลาประมาณหนึ่งนาที
จากนั้นเธอก็เห็นตัวอักษรปรากฎขึ้นมาหลายบรรทัดหรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือเธอมองเห็นข้อความลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา:
ฮัวเหวินหัวเกิดในปี พ.ศ.2483
มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองเอ แต่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในฮ่องกงและมีทรัพย์สินมหาศาล
มีภรรยาสองคน และมีลูกชายสามคนกับลูกสาวหนึ่งคน
บิดาเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงและกำลังค้นหาสถานที่ฝังศพด้วยฮวงจุ้ยที่เหมาะสม
เมื่อกล่าวถึงชายคนที่ชื่อฮัวเหวินหัวแล้ว หยางซือเหมยรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้มากเพราะหลังจากปี พ.ศ.2540 เขาจะกลายเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮ่องกงที่สามารถไต่อันดับขึ้นไปติดอันดับท๊อปเทนของนิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา
สำหรับบุตรชายทั้งสามคนของเขานั้นมักจะมีเรื่องอื้อฉาวกับบรรดาดาราหญิงในวงการบันเทิงอยู่เสมอ และที่เธอทราบเรื่องราวเหล่านี้ก็เพราะเธอเคยเห็นมันปรากฎเป็นข่าวดังตามหน้าหนังสือพิมพ์
แล้วนักธุรกิจที่กำลังจะมีชื่อเสียงโด่งดังในอนาคตมาที่หมู่บ้านหยางในวันนี้เพื่อซื้อต้นไม้โบราณอย่างนั้นเหรอ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องการใช้ต้นไม้โบราณต้นนี้ทำโลงศพให้กับใครบางคนที่เพิ่งเสียชีวิตไป?
เมื่อละทิ้งความสงสัยที่มีต่อชายคนนี้แล้ว จากนั้นเด็กน้อยก็จ้องมองไปยังผู้ชายในชุดสีขาวที่กำลังถือเข็มทิศเอาไว้ในมือเพื่อตรวจสอบประวัติ:
เฮาจ้าวกวงเกิดในปีพ.ศ. 2491
มีพื้นเพมาจากมณฑลกวางตุ้งและเป็นนักอภิปรัชญา และเป็นปรมาจารย์ทางด้านฮวงจุ้ยที่คิดค่าธรรมเนียมลูกค้าหนึ่งพันเหรียญทองต่อหนึ่งครั้ง โดยเป็นที่รู้จักในหมู่คนรวยและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทั้งหลาย
และเมื่อเห็นว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น เธอจึงรีบตั้งสมาธิเพื่อที่จะเพ่งมองไปยังเขาให้นานขึ้น และทันทีทันใดอักษรเหล่านั้นก็จางหายไปในชั่วพริบตา ซึ่งสิ่งที่เธอเห็นคือในตอนนี้มีภาพกึ่งโปร่งแสงเกิดขึ้น
โดยเป็นภาพเหตุการณ์ที่เฮาจ้าวกวงกำลังหงุดหงิดเนื่องจากฝูงนกที่กำลังบินอยู่บริเวณนั้นได้ขี้ตกลงมาบนศีรษะของเขาอย่างกะทันหัน
และแม้ว่าตอนนี้เธอจะอยากเห็นภาพเหตุการณ์ให้มากกว่านี้แต่ก็เป็นไปไม่ได้เพราะทันใดนั้นเธอก็เกิดอาการมึนงงจนตาลาย ทำให้ภาพตรงหน้าดูเบลอและเปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์เดิมเพียงชั่วอึดใจ ขณะที่เธอยกมือขึ้นมาแตะที่ศีรษะของตนเองด้วยความงุนงง
ภาพเหล่านั้นมันหมายถึงอะไรกันแน่?
มันเป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเฮาจ้าวกวงในอนาคตใช่หรือเปล่า?
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนออกมาเบา ๆ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วขึ้นเพราะบนศีรษะของเขานั้นมีขี้นกอยู่เต็มไปหมด เขาจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเช็ดโดยไม่ทันสังเกตเห็นแผ่นหินที่อยู่บริเวณด้านข้างตัวเองทำให้เขาสะดุดล้มลงบนพื้นทันทีด้วยความประมาท
และตอนนี้แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าลำบากใจด้วยความรู้สึกอับอาย แต่ก็สามารถฟื้นคืนท่าทางของตนเองได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับเผยดวงตาที่เปล่งประกายความมาดมั่นออกมาอีกครั้ง
ทำให้หยางซือเหมยที่ได้เห็นภาพนี้รู้สึกมีขบขันจนแทบจะหัวเราะออกมา!
โอ้ว! ปรากฎว่ามันเป็นเรื่องจริงที่เธอสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคตของคนอื่นได้
ดังนั้นเธอจึงเพ่งมองไปที่เฮาจ้าวกวงอีกครั้งหนึ่งและทันใดนั้นภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นให้เห็นทันที:
โดยในภาพเหตุการณ์นั้นเขากำลังคุยโทรศัพท์ผ่านโทรศัพท์มือถือรุ่นที่กำลังเป็นที่นิยมในยุคนั้นอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดสีหน้าที่บ่งบอกว่ารู้สึกเสียใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงพร้อมกับร้องไห้อย่างขมขื่น……
อ้าว! เอาอีกแล้ว! ภาพหายไปอีกแล้ว!
และทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิมอีก คือเธอไม่สามารถมองเห็นได้นานไปกว่านี้ เพราะมันจะทำให้เธอมีอาการเวียนหัว
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เธอสามารถคาดเดาได้อย่างคร่าว ๆ ว่าอาการเศร้าโศกที่เห็นนั้นเป็นเพราะบิดาของเขาได้จากไปแล้ว
คอมเม้นต์