ท้าทายลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 29 ชีวิตที่ขมขื่น
ตอนที่ 29 ชีวิตที่ขมขื่น
หยางเหอเป็นคนที่มีไหวพริบดีมาก ดังนั้นเขาจึงสามารถสืบทราบมาได้อย่างรวดเร็วว่าที่ดินแถวนั้นมีราคาประมาณสามร้อยเหรียญต่อตาราง
เมื่อได้ยินราคานี้ดวงตาของหยางซือเหมยก็สว่างเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากในชาติที่แล้วสิ่งที่เธอมักจะได้ยินบ่อยที่สุดตามท้องถนนก็คือเรื่องราคาที่ดินและที่อยู่อาศัย
ซึ่งในตอนนั้นรายได้เฉลี่ยต่อคนของเมืองนี้อยู่ที่ประมาณสามพันเหรียญ แต่ค่าเช่าบ้านกลับอยู่ที่หกพันเหรียญแล้ว ส่วนที่ดินโดยทั่วไปนั้นมีราคาประมาณสามหมื่นเหรียญต่อตารางวา
ตอนนี้ไม่ต้องลังเลใจอีกต่อไปแล้วเพราะที่นี่จะกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด ซึ่งต่อไปในอนาคตราคาของมันจะแพงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก แล้วเธอจะโอกาสทองแบบนี้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?
จากนั้นเมื่อกลับไปที่โรงพยาบาลเธอก็แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าจะลงทุนในทรัพย์สินให้กับบิดาพ่อของเธอ ขณะที่ตอนแรกหยางชิงจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ด้วยความไม่เชื่อแต่ไม่นานนักเขาก็พยักหน้าตอบรับ
ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นคนประเภทที่สามารถยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อก่อนอาจจะเป็นเป็นเพราะว่าถูกสถานการณ์บีบบังคับทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ตอนนี้ครอบครัวของเขามีเงินหลักแสนแล้วดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่ต้องเป็นกังวล
และเมื่อครู่ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเขาก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน โดยคิดว่าจะซื้ออพาร์ทเมนท์ในเมืองและย้ายทุกคนออกมาอยู่ที่นี่ เพื่อหลีกเลี่ยงการกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นจากคนในหมู่บ้าน
เนื่องจากเห็นว่าบิดาของตนเองเห็นด้วยหยางซือเหมยก็รู้สึกดีใจมาก แต่ตอนนี้เธอเป็นเพียงเด็กที่มีอายุห้าขวบเท่านั้นจึงไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองต้องการทำได้โดยสะดวก
ดังนั้นเธอจึงอธิบายรายละเอียดให้บิดาฟังอย่างละเอียดถึงแนวโน้มการพัฒนาของอสังหาริมทรัพย์นั้น และเธอยังแจ้งให้เขาทราบด้วยว่าในหนึ่งปีทรัพย์สินนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า
“ตัวเล็ก หนูคำนวณผิดหรือเปล่า? จะเป็นไปได้ยังไงที่ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นสิบเท่าภายในเวลาเพียงแค่ปีเดียว?”
โดยในตอนนี้หยางชิงมีความรู้สึกว่าความคิดและท่าทางของบุตรสาวตนเองไม่เหมือนกับเด็กอายุห้าขวบแต่เหมือนกับที่มีผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะแล้ว
และแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องที่เธอกล่าวเกี่ยวกับการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ แล้วเหตุใดเด็กที่มีอายุยังน้อยอย่างเธอถึงเข้าใจมันได้?
เมื่อเห็นว่าบิดาแสดงสีหน้าสงสัย เด็กน้อยจึงกล่าวว่า
“พ่อคะ! อย่าลืมว่าหนูได้เรียนรู้กับท่านอาจารย์จึงทำให้มีความสามารถในการคำนวณดังนั้นจึงสามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตได้!”
จากนั้นหยางซือเหมยก็กล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจว่า
“แม้แต่คุณฮัว คนที่เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่จากฮ่องกงก็เชื่อในตัวหนู ดังนั้นพ่อก็ควรเชื่อหนูเหมือนกัน!”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองมีความมั่นใจและแสดงท่าทางที่ดูเป็นผู้ใหญ่ หยางชิงก็พบว่าการใช้ชีวิตที่ผ่านมาหลายสิบปีของตนเองนั้นไร้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ๆ
เพราะบุตรสาวของเขาไปศึกษาลัทธิเต๋าเป็นเวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเด็กอัจฉริยะไปเสียแล้ว
และแม้แต่คุณฮัวที่มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางก็ยังเชื่อในตัวเธอ อีกทั้งยังมอบเงินรางวัลให้มากมายแทนคำขอบคุณ แล้วเขาจะไม่เชื่อได้อย่างไร?
นอกจากนี้เงินก้อนนั้นก็เป็นของเธอ ดังนั้นแม้ว่าเธอต้องการจะโยนมันทิ้งลงไปในมหาสมุทรก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของเธอ ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเธอ
แต่ตอนนี้หยางชิงยังคงต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์และมีพยาบาลคอยดูแลเขา นอกจากนี้หยางซือเหมยก็จะอยู่ที่นี่กับเขาด้วย
ส่วนหยางเหอที่ต้องการไล่ตามความฝันของตัวเองในการไปลงทุนค้าขายที่เมืองเซินเจิ้น ก็รีบเดินทางกลับบ้านหลังจากมาส่งหยางซือเหมยที่โรงพยาบาลแล้ว
และเมื่อถึงเวลาเข้านอน หยางซือเหมยกลับนอนไม่หลับและมีความรู้สึกกระสับกระส่ายขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล จึงบอกกับบิดาของตนเองว่าเธอจะออกไปเดินเล่นที่สนามหญ้าด้านนอก
แต่ในความเป็นจริงเธอได้เดินตรงไปที่ถนน และเธอก็เดินมาถึงถนนเหวินไหลโดยไม่รู้ตัว โดยถนนสายนี้เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่มีศิลปะวัฒนธรรมที่ควรอนุรักษ์ และเป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
ซึ่งสิ่งปลูกสร้างโดยรอบยังคงรักษารูปแบบโบราณเอาไว้ และในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งมรดกทางวัฒนธรรม
เนื่องจากลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีความคลาสสิก ถนนสายนี้จึงกลายเป็นถนนที่มีวัตถุโบราณและศิลปะวัฒนธรรมที่หลากหลาย และเเน่นอนว่าภาพวาดกับการประดิษฐ์ตัวอักษรโบราณเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมี อีกทั้งยังมีงานฝีมือประเภทภาพวาดดอกไม้ นก ปลา แมลงและสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย โดยทั้งหมดมารวมกันที่นี่เพื่อจำหน่าย
ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองนี้ และหลายคนมักจะเดินทางมาที่นี่เพื่อเลือกซื้อของเก่าโดยหวังว่ามันจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่ควรพลาด
ซึ่งในชีวิตก่อนหน้านี้หยางซือเหมยเคยตั้งแผงขายทำนายโชคชะตาอยู่บริเวณนี้ แต่เธอถูกพวกนักเลงขับไล่อยู่บ่อยครั้ง และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอถูกผู้มีอิทธิพลใช้เท้ากระทืบที่บริเวณหลังด้วยเจตนาร้ายทำให้เธอรู้สึกโกรธแค้นมาก
เพราะในวันนั้นเธอยังหาเงินไม่ได้สักเหรียญเดียว ทำให้เธอไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าเช่าแผง และเมื่อนึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตในชาติที่แล้ว หยางซือเหมยก็เริ่มมีน้ำตาซึมด้วยความรู้สึกขมขื่นที่มีอยู่ในหัวใจ
คอมเม้นต์