ท้าทายลิขิตสวรรค์
- จำนวนตอนทั้งหมด? Chapter
ท้าทายลิขิตสวรรค์
อ่านนิยายเรื่อง ท้าทายลิขิตสวรรค์ ในชาติที่แล้วครอบครัวของเธอต้องพังพินาศและจบลงด้วยการกลายเป็นคนเร่ร่อนจรจัด ซึ่งสิ่งนี้หล่อหลอมให้เธอเป็นคนเจ้าเล่ห์เพื่อความอยู่รอด เพราะเธอไม่มีการศึกษาและไม่มีความสามารถทางด้านใดเลย
สุดท้ายเธอต้องถูกทำร้ายจนตายแต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งจึงพบว่าตนเองได้ย้อนกลับไปในตอนที่มีอายุเพียงแค่ห้าขวบ
ขณะที่มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับเธอ นั่นคือหญิงสาวมีดวงตาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถมองเห็นอดีตของผู้อื่น และยังสามารถช่วยแก้ไขภัยพิบัติให้คนผู้นั้นได้
ไม่เพียงแค่นั้น! เธอยังมีทักษะพิเศษในการมอบโชคลาภให้แก่ผู้คน อีกทั้งยังล่วงรู้แม้กระทั่งวันตายของคนอื่น
ในชีวิตนี้เธอจะท้าทายสวรรค์เพื่อเปลี่ยนชะตากรรมและเอาความสุขกลับคืนมา
ในชีวิตที่แล้วเธอไม่มีอะไรเลย ไม่มีการศึกษาหรือทักษะ จึงทำให้คนอื่นดูหมิ่นและถูกมองด้วยสายตาแห่งความเหยียดหยาม
ในชีวิตนี้เธอพยายามที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหยั่งรู้ฟ้าดินที่แท้จริง เพื่อต้องการยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลก ซึ่งมันจะกลายเป็นตำนานที่โลกต้องจดจำไปชั่วกัลปาวสาน…
ผู้ที่เป็นหนี้เธอทุกคนจะต้องชดใช้ให้สาสม!
เรื่องย่อ
ตอนที่ 1 กลับไปตอนอายุห้าขวบ
“แกกล้าพูดได้ยังไงว่าคนอย่างฉันจะต้องเจอกับภัยพิบัติ ปากดีนักนะ! นังคนเจ้าเล่ห์ อย่างนี้ต้องทุบตีให้ตาย!”
ชายผู้มีรอยแผลเป็นที่แก้มซ้ายดวงตาสว่างเป็นประกายขึ้นด้วยความดุร้ายขณะที่ชี้ไปยังร่างอันสั่นเทาที่หมอบอยู่เบื้องหน้าตนเอง
โดยผู้หญิงตัวเล็กและผอมบางคนนั้นสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ เขาตะโกนออกมาสุดเสียงว่า
“ช่วยฉันด้วย!”
ผู้หญิงที่มีใบหน้าซีดขาวจับขาของเขาเพื่อขอร้อง
“ยกโทษให้ฉันที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เจ้านาย! ฉันพูดผิดไปดวงดาวนำโชคของคุณส่องแสงเจิดจ้าและกำลังนำพาคุณไปสู่ความมั่งคั่ง……”
ชายคนนั้นสะบัดขาของเขาออกจากผู้หญิงตรงหน้าและเตะเธออย่างโหดเหี้ยมด้วยรองเท้าหนังคู่นั้นและกระทืบเข้าที่หน้าอกของเธออย่างแรงจนกระดูกซี่โครงหลายซี่หัก
และความเจ็บปวดนั้นทำให้หญิงสาวนอนขดตัว ขณะที่ปรากฎความหวาดกลัวขึ้นในดวงตาของเธอเพิ่มขึ้น
“แกไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ยังกล้าออกมาโกหกหลอกลวง แกมันเป็นคนปลิ้นปล้อน?
วันนี้พ่อคนนี้จะบังคับใช้ความยุติธรรมของสวรรค์และกำจัดแก!
เฮ้ยพวกเรา! ทุบตีเธอให้ตายแล้วลากเอาไปทิ้งที่ภูเขาโน่น”
***
“ลูกรัก..ลูกรัก..ลูกรัก…“
หยางซือเหมยได้ยินเสียงร้องไห้ที่คุ้นเคยและโศกเศร้าราวกับว่าเสียงนั้นกำลังปลุกวิญญาณของเธอให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
แม่?
เธอเสียชีวิตไปแล้ว แล้วตอนนี้เธอเห็นแม่ที่จากไปนานแล้วได้ยังไง?
เธอพยายามที่จะลืมตา และภาพที่สะท้อนให้เห็นคือมารดาของเธอหวงซิ่วลี่ ผู้ซึ่งมีใบหน้าที่ซีดเซียวและวิตกกังวลของ และผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมกับมีแว่นตาหนา ๆ สวมอยู่คือบิดาของเธอเอง ‘หยางชิง’
และอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีท่าทางน่าเกรงขามคือคุณปู่ที่มีรูปร่างผอมบางที่มีชื่อว่า ‘หยางไป๋’ ส่วนคนที่อุ้มทารกคือเซิงฮุ่ย ผู้ซึ่งเป็นคุณย่าของเธอ
เธอ…ตายไปแล้วจริงเหรอ?
ซึ่งนั่นคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงสามารถมองเห็นวิญญาณของคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่และน้องสาวของตนเองได้?
เมื่อเธอเงยหน้ามองเพดานจึงเห็นกระเบื้องหลังคาโทรม ๆ ผนังอิฐสีเข้ม ซึ่งทำให้ทุกอย่างภายในดูมืดสลัว ซึ่งมันดูเหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นเด็ก มันแปลกเกินไปหรือเปล่า?
“ที่รัก ตื่นแล้วเหรอ?”
หวงซิ่วลี่จ้องมองไปยังดวงตาสีดำที่กำลังกระพริบถี่ของเด็กน้อย พร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกด้วยความดีใจและเอื้อมมือไปดึงร่างของเธอเข้าสู่อ้อมกอดแน่นขณะที่สะอึกสะอื้น…
ทำไมมันถึงอุ่น?!
หรือว่ามันเป็นเรื่องจริง!
นอกจากนี้เธอยังสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจและลมหายใจของมารดาได้อย่างชัดเจน
ถ้าเป็นวิญญาณจะมีสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?
ดวงตาที่ว่างเปล่าของเธอเบิกกว้างขณะที่จ้องมองไปยังปฏิทินที่แขวนอยู่…
26 มีนาคม 1992?
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าขวบของเธอไม่ใช่เหรอ?
มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ตอนนี้เธอยังฝันอยู่หรือเปล่า?
เธอยกมือขึ้นและพบว่ามันเล็กและบอบบางมาก จากนั้นจึงกวาดสายตามองลงไปยังร่างกายของตนเอง ทำให้เห็นว่าทุกส่วนเล็กไม่หมด ขณะที่เธอกำลังสวมเสื้อผ้าตัวน้อยที่คุณยายของเธอตัดเย็บให้
เธอ…
อะไรเนี่ย?
“แม่…”
ในขณะที่เธอพูดก็ค้นพบว่าน้ำเสียงของตนเองดูเป็นเด็กมากขณะที่ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า
“ลูกรัก…“
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กผู้หญิงตรงหน้า หวงซิ่วลี่ก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นที่สุด จนทำให้น้ำตาของเธอไหลผ่านใบหน้าลงมา
“ดี..ดีมากในที่สุดลูกก็ฟื้นขึ้นมา แม่กลัวมากเลย กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไป!”
สถานการณ์นี้คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเธอจำได้ว่าปีนั้นตอนที่ตนเองมีอายุห้าขวบเธอป่วยหนักมาก และมีไข้สูงโดยไม่มีวี่เเววว่าจะลดลงเลย จากนั้นก็หมดสติไป
และเมื่อตื่นขึ้นมาก็จำได้ว่ามารดาของเธอกล่าวคำเหล่านี้
จากนั้นเธอจึงมองไปยังบิดาของตนเองทันที จึงเห็นหยางชิงกำลังถอดแว่นตาหนา ๆ ออกเพื่อเช็ดน้ำตาที่มุมตาของเขาอย่างแผ่วเบา
และคุณย่าของเธอที่ชื่อเซงฮุ่ยก็รู้สึกสะเทือนใจมาก ขณะที่หญิงชราประสานฝ่ามือเพื่อขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองหลานสาว
คุณปู่หยางไป๋ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงพร้อมกับเหลือบมองเธอ และยืนขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ประตู…
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด!
เธอแอบหยิกที่แขนเล็ก ๆ ของตนเองเพื่อตรวจสอบ ซึ่งมันก็เจ็บจริง
เธอไม่ได้ฝันไปเและไม่ได้กลายเป็นผี แต่ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่ตนเองอายุห้าขวบเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง และเมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็รู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาไหลริน
มารดารีบเข้ามาอุ้มเธอขึ้นเพื่อพยุงหลังของเธอในขณะที่ปลอบโยนอย่างต่อเนื่อง:
“ลูกรักอย่าร้องไห้..แม่อยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้มันก็ทำให้เธอย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนเอง
ในการเกิดครั้งที่แล้วเมื่อเธออายุได้หกขวบ อยู่ดี ๆ ครอบครัวของเธอก็พังพินาศและเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม
คราวนี้เธอกลับไปตอนที่อายุห้าขวบ ดังนั้นยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งปีก่อนที่โศกนาฏกรรมจะเริ่มต้นขึ้น
เธอจะต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมในชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้งหรือเปล่า?
ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ต้องการเกิดใหม่อีกแล้ว!
เพื่อเป็นการขอบคุณพระพุทธองค์ที่ทรงคุ้มครองชีวิตของเธอ คุณย่าจึงต้องการพาหลานสาวไปที่วัดบนภูเขาเพื่อสวดมนต์
แต่ในชีวิตที่แล้วเธอไม่ยอมไป
และตอนนี้เธอต้องการที่จะทำอะไรที่มันแตกต่างไปจากอดีตเพื่อต่อต้านมัน ดังนั้นเธอจะไปที่ยอดเขากับคุณย่าของเธอ
วิหารบนภูเขายังคงเป็นแบบเดียวกับที่หยางซือเหมยเคยเห็นเมื่ออายุได้สามขวบ แม้ว่าจะทรุดโทรมไปบ้างเล็กน้อย และที่บริเวณกำแพงมีร่องรอยที่ถูกทำลายจากอดีต
การเจริญเติบโตของตันไม้โดยรอบมีหลายพืชพรรณไม่ว่าจะเป็นต้นสนโบราณที่สูงตระหง่านและต้นไซเปรสซึ่งมีอายุมากโขอยู่ที่เขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บนยอดของต้นไม้สูงเหล่านั้นเต็มไปด้วยนกตัวเล็ก ๆ จำนวนมากที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง ท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้รู้สึกเหมือนรูขุมขนกำลังเปิดกว้างอย่างเต็มที่ด้วยอารมณ์ที่เบิกบานอยู่ภายในสู่ภายนอก
หลังจากเข้ามาในพระวิหารแล้ว การแสดงออกของคุณย่าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและเคร่งเครียดทันที
แต่หยางซือเหมยอยากรู้อยากเห็นถึงความกว้างขวางของสถานที่ โดยเธอพบว่าแม้ว่าพระวิหารจะทรุดโทรมไปเล็กน้อย แต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในก็มีความประณีตมากและสีสันก็ยังคงสดใส และหากภาพวาดเหล่านั้นไม่ได้ถูกทำลายลงก็อาจกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สามารถสืบต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลานได้
เธอจำได้ว่าตอนที่อายุหกขวบ อยู่ดี ๆ วัดนี้ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นและเปลวไฟในวันนั้นก็เป็นสีแดงสว่างไสวไปกว่าครึ่งของท้องฟ้า
ทำให้ชาวบ้านต่างก็รู้สึกหวาดกลัวและกังวลว่าจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นหรือไม่ และเธอยังได้มายินว่า ผู้ดูแลคนเดียวของวิหารซึ่งเป็นนักบวชชราถูกไฟคลอกตาย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ทันใดนั้นสายตาของเธอก็ตกไปอยู่ที่นักบวชคนเดียวกัน ซึ่งตอนนี้กำลังช่วยคุณย่าของเธอจัดวางเครื่องบูชาเหล่านั้นลงบนถาด
นักบวชคนนี้สวมเสื้อคลุมที่ดูเหมือนถูกปะชุนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และผมกับเคราของเขาเป็นสีขาวสนิท อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่าไม่มีริ้วรอยใด ๆ ที่คุณย่าของเธอมี แต่กลับมีสีแดงระเรื่อที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่แข็งแรง
และแทนที่จะมีดวงตาที่ขุ่นมัวแต่กลับเป็นดวงตาที่ชัดเจนและสดใส ซึ่งเธอรู้สึกว่าสิ่งนี้เหมาะกับนักปราชญ์อย่างนักบวชชราท่านนี้
แล้วคนที่เป็นผู้รอบรู้เช่นนี้สามารถถูกไฟคลอกตายได้ด้วยหรือ?
และเมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ก่อนหน้านี้เมื่อเธอเป็นคนขี้โกงและเจ้าเล่ห์มาก และมักจะเจอกับผู้คนที่ชอบเอ่ยถามถึงโชคชะตาและอนาคตของพวกเขา
ตอนนี้เธอค้นพบว่าถ้ามีใครสักคนสามารถล่วงรู้อนาคตได้จริง ๆ แต่ขาดความเข้มแข็งพอที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งโชคชะตานั้นได้ มันจะต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด
เมื่อคุณย่าเห็นเธอเว้นระยะห่างจึงกวักมือเรียก
“หลานรัก! รีบมาจุดธูปไหว้พระเพื่อขอบคุณพระองค์ที่ทรงเมตตาปกป้องหนูจากอันตรายเร็วเข้า”
เธอเดินผ่านไป ขณะที่นักบวชชราหันหน้ามามองเด็กน้อยผู้นี้ด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความประหลาดใจเล็กน้อย โดยที่เขามองเธออย่างระมัดระวัง
เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้ หยางซือเหมยก็รู้สึกราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุวิญญาณของตนเองได้ ขณะที่ลดสายตาลงเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของนักบวชชรา
***
คุณย่าพาเธอไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าพระพุทธรูปจะกราบลงสามครั้ง
หยางซือเหมยคุกเข่าบนพรมอธิษฐานนั้น แม้ว่าเธอจะเป็นคนขี้โกงในช่วงชีวิตที่แล้วและไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเลย แต่ตอนนี้เธอต้องกลับใจมานับถือด้วยความศรัทธาที่ท่วมท้น
เธอสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจเพื่อขอพรให้ครอบครัวของตนเองปลอดภัยและมีความสุขตลอดไป เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครให้พึ่งพาอีกครั้ง
และเพื่อให้เธอสามารถลิขิตชีวิตนี้ใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่น่าสมเพชของการที่ชีวิตของเธอถูกขีดเส้นโดยคนอื่น
หลังจากที่สวดอ้อนวอนอย่างจริงจังแล้ว เธอก็ก้มลงกราบสามครั้ง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองพระพุทธรูปหยกที่ถือน้ำเต้าอยู่ในมือ ทันใดนั้นน้ำเต้าก็ตกลงมากระทบที่หน้าผากของเธอทันที…
“อุ๊ย!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เด็กน้อยรู้สึกวิงเวียนและจากนั้นเธอก็ล้มลงบนพื้น
***
เมื่อลืมตาขึ้นเด็กน้อยก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่ไม่คุ้นเคย ชุดเครื่องนอนเรียบง่าย เเละบนผนังมีภาพเก่า ๆ แขวนอยู่ใกล้กับชั้นวางหนังสือโบราณขนาดใหญ่ และมีหนังสือโบราณหลายเล่มวางไว้
คอมเมนต์