Immortal and Martial Dual Cultivation – บทที่ 43 ทะลวงสู่ขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลาง
ตอนที่ 43 ทะลวงสู่ขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลาง
เขารู้สึกได้ว่าวิญญาณดาบที่ปรากฎตัวออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้นั้นไม่ได้มีที่มาธรรมดาแบบที่นางกล่าวอ้าง จากการแสดงออกของนางเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยได้ซื่อตรงกับเซียวเฉินนัก
และต่อให้เขาพยายามเรียกเพียงไรนางก็ไม่ยอมออกมาอีกเลย เซียวเฉินทำได้เพียงพยายามระงับความสับสนใจใจของเขา ในขณะนั้นเองจิ้งจอกวิญญาณน้อยก็วิ่งออกมาจากปากถ้ำและกระโดดกลับเข้าไปในหยกวิญญาณสีเลือด
เซียวเฉินจ้องมองเข้าไปในถ้ำพร้อมส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป เขาเห็นจิ้งจอกวิญญาณหกหางกำลังพยายามที่จะลุกขึ้น มันคงกำลังจะออกมาจากถ้ำในไม่ช้า
ถอนคืนสัมสัมผัสวิญญาณกลับมาอย่างรวดเร็วและเซียวเฉินก็ใช้คาถาแรงโน้มถ่วงบินออกไป หลังจากผ่านมาระยะหนึ่งเขาก็มองหาต้นไม้ใหญ่และร่อนลงบนยอดไม้พร้อมกับนั่งลงขัดสมาธิ
หลังจากกลืนเม็ดยาบำรุงลมปราณเข้าไปเซียวเฉินก็เข้าสู้การบ่มเพาะพลังบนยอดต้นไม้ใหญ่ เข้าได้ทะลวงทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์สู่ชั้นที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์หมุนวนไปในร่างของเขารวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา พลังวิญญาณรอบตัวไหลเข้าร่างของเซียวเฉินอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณบางเบาเริ่มหนาแน่นขึ้นภายในร่างของเขาพร้อมกับหมุนเวียนไปตามเส้นลมปราณ หลังจากที่มันหมุนเวียนจนครบรอบมันก็ไหลไปที่จุดตันเที่ยน จากผลของเม็ดยาบำรุงลมปราณพลังวิญญาณที่เขาได้รับมาหลังจากหมุนเวียนพลังไปหนึ่งรอบนั้นเทียบได้กับระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดทั่วไปหมุนเวียนพลังถึงสองรอบ
มังกรฟ้าที่ล้อมรอบไปด้วยก้อนเมฆสีขาวดูดซับวิญญาณเข้าไปในร่างของมันอย่างเป็นสุข ทันใดนั้นเองก็เห็นได้ว่าเมฆสีขาวสามก้อนรอบตัวมันหนาแน่นขึ้นสีของมันกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
“ฟู่ว!”
จิตวิญญาณต่อสู่มังกรฟ้าพ่นกระแสลมปราณบริสุทธิ์ออกมา หลังจากนั้นพลังปราณก็ไหลไปตามกระดูกมัดกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณของเซียวเฉินเสริมพลังให้กับร่างกายของเขา
ผู้บ่มเพาะพลังส่วนใหญ๋จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนจิตวิญญาณต่อสู้ของพวกเขาโดยใช้พลังวิญญาณทั้งหมดที่พวกเขาได้ดูดซับมา เมื่อขอบเขตของจิตวิญญาณต่อสู้เพิ่มและพัฒนาขึ้นมันก็จะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของพวกเขา
เซียวอวี่หลันก็เป็นเช่นนั้น เนื่องจากฝึกฝนจิตวิญญาณต่อสู้ของนางอย่างหนักหน่วงมันก็ถึงระดับที่แกร่งกล้าสุดขีด ดอกสองฤดูสามารถสร้างมวลกลีบดอกไม้และควันพิษออกมาได้นับไม่ถ้วนทำให้พลังต่อสู้ของเซียวอวี่หลันนั้นแกร่งกล้า
อย่างไรก็ตามแนวทางการบ่มเพาะพลังของเซียวเฉินนั้นต่างออกไป พลังวิญญาณที่ดูดซับมาจะถูกดูดซับโดยจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าก่อนที่มันจะพ่นกลับออกมาอีกครั้ง มันสามารถใช้เสริมสร้างเส้นลมปราณ กระดูก โลหิต และกล้ามเนื้อของเขาได้ถึงสองรอบ
เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นความสามารถโดยธรรมชาติของจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าหรือไม่เพราะจิตวิญญาณต่อสู้ของแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกันไป เหมือนกับพิษร้ายของดอกสองฤดูหรือดาบผ่านภาของจางเหอที่ทำให้เขาสามารถใช้ดาบพลังฉีได้ตอนที่ก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธ
อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณต่อสู่มังกรฟ้าของเซียวเฉินนั้นความสามารถของมันยังคงลึกลับ ด้วยการที่จิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าได้ห่างหายจากตระกูลเซียวไปเป็นเวลานาน เขาทำได้เพียงแค่สืบหาข้อมูลและลงมือทดลองด้วยตัวเองเท่านั้นเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับมันเพิ่มเติม
เซียวเฉินจดจ่อไปกับการหมุนเวียน การดูดซับและแยกตัวของพลังปราณและพลังวิญญาณอย่างอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่พลังวิญญาณหมุนเวียนในร่างของเขากว่า 49 รอบ จิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าก็พองตัวขึ้น
การพองตัวขึ้นนี้ไม่ได้ส่งความเจ็บปวดมาแต่อย่างใด กลับกันมันทำให้รู้สึกตื่นเต้น เซียวเฉินรู้สึกเป็นสุขในใจ นี่เป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะทะลวงขึ้นสู้ระดับขั้นต่อไป
เซียวเฉินนั้นมีรากฐานที่ดีอยู่แล้ว ในระยะสองสามวันมานี้เขาก็ยังได้ใช้เม็ดยาบำรุงลมปราณเพิ่มเสริมการบ่มเพาะพลังของเขา นอกจากนั้นยังได้เข้าสู้รบประมืออย่างต่อเนื่อง มันเป็นธรรมดาที่เขาจะทะลวงขึ้นสู่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลาง
“ตูม!”
ทันใดนั้นอาการพองบวมนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น จุดตันเที่ยนของเขาปั่นป่วน พลังวิญญาณกระจายไปทั่วราวกับหมอก เซียวเฉินก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆจากพลังวิญญาณที่กระจัดกระจายไป
หลังจากนั้นไม่นานสถานการณ์รอบข้างของจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าก็กลับมาสงบ เมฆสีขาวที่ลอยรอบมังกรฟ้าเปลี่ยนจากสามตอนนี้กลายเป็นห้า เซียวเฉินสามารถรู้สึกได้ถึงความจุพลังปราณที่เพิ่มขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
พยายามระงับความปิติในใจของเขา เซียวเฉินยังคงหมุนเวียนทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ทำให้ระดับขอบเขตใหม่ของเขานั้นเสถียรขึ้น จิตวิญญาณต่อสู่มังกรฟ้าก็ยังคงพ่นพลังปราณออกมาเสริมสร้างร่างกายของเซียวเฉิน
ครั้งต่อไปที่เขาลืมตาขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างขึ้นเล็กน้อยแล้ว หยดย้ำค้างในหุบเขาทำให้เขารู้สึกสดชื่น เขาสูดหายใจเข้าไปคำโตรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย
เขากระโดดลงมาจากต้นไม้พร้อมกับส่งสัมผัสวิญญาณของเขาออกไป เขารู้สึกได้ว่าสัมผัสวิญญาณของเขามีระยะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ก่อนที่จะทำอะไรต่อเซียวเฉินนึกขึ้นได้ว่าเขาต้องรีบกลับไป เมื่อหลิวเฟิงหยินมุ่งหน้ากลับมาแล้วไม่พบทั้งจิ้งจอกวิญญาณหกหางและตัวเซียวเฉิน เขาจะต้องสงสัยเซียวเฉินเป็นแน่ ยิ่งเขาหายตัวไปนานเท่าไหรมันก็ยากที่จะหาข้อแก้ตัวมาอธิบายมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าจะต้องรีบกลับไปเซียวเฉินก็ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไรนัก เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไปไกลปล่อยให้ทรงกลมสีเขียวในคลื่นจิตสำนึกของเขาโดยหาสมุนไพรที่ซ่อนอยู่
เซียวเฉินยังมีเวลาและด้วยโอกาสเช่นนี้เขาไม่ยอมเสียโอกาสที่จะเด็ดสมุนไพรกลับไปสักหน่อย
สมุนไพรนั้นสามารถเเบ่งได้เป็น 9 ระดับ ระดับ 1 คือต่ำสุดและระดับ 9 คือสูงที่สุด สมุนไพรที่อยู่ในระดับ 4 ขึ้นไปนับว่าเป็นสมุนไพรชั้นชั้นดี สมุนไพรพวกนั้นอาจจะมีมูลค่าถึงหลายพันทอง
สมุนไพรระดับ 6 ขึ้นไปนั้นคือสมุนไพรล้ำค่าและสมุนไพรระดับ 8 กับ 9 คือสมุนไพรที่มีคุณภาพสูงที่สุด
อย่างไรก็ตามภายในภูเขาชึเจี่ยวนั้นไม่มีสมุนไพรที่สูงกว่าระดับ 6 เหตุผลหลักๆคือพลังวิญญาณภายในหุบเขานั้นไม่เพียงพอไม่มีสายพลังวิญญาณสำคัญอยู่โดยรอบนี้ แม้แต่ผลอ่อนแดงที่เขาเก็บมายังอยู่เพียงระดับ 6 เท่านั้น
ตามทางนั้นสมุนไพรทุกต้นที่ระดับ 2 ขึ้นไป ถูกเขาจะเก็บเข้าแหวนห้วงจักรวาล หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วโมงก็ได้มีสมุนไพรกองโตอยู่ในแหวนห้วงจกรวาลของเขา
การถางป่าครั้งใหญ่นี้มันเทียบได้กับคนที่มาเดินหาสมุนไพรทั้งวันโดยเฉพาะ
“เจอเข้ากับระดับ 5 ลูกพสุธา ช่างโชคดี” เซียวเฉินเป็นสุขในใจพร้อมกับเก็บมันเข้าแหวนห้วงจักรวาล
ขณะที่เขามุ่งหน้าจะกลับไปยังค่ายพักของตระกูลเซียวเขาพบเข้ากับสมุนไพรระดับ 5 โดยไม่คาดคิด
ระดับ 5 ลูกพสุธาเป็นสมุนไพรธาตุเย็น สรรพคุณทางยาของมันนั้นมีความเสถียร สามารถนำไปประกอบกับยาได้หมายชนิดจะช่วยเพิ่มความสำเร็จในการกลั่นยาหรือกลั่นมันออกมาโดยไม่ผสมอะไรมันก็จะมีสรรพคุณถอนพิษและปรับการไหลเวียนของโลหิต
เมื่อมองขึ้นไปค่ายพักของตระกูลเซียวก็ปรากฎอยู่ในสายตาของเซียวเฉิน เซียวเฉินหยุดเก็บสมุนไพรและจัดระเบียบตัวเองก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าไปในค่ายพัก
ทหารยามที่ด้านนอกค่ายพักยืนแข็งไปพักหนึ่งก่อนที่จะปรากฎสีหน้ายินดีออกมาเมื่อพวเขาพบเข้ากับเซียวเฉิน “นายน้อยสองในที่สุดท่านก็กลับมา ผู้อาวุโสหนึ่งและคนอื่นๆส่งคนออกไปมากมายเพื่อค้นหาท่านเมื่อวานนี้”
ผู้อาวุโสหนึ่งส่งคนไปมากมายเพื่อตามหาข้า?
ดูเหมือนเขาจะต้องหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้แล้ว เขาคิดหาข้อแก้ตัวดีๆ
หลังจากถามหาที่อยู่ของผู้อาวุโสหนึ่งเขาก็เดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ ส่งสัมผัสวิญญาณของเขาออกมาเซียวเฉินพบหลิวเฟิงหยินกับคนอื่นอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ดูเหมือนว่าสีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่ง ผู้อาวุโสสาม หลิวเฟิงหยินและคนอื่นๆไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นกังวลกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เป็นอย่างมาก
เซียวเฉินประหลาดใจที่เห็นเซียวอวี่หลันอยู่อยู่ตรงมุมห้องใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“ผู้อาวุโสหนึ่งพบตัวนายน้อยสองหรือยัง?” หลิวเฟิงหยินที่หน้าตาบูดบึ้งพูดขึ้นอย่างสุภาพ
เซียวเฉียงเริ่มรู้สึกรำคาญ เขาส่งคนออกไปตามหาทั้งคืนแต่ก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของเซียวเฉินแต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงของหลิวเฟิงหยินเขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
ถึงอย่างนั้น หลิวเฟิงหยินก็เป็นระดับขอบเขตนักบุญเพียงคนเดียวในตระกูลเซียว พวกเขายังต้องการตัวเขาอยู่ ดังนั้นเซียวเฉียงจึงไม่กล้าออกปากกับเขา เขาเก็บความโกรธไว้ในใจพร้อมกับพูดขึ้น “ยังไม่พบอะไรเลย คนของข้าที่ส่งไปรายงานมาว่าไม่พบแม้แต่ร่องรอยอะไรเลย”
มันคงจะแปลกน่าดูหากพวกเขาพบร่องรอยอะไรเข้า คาถาแรงโน้มถ่วงของเซียวเฉินพาร่างของเขาบินไปในอากาศมันจะไปมีร่องรอยอยู่บนพื้นได้เช่นไร?
ได้คำตอบกลับมาแบบนี้หลิวเฟิงยินก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ถึงอย่างไรเหตุการณ์เมื่อคืนมันก็ประหลาดพอแล้ว จิ้งจอกวิญญาณหกหางที่กำลังเจ็บหนักหายตัวไปพร้อมกับเซียวเฉิน นอกจากนั้นเขายังไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
เมื่อเซียวอวี่หลันได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของนางก็เป็นกังวลขึ้นไปอีก แต่ในขณะที่นางเงยหน้าขึ้นมานางก็พบเข้ากับเซียวเฉินที่กำลังยืนยิ้มอยู่ด้านหน้าประตู
เซียวอวี่หลันขยี้ตาครั้งหนึ่งก่อนที่จะมองไปอย่างไม่เชื่อสายตา นางกล่าวขึ้นอย่างเป็นสุข “น้องเฉินเจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปทางประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน มองดูเซียวเฉินที่เดินเข้ามาช้าๆอย่างเย็นใจไร้รอยขวน
“เซียวเฉิน เจ้าจิ้งจอกวิญญาณล่ะ? เจ้าเอามันไปไว้ที่ไหน?” หลิวเฟิงหยินเปิดปากตะโดนขึ้นมาในทันทีที่เห็นเซียวเฉิน
เซียวเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เซียวเฉินค่อยๆเล่ามา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อคืน? แล้วจิ้งจอกวิญญาณหกหางนั้นหายไปไหน?”
เซียวเฉินคิดคำตอบไว้นานแล้วเขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ข้าไม่แน่ใจ หลังจากที่พวกท่านจากไปข้ารู้สึกได้ว่ากำลังจะทะลวงขึ้นสู่ระดับต่อไปดังนั้นข้าเลยไปหาสถานที่บ่มเพาะพลัง เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นข้าก็เพิ่งมารู้”
“ทะลวง?”
ทุกคนในห้องเพิ่งจะรู้สึกตัว่าเซียวเฉินนั้นได้ทะลวงจากระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นต่ำขึ้นมาระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขารู้สึกประหลาดใจ การบ่มเพาะพลังของเซียวเฉินจะรวดเร็วเกินไปแล้ว
เขาเพิ่งจะหลอมรวมจิตวิญญาณต่อสู้ได้เพียงเดือนกว่าเท่านั้นเอง ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย ความเร็วขนาดนี้เทียบได้กับเหล่าอัจฉริยะจากตระกูลใหญ่
เซียวเฉียงรู้สึกเป็นสุข ด้วยอัตราความก้าวหน้าของเซียวเฉินโอกาสในการชนะสัญญาสิบปีในอีกสามเดือนข้างหน้าก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก “ยินดีกับเจ้าด้วย ผู้อาวุโสหลิวเจ้าพอใจกับคำตอบหรือไม่?” เซียวเฉียงพูดขึ้นพร้อมกับยิ้ม
หลิวเฟิงหยินตะคอกอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนเรื่องทะลวงระดับพลังของเจ้า ส่งหยกวิญญาณสีเลือดมา”
เซียวเฉินยิ้มอย่างไมไม่แยแสนั่งลงจิบชาสบายใจ จากนั้นก็โยนหยกวิญญาณสีเลือดลงบนโต๊ะ หลิวเฟิงหยินยิ้มสุขยื่นมือออกไปหามัน
มุมปากของเซียวเฉินยกขึ้นปรากฎเป็นรอยยิ้มเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ผู้อาวุโสหลิว ข้าใช้หยกวิญญาณสีเลือดอันนี้ผนึกลูกจิ้งจอกวิญญาณไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเอาไปก็ได้หากต้องการ ถึงอย่างนั้นข้าเชื่อว่าท่านคงไม่อาจแก่ไปได้มากกว่านี้เพื่อเลี้ยงดูให้ลูกจิ้งจอกให้มันเติบโตขึ้นมา”
หลิวเฟิงหยิสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกับปล่อยกระแสพลังออกมา เขาคำรามออกมาด้วยความโกรธ “ไอ้เด็กสามหาว! เจ้าขุดหลุมเตรียมไว้แล้วใช่หรือไม่?”
กระแสพลังระดับขอบเขตนักบุญของหลิวเฟิงหยินกดลงบนตัวของเซียวเฉินอย่างไร้ความปราณี บรรยากาศโดยรอบหนาแน่นขึ้นทุกคนพบว่าหายใจได้อย่างยากลำบาก
เซียวเฉินไม่ปรากฎความกลัวแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับกระแสพลังของระดับขอบเขตนักบุญ พลังเล็กน้อยจากจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าปิดกันกระแสพลังเดือดพล่านนี้ได้อย่างง่ายดาย
ในขณะเดียวกันจิ้งจอกน้อยในหยกวิญญาณสีเลือดก็กระโดดออกมา ถึงแม้เจ้าตัวน้อยผู้นี้จะยังไม่มีความสามารถใดๆมันก็ยังเป็นผู้สืบทอดพลังของจิ้งจอกวิญญาณหกหาง ด้วยการที่มันเป็นสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 6 ตั้งแต่กำเนิดมันไม่ได้เกรงกลัวกระแสพลังนี้แม้แต่น้อย
มันกระโดดลงบนอ้อมกอดของเซียวเฉินอย่างนุ่มนวล เซียวเฉินลูบลงบนขนสีขาวบริสุทธิ์ของเจ้าจิ้งจอกและพูดขึ้น “ดูซะ ผู้อาวุโสหลิวข้าไม่ได้หลอกลวงท่านแต่อย่างใด”
คอมเม้นต์