Immortal and Martial Dual Cultivation – บทที่ 56 ความเป็นมาของอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 56 ความเป็นมาของอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์
***จากตอนนี้ขอเปลี่ยนชื่อกระบี่เงาพระจันทร์ ย่อเหลือแค่กระบี่เงาจันทร์ครับฟังดูสั้นกระชับกว่า
โม่ฟ๋านหยุดความคิดของเขาไว้เพียงเท่านี้และยื่นมือซ้ายของเขาออกไป ลูกบอลโลหะที่กำลังร้อนจัดส่องแสงออกมา โม่ฟ๋านหลี่ตามองพร้อมกับหยิบถุงมือผ้าสีทองค่อยๆสวมเข้ากับมือซ้าย
ไม่อาจรู้ได้ว่าถุงมือสีทองนั้นทำมาจากอะไรแต่โม่ฟ๋านสัมผัสลูกบอลโลหะที่ปล่อยคลื่นความร้อนน่ากลัวออกมาได้เวลาสวมมัน
“ซี่!ซี่!”
โลบอลโลหะส่งเสียงออกมาเมื่อสัมผัสเข้ากับถุงมือสีทอง ควันสีเขียวลอยออกมาจากพื้นผิวของมันเห็นได้ถึงความร้อนอันน่ากลัวที่มันปลดปล่อยออกมา
อย่างไรก็ตามถุงมือสีทองก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด โม่ฟ๋านขมวดคิ้วพร้อมกับถือลูกบอลโลหะไว้ในมือ จากนั้นเขาก็ตรงมาที่โต๊ะโลหะที่อยู่ด้านข้าวอย่างรวดเร็วและวางลูกบอลโลหะลงบนโต๊ะ
“ปัง!”
ทันใดนั้นค้อนสีทองก็ปรากฎขึ้นมาในมือขวาของเขา ส่งประกายแสงออกมาค้อนสีทองตีลงไปที่ลูกบอลโลหะอย่างหนักแน่น
การตีเหล็กต้องตีในขณะที่มันร้อนนี่เป็นตรรกะพื้นฐาน โม่ฟ๋านถือค้อนสีทองไว้ในมือตีลงไปที่ลูกบอลโลหะอย่างต่อเนื่อง เรืองแสงสีทองที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าห่อหุ้มค้อนนั้นเอาไว้ ทุกครั้งที่ค้อนตีลงมาปรากฎเป็นเส้นสายสีทอง
แสงสีทองเสียดแทงเข้าดวงตาจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ในไม่ช้าทั่วทั้งร่างของโม่ฟ๋านก็ห่อหุ้มไปด้วยชั้นแสงสีทอง
“ค้อนฟ้าคราม! มันเป็นค้อนฟ้าครามของจริง!”
ในตอนนี้ไม่มีงานให้เซียวเฉินทำอีกแล้ว เขาทำได้เพียงยืนพิงกำแพงมองดูค้อนสีทองในมือของโม่ฟ๋านอย่างไม่เชื่อสายตา
ค้อนฟ้าคราม…. ตามตำนานพลังของมันสามารถเปลี่ยนของคุณภาพต่ำให้เป็นสิ่งลึกลับได้ มันเป็นอุปกรณ์ในฝันของช่างทุกคน ช่างน่าเสียดายที่มันสามารถสืบทอดผ่านทางสายเลือดเท่านั้น หลังจากที่หลอมรวมจิตวิญญาณต่อสู้ค้อนฟ้าครามได้เท่านั้นถึงจะใช้มันได้ ไม่มีทางที่คนนอกจะได้รับมันไป
นี่มันเกินความคาดหมายของเซียวเฉินไปไกล เขาไม่คิดไม่ฝันว่าผู้สืบทอดนิกายฟ้าครามจะมาปรากฎตัวในที่แบบนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะพูดมาอย่างสบายๆว่าจะสร้างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์
สำหรับผู้ที่ปลุกค้อนฟ้าครามขึ้นมาได้ขอเพียงแค่เขามีวัตถุดิบที่เพียงพอมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ออกมาสักชิ้น
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้เซียวเฉินก็อารมณ์พรุ่งพล่าน หลังจากพยายามมาอย่างหนักเขากำลังจะได้อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์มาครอบครองแล้วจริงๆ มันช่างคุ้มความพยายาม
เนื่องจากอ๋าวเจียวนั้นฝังต้นกำเนิดปัญญายุทธลงไปความทนทานของมันเพิ่มขึ้นจากเดิมไปหลายเท่า หลังจากลงค้อนไปมากกว่าพันครั้งรูปร่างของมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
มือซ้ายที่สวมถุงมือผ้าทองคำก็เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ มือขวาที่ถือค้อนก็ตีลงมาราวกับพายุฝนที่กระหน่ำลงมาจากฟ้า ดังนั้นมือซ้ายของเขาต้องควบคุมชิ้นโลหะได้อย่างประณีตและแม่นยำ
ทักษะชั้นสูงที่แบกภาระงานหลายอย่างไปพร้อมกันนั้นยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้สำเร็จ โดยทั่วไปอาจจะต้องใช้ถึงสองคนในการร่วมมือกันลงมือทำงานนี้
แต่โม่ฟ๋านสามารถทำมันได้ด้วยตัวคนเดียว เป็นความจริงที่ผู้สอบทอดของนิกายฟ้าครามล้วนมีพรสวรรค์และคำเยินยอจากผู้อื่นก็ไม่อาจอธิบายถึงความสามารถที่แท้จริงของพวกเขาได้หมด
หลังจากประกายแสงสีทองพุ่งออกมาจากราวสามพันครั้งชิ้นโลหะนี้ก็เริ่มมีรูปร่างเหมือนกระบี่ โม่ฟ๋านสะบัดนิ้วส่งแก่นกลางปีศาจธาตุสายฟ้าระดับ 6 เข้าไปในนั้น
“ปัง!”
เกิดเสียงดังสนั่น! ค้อนฟ้าครามตีย้ำลงในจุดที่ใส่แก่นกลางปีศาจลงไป แสงสีทองสว่างจ้าถูกปลดปล่อยออกมาทั่วทั้งห้องถูกเติมเต็มไปด้วยแสงสีทอง
เซียวเฉินไม่อาจลืมตามองได้อีกต่อไป เมื่อแสงสีทองค่อยๆจางลงปรากฎเป็นประกายสายฟ้าแตกกระโดดไปรอบตัวกระบี่
“เป็นแก่นกลางปีศาจธาตุสายฟ้าที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้” เซียวเฉินประหลาดใจ
อ๋าวเจียวผู้ที่ยิงต้นกำเนิดปัญญายุทธออกไปเริ่มกลายเป็นซีดจาง นางดูอ่อนแรงอย่างมากพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังก้อนโลหะที่กำลังจะกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ วิสัยทัศน์ของนางเริ่มเลือนลางอีกครั้ง
มันเป็นวันที่ร้อนระอุในทะเลทรายอ้างว้าง มีชายแต่งชุดดำที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล ในมือถือกำลังถือดาบหักอยู่ เขากำลังเดินไปในทะเลทรายอย่างช้าๆทิ้งรอยเท้าลึกไว้ด้านหลัง
“เจ้านายหน้าโง่ นี่ข้ากำลังจะตายลง?” ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กผุ้หญิงดังมาจากดาบหักเล่มนั้น
ร่างของชายคนนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลจากดาบและทุกก้าวที่เขาเดินไปก็ฝากหยดเลือดลงบนผืนทรายสีเหลือง แม้ในอุณหภูมิเดือดระอุเลือดของเขาก็ไม่ได้เหือดแห้งไปแต่อย่างใด
นอกจากรอยเท้าแล้วยังมีรอยเลือดที่ทิ้งเอาไว้ในทะเลทรายแห้งแล้งนี้ ดวงอาทิตย์ลอยสูงที่กำลังแผดเผายิ่งทำให้เขาดูน่าสังเวช
ได้ยินเสียงที่ดังมาจากดาบ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความตั้งใจแน่วแน่ มีรอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับพูดขึ้น “เจ้าจะไม่ตาย อีกเพียงแค่สามลี้เท่านั้นก่อนที่จะถึงตำหนักเฟิงชิง เจ้านายของตำหนักนั้นติดหนี้ข้าอยู่ ข้าจะขอยืมศิลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามาปิดผนึกเจ้าไว้”
มีเสียงสะอื้นดังออกมาจากดาบเล่มนั้นราวกับมีเด็กสาวอยู่ข้างในกำลังนั่งร้องไห้อยู่ เสียงสะอึกสะอื้นนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หยุดฝีเท้าลง สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “นี่เจ้ากำลังร้องไห้? ต้องปล่อยให้เจ้าร้องไห้ออกมา…ข้ามันช่างไร้ประโยชน์”
เหนือบนสวรรค์ชั้นที่เก้า ภายในตำหนักเฟิงชิง
“ซังมู่, พ่อของข้ากำลังเก็บตัวฝึกฝน ไม่สะดวกที่จะออกมาพบท่าน โปรดหันหลังกลับไป”
“เขาไม่สะดวกออกมาพบข้าหรือไม่กล้ามาเจอหน้าข้า” ชายในชุดดำถามขึ้นอย่างเฉยเมย
“ข้าไว้หน้าท่านแล้วแต่ท่านก็ปฏิเสธ เจ้ามันคนกำลังจะตายยังคิดจะมาเอาศิลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้า? ช่างน่าขัน! ไสหัวไปซะ! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความปราณี”
“พอคิดว่าตำหนักเฟิงชิงที่ก้าวผ่านกาลเวลามามากว่าหนึ่งหมื่นปียังทำไม่ได้แม้แต่รักษาสัญญาของพวกเขา ช่างน่าผิดหวัง! อย่างไรก็ตามศิลาศักดิ์สิทธิ์ข้าก็ต้องเอามาให้ได้”
“เจ้ามันรนหาที่ตาย..คิดว่าจะฆ่าข้าได้..”
ก่อนที่นายน้อยแห่งตำหนักเฟิงชิงจะได้จบคำพูดของเขาก็มีเลือดพุ่งออกมาจากรูบนหน้าผาก เขาตายลงพร้อมกับสายตาคับข้องใจที่กำลังไปที่ซังมู่ เขาไม่คาดฝันว่าคนที่กำลังจะตายเช่นนี้จะทำอะไรเขาได้
ซังมู่มองอย่างไม่แยแสไปที่นายน้อยตำหนักเฟิงชิงที่กำลังล้มลง
ภายในถ้ำบนภูเขาชีเจี่ยวซังมู่ผู่ที่ชิงศิลาศักดิ์สิทธิ์มาได้เหลือลมหายใจอีกไม่มากในขณะที่ก้าวเดินเข้ามาในถ้ำของเขา
เขามองอย่างอาลัยไปที่ดาบหักในมือของเขา มีแสงสะท้อนออกมาจากมันพร้อมกับปักดาบเข้าไปในศิลาศักดิ์สิทธิ์เขาพูดขึ้น “ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เจอกับเจ้านายที่จะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียน้ำตา..ในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า”
หลังจากที่เขาพูดจบรอยประทับวิหคสีชาตศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ฝากไว้บนตัวของเขาก็ระเบิด หลังจากเกิดระเบิดวิหคสีแดงเพลิงก็พุ่งทะยานออกมาจากตัวของเขา จักรพรรดิอัสนีซังมู่สลายกลายเป็นฝุ่นไป
….
“ซุ่ม!”
โม่ฟ๋านตบมือของเขาลงไปที่ถังใบใหญ่นั่น น้ำจากน้ำพุกำมะถันชะโลมไปทั่วอาวุธวิญญาณ หลังจากที่โลหะร้อนนั้นเย็นลงขั้นสุดท้ายของการสร้างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ชิ้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์
หลังจากน้ำพุกำมะถันระเหยหายไปกระบี่สีดำสนิทก็ปรากฎบนโต๊ะ ประกายไฟนับไม่ถ้วนวิ่งไหลไปบนตัวกระบี่
ทุกคนที่อยู่ในห้องใต้ดินสัมผัสได้ถึงพลังสายฟ้าอันน่ากลัวที่บรรจุอยู่ในตัวกระบี่ ร่างของเซียวเฉินสั่นสะท้านเมื่อได้เห็นมัน
ในขณะเดียวกันท้องฟ้าเหนือโรงตีเหล็กในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเมฆดำสายฟ้าคะนอง
รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดบางอย่าง โม่ฟ๋านรีบกล่าวขึ้นมา “นายน้อยเซียวรีบมอบชื่อให้กับมัน ก่อนที่อาวุธวิญญาณชิ้นนี้จะกลายเป็นอาวุธไร้เจ้าของ”
เซียวเฉินคืนสติและรีบตรงไปหาอาวุธวิญญาณที่วางอยุ่บนโต๊ะเหล็ก ลักษณะของมันเป็นไปตามที่เซียวเฉินต้องการทุกอย่าง ตัวกระบี่เพรียวยาวราวกับเคียวของยมฑูต
มองไปที่อาวุธวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่นี้เซียวเฉินระงับความตื่นเต้นพร้อมกับถือมันขึ้นมาไว้ในมือ ทันใดนั้นประกายสายฟ้าบนตัวมันก็จางหายไป มีเพียงแสงสีดำสนิทเรืองออกมา
ในทันทีที่เซียวเฉินได้สัมผัสกับกระบี่เหตุการณ์ประหลาดก็สลายหายไป เมฆดำที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้ากระจายหายไปแสงแดดอบอุ่นส่องลงมาถึงโลกอีกครั้ง
“ช่างเป็นกระบี่ที่ยยอดเยี่ยม! ข้าจะขอเรียกเจ้าว่าเงาจันทร์เช่นเดิม จากนี้ไปเจ้าคือกระบี่เงาจันทร์ของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องแตกหักอีกครั้ง” เซียวเฉินถอนหายใจอย่างเชิดชู
ทันใดนั่นเซียวเฉินก็พบว่าพื้นที่โดยรอบของเขาบิดเบี้ยว จากนั้นราวสิบห้านาทีเขาพบว่าตัวเองยืนอยู่แท่นบนยอดเขาสูงโดด
เขารู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งจ้องเขาจากด้านหลัง เซียวเฉินหันหัวกลับไปอย่างรวดเร็วและเขาพบชายชายชุดดำหน้าซีดขาวกำลังจ้องมาทางเขา
เซียวเฉินยืนตัวแข็ง เขาไม่สามารถรู้สึกได้ถึงตัวตนของชายที่ปรากฎมาด้านหลังของเขา นอกจากนั้นเขาเพียงยืนอยู่ตรงนั้อย่างนิ่งสงบก็ทำให้เซียวเฉินกดดันเป็นอย่างมาก
เขาลองส่งสัมผัสวิญญาณออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะเขาไม่สามารถส่งสัมผัสวิญญาณออกไปได้ในสถาานที่นี้
แต่เขาก็ยังคงสงบ เพราะเขาสัมผัสไม่ได้ถึงรังสีฆ่าฟันจากชายคนนี้
“ท่านเป็นใคร? พวกเราอยู่ที่ไหน?” เซียวเฉินกล่าวกับชายคนนั้นด้วยความสงสัย
ชายคนนั้นมองไปที่กระบี่เงาจันทร์ในมือของเซียวเฉินและเปิดดปากพูดขึ้นช้าๆ “เงาจันทร์…. เป็นชื่อที่ดี!”
ทันใดนั้นกระบี่ในมือของเซียวเฉินก็ไปปรากฎที่มือของชายคนนั้น เซียวเฉินประหลาดใจ เขาจะเริ่มเคลื่อนไหวแต่ก็พบว่าร่างของเขาถูกตรึงอยู่กับที่ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะขยับปากได้
ชายคนนั้นถือกระบี่เงาจันทร์และตั้งท่าแปลกๆ จากนั้นเขาก็เพียงยืนนิ่งปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ยืนอยู่บนยอดเขาปล่อยให้สายลมพัดผ่านผมของเขาปลิวไหวเผยให้เห็นหน้าอันซีดขาวของเขา
แม้เซียวเฉินจะเป็นผู้ชายเขายังสัมผัสได้ความไร้ผู้เทียบไร้ผู้ต่อต้าน เขาจะต้องทำให้ยอดวีรบุรุษทั้งหลายยังต้องอาย
ในไม่ช้าเซียวเฉินก็เข้าใจถึงท่าทางของชายตรงหน้าของเขา มันเป็นหนึ่งในกระบวณท่าของต้นกำเนิดปัญญายุทธ มันเป็นทักษะต่อสู้ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ชายคนนี้ดูเหมือนต้องการจะส่งต่อความเข้าใจเล็กน้อยต่อต้นกำเนิดปัญญายุทธให้กับเซียวเฉิน ชายแปลกประหลาดตรงหน้าเขาไม่ใช่คนธรรมดา นี่เป็นโอกาสที่เขาไม่ควรพลาด
เซียวเฉินนิ่งสงบค่อยสังเกตอย่างระวัง เมื่อใจเขาจดจ่อเซียวเฉินพบว่าชายคนนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด อย่างไรก็ตามยังคงเห็นว่าเขายืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ทักษะกระบี่อันลึกซึ้งปรากฎในใจของเขา ต่อมาทักษะกระบี่ที่น่าสะพรึงกล้วได้กลายเป็นทักษะผ่าสวรรค์สะบั้นปฐพี จากนั้นกระบวณท่าต่อไปมันกลายเป็นทักษะหอกทะลวงโลกาที่รุนแรงราวกับพายุ
เมื่อเซียวเฉินทำจิตใจให้ปลอดโปร่งภาพที่เขาเห็นก็กลับไปเป็นชายที่ถือกระบี่ยืนนิ่งปราศจากการเคลื่อนไหว
เซียวเฉินพยายามเลียนแบบกระบวณท่าสังหารที่เขาเห็นในความคิดของเขาจู่โจมใส่ชายตรงหน้าของเขา อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาเข้าไปใกล้เขาก็ถูกปราบลงด้วยกระบวณท่าเดียว ไม่ว่าทักษะใด,วิธีใดที่เขางัดออกมาใช้มันก็ไม่ได้ผล
การโจมตีของชายคนนั้นดุร้ายรุนแรงกว่านับพันเท่า เขาตีปัดทุกกระบวณท่าด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวและทุกครั้งที่เขาลงมือสวรรค์ยังต้องสั่นสะเทือน
เซียวเฉินขยับนิ้วก่อจะพบว่าเขาสามารถขยับได้แล้ว กระบี่เงาจันทร์ก็กลับมาอยู่ในมือของเขา เซียวเฉินรีบพูดขึ้น “ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่สั่งสอน ข้าอยากจะขอทราบชื่ออันเกรียงไกรของท่าน?”
ชายคนนั้นไม่ได้ตอบกลับเซียวเฉินและพูดขึ้นในสิ่งที่เขาอยากจะพูด “ต้นกำเนิดปัญญายุทธ,พลังฉีฟาดฟัน, พวกมันไม่ได้ถูกจำกัดประเภทอาวุธหรือจำกัดที่จำนวนครั้งที่โจมตี หนึ่งกระบวณท่ากวาดล้างหมื่นทักษะ หนึ่งพลังฉีสะเทือนสวรรค์”
“จำเอาไว้อย่าทำให้นางต้องเสียน้ำตา”
เมื่อเขาจบคำพูด วิหคสายฟ้าขนาดใหญ่โฉบขึ้นมาจากใต้หุบเขา ชายคนนั้นกระโดดลงไปบนหลังวิหคสายฟ้าและบินจากไป
พื้นที่แปลกประหลาดนั้นหายไป ภาพภายในห้องใต้ดินกลับมาอยู่ใรสายตาของเซียวเฉิน
คอมเม้นต์