Immortal and Martial Dual Cultivation – บทที่ 57 ช่องว่างระหว่างความสำเร็จและล้มเหลว
ตอนที่ 57 ช่องว่างระหว่างความสำเร็จและล้มเหลว
“นายน้อยเซียวเจ้าเป็นเช่นไร?” โม่ฟ๋านถามขึ้นอย่างเป็นกังวลหลังจากที่เห็นเซียวเฉินยืนแข็งไป
เซียวเฉินคืนสติกลับมาพร้อมกับพูดขึ้น “เมื่อครู่จิตใจข้าดูพล่ามัวและดูเหมือนข้าจะได้รับการสืบทอดมาแล้ว”
เมื่อโม่ฟ๋านได้ยินเช่นนั้นเขาก็ประหลาดใจ เขารีบถามเซียวเฉินถึงรายละเอียด หลังจากนั้นพักใหญ่เขาก็พูดขึ้น “ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นจักรพรรดิอัสนีเมื่อหนึ่งพันปีก่อน คิดว่าเขาคงมาส่งต่อต้นกำเนิดปัญญายุทธให้กับเจ้า”
ทักษะปัญญาแห่งการต่อสู้จากต้นกำเนิดปัญญายุทธในตำนาน มันเป็นทักษะลับที่มาจากรู้แจ้งต้นกำเนิดปัญญายุทธ ภายในทวีปเทียนวู่นี้มันเป็นหนึ่งในทักษะต่อสู้ที่แกร่งที่สุด ย้อนกลับไปในวันที่จักรพรรดิอัสนียังมีชีวิตอยู่ เขานำพามันอหังการไปทั่วพิภพและไม่มีใครอาจต้านทานได้
อย่างไรก็ตามทักษะปัญญาแห่งกาคต่อสู้ได้แตกออกไปเป็นต้นกำเนิดปัญญายุทธหกชิ้น จักรพรรดิอัสนีนั้นได้เรียนไปเพียงหนึ่ง หากมีคนที่สามารถรวบรวมต้นกำเนิดปัญญายุทธครบทั้งหกชิ้นและสำเร็จทักษะปัญญาแห่งการต่อสู้ครบทั้งหก เขาคนนั้นคงหาใครมาเปรียบไม่ได้ภายใต้สวรรค์
เมื่อนึกถึงคำพูดสุดท้ายของเขาเซียวเฉินก็งุนงง “คำสุดท้ายที่ชายคนนั้นทิ้งไว้ก็คืออย่าทำให้นางต้องเสียน้ำตา ข้าสงสัยว่ามันหมายถึง?”
เมื่อโม่ฟ๋านได้ยินดังนั้นเขาก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เซียวเฉินนึกขึ้นมาได้ว่าอ๋าวเจียวไม่ยักกะพูดอะไรเลยมาพักใหญ่แล้ว หลังจากที่เขาได้รับอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์มาเขาก็ตื่นเต้นจนลืมเรื่องของนางไป
ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกผิด การที่สร้างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ขึ้นมาได้นั้นจะเป็นไปไม่ได้หากไม่ได้นางช่วย เซียวเฉินรีบหันไปมองที่นาง
เพียงหันไปมองเขาก็ยืนตัวแข็ง เขาเห็นเพียงร่างอันจืดจางของอ๋าวเจียวราวกับว่านางกำลังจะจางหายไป
เซียวเฉินตื่นตระหนกและวิ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว “พี่สาวอ๋าวเจียวเกิดอะไรขึ้น? อย่าทำให้ข้ากลัว!”
มีหยดน้ำตาปรากฎขึ้นที่ดวงตาของอ๋าวเจียว นางไม่ได้ตอบกลับเซียวเฉินแต่แทนที่ด้วยรอยยิ้มขมๆบนใบหน้าของนาง ตลอดเวลาที่เซียวเฉินอยู่กับนางมาเซียวเฉินไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของนางมาก่อน ในขณะนี้เขาระลึกได้ว่านางช่างสวยงามตอนที่มีรอยยิ้มประทับบนหน้า
อ๋าวเจียวสานมือของนางต่อไปเรื่อยๆร่างของนางซีดจางยิ่งกว่าเดิม…ในขณะที่นางประทับมือมีแสงสว่างออกมาทั่วทั้งร่างของนาง
“เฮ้ อ๋าวเจียวเจ้าทำอะไร?” เซียวเฉินเป็นกังวลพยายามจะหยุดอ๋าวเจียว ถีงอย่างนั้นเมื่อเขายื่นมือจะไปจับตัวนางไว้ก็สัมผัสได้เพียงอากาศ มือของเขาทะลุผ่านอ๋าวเจียวไป
ในที่สุดร่างของอ๋าวเจียวก็หายไปอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นตราประทับพร้อมกับเสียง “โสว” ตราประทับนั้นก็สลักลงบนประบี่เงาจันทร์
ความเงียบเข้ามาครอบงำและภายในกระบี่เงาจันทร์ดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เซียวเฉินสัมผัสได้ว่าพลังที่บรรจุอยู่ในกระบี่เงาจันทร์ลดน้อยลงไปอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเซียวเฉินไม่ได้ใส่ใจมันในตอนนี้ เซียวเฉินหันไปหาโม่ฟ๋านและถามขึ้น “พี่ใหญ่โม่ เกิดอะไรขึ้นกับอ๋าวเจียว? นางหายตัวไปได้เช่นไร?”
โม่ฟ๋านหน้าซีด เขาจำได้ถึงตราประทับที่อ๋าวเจียวทำเมื่อครู่พร้อมกับพูดขึ้น “ส่งกระบี่เงาจันทร์มาให้ข้าตรวจดู”
เซียวเฉินส่งกระบี่ไปให้ โม่ฟ๋านรับมาพร้อมกับตรวจดูอย่างถี่ถ้วน หลังจากนั้นพักใหญ่หน้าซีดขาวของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “นายน้อยเซียวไม่ต้องเป็นกังวล อ๋าวเจียวได้ร่ายทักษะลับใช้ร่างกายของนางเพื่อเสริมพลังให้กับกระบี่เล่มนี้ นางผนึกให้มันกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับลึกซึ้งขั้นสูงไว้ชั่วคราว”
สีหน้าของเซียวเฉินไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม “มันหมายความเช่นไร? ข้าไม่ได้สนเรื่องกระบี่ ข้าอยากรู้ว่าอ๋าวเจียวนางจะกลับมาหรือไม่?”
โม่ฟ๋านอธิบาย “ความแตกต่างอันใหญ่หลวงระหว่างอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์และอาวุธระดับกึ่งศักดิ์สิทธิ์คือจิตวิญญาณอาวุธ เมื่อคนทั่วไปอยากจะสร้างอาวุธระดับกึ่งศักดิ์ขึ้นมาพวกเขาต้องการหินวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์ในการทำให้สำเร็จ”
“อย่างไรก็ตามในโลกใบนี้หินวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นหายากยิ่งกว่ายากและล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงหินวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่หินวิญญาณระดับสูงก็ยังไม่ค่อยจะมีมาให้เห็น แต่อ๋าวเจียวนั้นเป็นวิญญาณดาบ เพื่อที่จะเปลี่ยนกระบี่เงาจันทร์ให้เป็นระดับกึ่งศักดิ์สิทธิ์นางใช้ตัวเองเพื่อเป็นจิตวิญญาณอาวุธ”
เนื่องจากเหตุผลนี้กระบี่เงาจันทร์เล่มนี้ได้ถูกผนึกเป็นอาวุธวิญญาณระดับลึกซึ้งขั้นสูงชั่วคราว อย่างไรก็ตามสักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นอาวุธกึ่งศักดิ์สิทธิ์
ทำไมนางทำเช่นนี้? เซียวเฉินไม่อาจเข้าใจได้ เขาหยิบกระบี่เงาจันทร์ขึ้นมาในมือพร้อมกับพูดขึ้น “นานแค่ไหนกว่านางจะตื่นขึ้นมา?”
โม่ฟ๋านตอบ “ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
เซียวเฉินไม่เข้าใจพร้อมกับถามกลับ “ขึ้นอยู่กับข้า? ท่านหมายความเช่นไร?”
“ลองกวัดแกว่งกระบี่เงาจันทร์ในมือ” โม่ฟ๋านกล่าว
เมื่อเซียวเฉินได้ยินดังนั้นเขาจับกระบี่เงาจันทร์ให้มั่นร่ายรำสองสามกระบวณท่า มีแสงเยือกเย็นออกมาจากคมกระบี่ผ่าไปในอากาศมันไม่ได้เกิดเสียงใดๆ
เซียวเฉินสีหน้าเปลี่ยนเขารีบหมุนเวียนทักษะเปลวอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์และสร้างการเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าและกระบี่เงาจันทร์ ตัวกระบี่ส่องแสงแวววาวออกมา ทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งมันเกิดเป็นเสียงสายฟ้าฟาด ในกระบวณท่าสุดท้ายของเซียวเฉิน ปรากฎเป็นเงามังกรฟ้าจางๆบนตัวกระบี่
ถึงแม้ว่ากระบี่เงาจันทร์เล่มนี้จะยังเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับลึกซึ้งขั้นสูง แต่พลังที่บรรจุอยู่ในนั้นไม่ใช่สิ่งที่อาวุธวิญญาณระดับปฐพีทั่วไปจะมาเทียบเคียงได้
อย่างไรก็ตามปัญหาคือเซียวเฉินก็ยังไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องออกมาจากตัวกระบี่ ไม่ว่าเขาจะใส่กำลังไปเท่าไหรกระบี่เงาจันทร์เล่มนี้ก็ไม่ส่งเสียง
เกิดอะไรขึ้น? ข้าเป็นเจ้านายของมันใช่ไหม? เซียวเฉินคิดรู้สึกสับสน
โม่ฟ๋านพูดขึ้น “แม้ว่ากระบี่เงาจันทร์จะยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจถึงมัน วันหนึ่งหากเจ้าทำให้กระบี่เงาจันทร์ร่ำร้องออกมา ในวันนั้นเจ้าอาจจะได้พบกับอ๋าวเจียว”
หลังจากที่พูดคุยมาสักพักเซียวเฉินก็ส่งสัญญาณว่าเขาต้องไปแล้ว โม่ฟ๋านไม่ได้พยายามยื้ออะไรและส่งเซียวเฉินที่หน้าประตู
พวกเขาใช้เวลาไปค่อนข้างนานในห้องใต้ดินเหม็นอับนั้น ในจังหวะที่เซียวเฉินได้ออกมาสัมผัสอากาศสดชื่นด้านนอกเขาก็สูดหายใจเข้าไปคำโต
อาวุธวิญญาณก็ได้มาแล้ว แม้ว่าระหว่างทางจะมีสะดุดเล็กน้อยมันก็ยังตอบสนองความต้องการของเซียวเฉินแต่เดิมได้ทั้งหมด จุดประสงค์ที่เขาออกมาก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อยได้เวลาที่เขาจะเดินทางกลับ
อย่างไรก็ตามเซียวเฉินก็รู้สึกว่าอะไรบางอย่างขาดหายไป เขาคิดทบทวนถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับอ๋าวเจียวและคำสุดท้ายที่จักรพรรดิอัสนีได้ทิ้งเอาไว้
อย่าทำให้นางต้องเสียน้ำตาอีกครั้ง
…
ไม่นานหลังจากที่เซียวเฉินจากไปร่างของเฟิงเฟยเสวี่ยก็ปรากฎในตรอกเล็กๆ นางรีบตรงมาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ประหลาด นางอยากจะรู้ว่าใครคือผู้โชคดีที่ได้รับอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ไป
“เจ้าหมอนี่ข้าไม่อยากจะเชื่อ! ท่านหญิงน้อยได้ขอร้องปรมจารณ์โม่ถึงสามครั้งเขาก็ยังปฏิเสธที่จะช่วย พอคิดว่าเขาเต็มใจสร้างอาวุธิวญญาณระดับสวรรค์ให้มัน” เสียงแหบห้าวแฝงความอิฉาดังมาจากเงาด้านหลังเฟิงเฟยเสวี่ย
ปรากฎรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าอันงดงามของเฟิงเฟยเสวี่ยขณะที่นางหยิบปิ่นปักผมมาถือเล่น นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “ชู เจ้าคงไม่ได้คิดจะไปฆ่าเขาชิงสมบัติมาใช่ไหม?”
ชายที่ถูกเรียกว่าชูกล่าวขึ้น “มีเรื่องที่สำคัญกว่าอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ นั้นคืออย่าขัดใจท่านหญิง อย่างไรก็ตามจากที่ข้าเห็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากตระกูลดูเหมือนท่านไม่มีความตั้งใจจะทำมันให้สำเร็จแม้แต่น้อย”
“ข้าไม่ชอบการบังคับขู่เข็นผู้อื่นและเงื่อนไขที่ข้าให้เขาไปก็ค่อนข้างได้กำไร หากเขาไม่ยอมรับมันจากนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นอกจากนั้นยังส่งผลดีต่อภารกิจหลักด้วยดังนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่ได้สูญเปล่า”
….
ในขณะนี้มันก็ใกล้มืดแล้ว อย่างไรก็ตามการประมูลใหญ่ที่ศาลาหลินหลางเพิ่งจะดำเนินการจบทำให้ยังมีผู้คนมากมายสัญจรตามท้องถนน เซียวเฉินเดินไปตามถนนทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นถึงคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ข้างหน้าเขาไปอีกร้อยเมตร
เซียวเฉินจำได้ว่ามันมีลานประลองยุทธอยู่ด้านหน้า ทำให้มีผู้คนไปมุงดูบริเวณนั้นจำนวนมากพวกเขากำลังตื่นเต้นกับการประลอง
ในทวีปเทียนวู่มันเป็นวัฒนธรรมที่ผู้คนนิยมที่จะแสดงความห้าวหาญ ลานประลองเช่นนี้สามารถเห็นได้ทั่วไป นอกจากนั้นมันยังเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ มันจะมีบางครั้งที่พวกเขากระทบกระทั่งเหยียบตีนกันตามท้องถนนและมาที่ลานนี้เพื่อประลองกัน หรือบางคนเมื่อบ่มเพาะพลังไปจนถึงจุดหนึ่งก็จะออกมาวัดฝีมือของตัวเองโดยการท้าประลองกับผู้อื่น
พวกเขาสามารถวางเงินเดิมพันเพื่อท้าสู้กับเจ้าแห่งลานประลองซึ่งหากชนะก็จะได้รับเงินจำนวนมาก นั้นเป็นหนึ่งในเเรงจูงใจให้คนมาที่ลานประลองอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือมาเพื่อสร้างชื่อเสียง
แม้ว่ามาตราฐานของลานประลองข้างถนนแบบนี้จะต่ำไปหน่อยแต่ข่าวลือก็กระจายไปได้ไวและไกล หากพวกเขาชนะได้ติดต่อกันพวกเขาก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็วเป็นผลให้เข้าตาเหล่าตระกูลใหญ่
มันยังไม่มืดเท่าไหรและมองเห็นสีสันความสนุกของผู้คนโดยรอบลานประลองเซียวเฉินตัดสินใจแวะดูสักเล็กน้อย
“ตระกูลเซียวคงไม่ได้มีแต่ขยะเช่นเจ้าหรอกนะ? ด้วยฝีมือน้อยนิดยังกล้าเรียกตัวเองว่ารุ่นเยาว์ที่แกร่งที่สุดในเมืองม่อเหอ? หากเจ้าเข้าไปในป่าอสูรปีศาจขยะเช่นเจ้าน่าจะยืนได้ไม่ถึงวัน”
ก่อนที่เซียวเฉินจะได้เข้าไปใกล้ลานประลองเขาได้ยินเสียงดังออกมา เซียวเฉินประหลาดใจ รุ่นเยาว์ที่แกร่งที่สุดในเมืองม่อเหอ? หรือจะเป็นเซียวเจี้ยน? ทำไมเขามาโผล่ที่นี่?
แล้วใครเป็นคนพูดขึ้นมา? เสียงช่างฟังดูคุ้นหู? เซียวเฉินสงสัยจึงรีบเดินฝ่าฝูงคนเข้าไปข้างหน้า
เขาเมินเสียงก่นด่าของผู้คนที่อยู่โดยรอบพร้อมกับใช้พลังปราณของเขาเปิดทางเข้าไป เมื่อเขาได้เข้ามาถึงหน้าลานประลองเขาก็ได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สองคนที่ยืนอยู่บนลานประลองคือจางเหอกับเซียวเจี้ยน ในตอนนี้ร่างของเซียวเจี้ยนเต็มไปด้วยบาดแผล เขาดูน่าสังเวชแต่เขาก็ยังคงกัดฟันยืนอยู่
เทียบกับจางเหอผู้ที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีขาดเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน บนใบหน้าของเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนไม่แสดงสีหน้าออกมาแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าการประลองจะรู้ผลไปแล้วตอนนี้เขาเพียงกำลังกลั่นแกล้งเซียวเจี้ยนกดชื่อเสียงของตระกูลเซียว
เมื่อเซียวเจี้ยนได้ยินคำพูดถากถางของจางเหอสีหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาตะโกนออกมาเสียงดังยกดาบขึ้นพุ่งเข้าใส่จางเหออีกครั้ง
เซียวเฉินส่ายหัวในทันที ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาไม่อาจสงบใจได้แล้วเลือดเดือดเต็มหัวและพุ่งออกไปเช่นนั้น เป็นผลมาจากการที่ถูกฉีกหน้าอย่างโหดร้าย
แน่นอน เป็นไปตามที่เซียวเฉินคาดไว้ ก่อนที่เซียวเจี้ยนจะได้เข้าไปใกล้บาดแผลนับไม่ถ้วนก็ปรากฎขึ้นบนร่างกายของเขาเมื่อจางเหอยิงดาบพลังฉีออกไป
เซียวเจี้ยนที่พุ่งขึ้นหน้าไปสะดุดล้มลงอย่างแรง จางเหอเยาะเย้ยเขา “เจ้าขยะจากตระกูลเซียวยังเก่งกว่าเจ้าเลย อย่างน้อยเขาก็ยังทำให้ข้าต้องไอเป็นเลือด ส่วนเจ้าแตะตัวข้ายังไม่อาจจะทำได้”
ได้ยินจางเหอนำเขาไปเปรียบเทียบกับเซียวเฉิน เซียวเจี้ยนก็หน้ากะตุก เขาระเบิดพลังออกมาและพุ่งเข้าใส่จางเหออย่างบ้าคลั่ง
เขาตะโกนออกมาราวกับคนบ้าทำให้จางเหอต้องถอยกลับ พุ่งเข้ามาเช่นนี้เขายังไม่ได้เตรียมรับมือ
หน้านิ่งๆของจางเหอเมื่อครู่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ดาบพลังฉีจำนวนนับไม่ถ้วนส่งออกมาจากร่างของเขาและพุ่งเข้าใส่เซียวเจี้ยนอีกครั้ง
ดาบพลังฉีลอยไปรอบๆอย่างไม่มีรูปแบบกลายเป็นเกราะคลุมร่างของจางเหอไว้ หลังจากที่เซียวเจี้ยนลุกขึ้นมาไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาก็ไม่สามารถเจาะผ่านม่านดาบพลังฉีนี้เข้ามาได้
ดวงตาของเซียวเฉินเป็นประกายสำรวจม่านดาบพลังฉีนั้นอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาของเขาไร้ประโยชน์ต่อคนผู้นี้
ในจังหวะนั้นสีหน้าของจางเหอก็กลายเป็นจริงจัง สายตาของเขานิ่งสงบราวกับสายน้ำไหลจ้องมองไปที่เซียวเจี้ยน เขาฟาดฟันออกมาสามจังหวะและสามดาบพลังฉีอันดุร้ายก็พุ่งตรงไปที่สามจุดสำคัญบริเวณจุดตันเที่ยนของเซียวเจี้ยน
แย่แล้ว! เขาต้องการที่จะทำลายเซียวเจี้ยน เซียวเฉินคิดในใจเขาต้องออกไปช่วยเซียวเจี้ยน
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบใจเซียวเจี้ยนนักแต่ก็ยังเป็นสมาชิกของตระกูลเซียว ด้วยลักษณะนิสัยของเขาเขาไม่อาจนิ่งเฉยและปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน
“ฟุ่ว!ฟุ่ว!ฟุ่ว!”
กระแสไฟฟ้าส่องประกายออกมาจากฝ่ามือของเขา ทันใดนั้นมันก็พุ่งผ่าอากาศเข้าไปทำลายดาบพลังฉีของจางเหอ หลังจากนั้นความรุนแรงของมันไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยยังคงพุ่งตรงไปทางจางเหอ
คอมเม้นต์