Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 105
Chapter 105: เพาะปลูก
“ผู้อาวุโสฮั่น!”
ขณะที่หลินเหลยเยว่เดินออกมาจากหุบเขาสันโดษ ก็มีเงาร่างหนึ่งตามนางมา
แต่ว่า ดูเหมือนว่านางจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และดังนั้น สีหน้าของนางจึงไม่เปลี่ยน “ขอบคุณท่านที่มาธุระเรื่องนี้ด้วยตนเอง!”
“เหอเหอ…”
ผู้อาวุโสฮั่นส่ายหน้า เขาฟื้นตัวสมบูรณ์แล้วตอนนี้และกลับมาเยือกเย็นในแบบที่ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 11) ควรมี แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเผชิญหน้าตรง ๆ กับหุบเขาสันโดษได้ “หุบเขาสันโดษมีความลับมากมาย โดยเฉพาะตัวฟางหยวนเอง ทั้งสำนัก ข้าเกรงว่าคงจะมีเพียงตัวเจ้าสำนักเองแล้วที่จะแทรกซึมเข้าไปได้สำเร็จ…”
“ถ้าที่ท่านพูดเป็นความจริง เช่นนั้นระดับการฝึกฝนของฟางหยวนก็คงเป็น… 4 ประตูสวรรค์?”
มีความตกใจในดวงตาของหลินเหลยเยว่
หลังจากเข้าร่วมกับลู่เหรินเจีย จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุก็จำต้องรับความเจ็บปวดหัวใจและมอบยาเม็ดวิญญาณออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของพวกเขา ผู้อาวุโสฮั่นและหลินเหลยเยว่ทั้งคู่ล้วนได้ประโยชน์ ผู้หนึ่งฟื้นตัวเรียบร้อย ส่วนอีกผู้หนึ่งก็ทะลวงด่านไปที่ประตูถัดไปได้
แต่ว่า เทียบกับฟางหยวน การพัฒนาไปของฟางหยวนนั้นยังคงน่าตกตะลึงยิ่งกว่า
“แม้แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่าฟางหยวนผู้นั้นมีพรสวรรค์… ข้าก็ไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าในหุบเขาสันโดษนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป และยังมีสัตว์วิญญาณนั่นอีก!”
ผู้อาวุโสฮั่นส่ายหน้าอย่างท้อแท้ หลังจากกำจัดฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งได้แล้ว หุบเขาสันโดษก็เทียบเทียมกับสำนักกุยหลิงจริง ๆ
จากตกใจ ก็กลายเป็นหวาดกลัว
“สำนักกุยหลิงยังคงเก็บงำฝีมือเอาไว้ ซึ่งทำให้อีกฝ่ายก็พัฒนากำลังช้าเช่นกัน… พวกเราควรจะฉวยโอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนพวกมันและกำจัดพวกมันเสีย!”
เขาไม่พยายามปิดบังความตั้งใจ
ในสนามรบ ทั้งหมดที่ทำได้คือรับคำสั่งและเขาสามารถปล่อยให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตายตกไปได้โดยไม่ต้องใช้วิธีต่ำช้าด้วยซ้ำ
มีเพียงเมื่อฝ่ายตรงข้ามในมณฑลกลายเป็นผู้แพ้ สำนักกุยหลิงจึงจะมีอิสระที่จะทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ
ส่วนหุบเขาสันโดษนั้น ต้องรอปาฏิหาริย์แล้วจริง ๆ เพียงแค่ไม่ทันสังเกต มันก็พัฒนาขึ้นมาถึงเพียงนี้ในระยะเวลาอันสั้น
แต่ว่า มันก็ยังไม่สำคัญถึงเพียงนั้น เมื่อเจ้าสำนักลงมือเอง ด้วยความสามารถของนางที่จุดสูงสุดของประตูทองที่ 12 มันก็ง่ายราวกับกระโดดข้ามกำแพง
ความแตกต่างระหว่างอู่จงกับผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดานั้นเกินจะวัดได้ มันเหมือนระยะห่างระหว่างท้องฟ้ากับผืนดิน!
“อาจารย์จะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร…”
หลินเหลยเยว่หยุดและมองกลับไปที่หุบเขาสันโดษอีกครั้ง จู่ ๆ หัวใจนางก็เต้นเร็วขึ้น นางไม่ต้องการเห็นพี่ฟางไปถึงจุดที่ถอยกลับไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน นางก็รู้สึกโล่งอกอย่างเหลือประมาณ นางไม่ลังเลและเดินต่อไป
ทั้งสองคนนั้นเร็วมากและหายเข้าไปในป่าในเวลาเพียงไม่นาน
ความเงียบและสงบของป่ากลับมา
หลังจากนั้นเป็นนาน ฟางหยวนก็ปรากฏตัวขึ้นและมีสีหน้านิ่งเฉย “พวกเขากระทั่งส่งผู้อาวุโสฮั่นมาสอดแนมในหุบเขา ดูเหมือนว่าในสำนักจะไม่มีผู้มีความสามารถเพียงพอแล้ว!”
“นอกจาก… สืออวี้ถง?”
…
หลังจากฟางหยวนกลับมาที่หุบเขาสันโดษ ก็มีข่าวใหม่หลายข่าว
การกบฏครั้งนี้ใหญ่โตขึ้นแล้ว ไม่เพียงมณฑลชิงเหอ มณฑลซางฉุย และมณฑลจูชื่อออกจากการปกครองของอี้ซานฝู พวกเขานำโดยสำนักกุยหลิง สำนักสลายกระดูก และสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองนั้นมารวมกันเป็นกองทัพขนาดใหญ่กว่า 10,000 คน และยังมีกลุ่มกำลังจากภายนอกมาร่วมด้วย ลู่เหลินเจียขึ้นเป็นหัวหน้ากองกำลังโดยไม่มีผู้คัดค้าน เขาท้าทายหลิวเอี๋ยนโดยตรงอย่างไม่คำนึงถึงชื่อเสียงหน้าตา
ส่วนราชวงศ์เซี่ย และอีกสองเมืองมณฑลนั้น พวกเขาแค่รอดู หรืออย่างมากก็ส่งจอมยุทธ์ระดับสูงสักคน ปลอมตัวเข้าไปคอยสืบข่าวเท่านั้น
ฟางหยวนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกสองมณฑล แต่ในมณฑลชิงเหอ สำนักกุยหลิงนั้นจัดการกำจัดศัตรูและตระกูลที่ยังภักดีกับอี้ซานฝู เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
มีข่าวว่าสามตระกูลถูกกำจัด และยังปล้นชิงเอาทรัพยากรจำนวนมากไป ส่วนตระกูลอื่นที่รู้เรื่องนี้ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว เกรงว่าจะเป็นตระกูลถัดไปที่ถูกจัดการ
จากทั้งหมดนี้ ฟางหยวนก็เดาได้ว่าเขาเหลือเวลาไม่มากนักแล้ว
แต่ว่า มีข่าวหนึ่งที่ทำให้ฟางหยวนกังวล
“ลู่เหรินเจียขอความช่วยเหลือจากนักรบศักดิ์สิทธิ์ปริศนาผู้หนึ่ง และนักรบผู้นั้นมีเลือดสีแดงสดอาบร่าง เขาน่าจะได้รับความช่วยเหลือจากโลหิตมังกร ซึ่งอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงสามารถสูบเลือดจากจอมยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ 3-4 คน และยังจอมยุทธ์ระดับกำลังภายในอีกห้าคนได้พร้อมกัน และนั่นน่ากลัวมาก…”
“ที่บรรยายออกมานี้… เหตุใดจึงคล้ายกับเคล็ดโลหิตเวทย์ เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับโลหิตสังหาร?”
คิดถึงตรงนี้ เขาก็สรุปที่เขาสงสัยเกี่ยวกับลู่เหรินเจีย
“ถ้าข้าสร้างปัญหาให้สำนักกุยหลิงตอนนี้ ข้าน่าจะทำลายความสามารถในการรบของพวกเขาได้อย่างมาก สืออวี้ถงจะควบคุมทั้งมณฑลและรวมกำลังเข้าด้วยกันได้ยากขึ้น… การส่งผู้อาวุโสฮั่นและศิษย์ผู้อื่นของนางมาล้อมที่นี่ไว้ล้วนเผยความคิดของนางออกมาหมดแล้ว แต่…”
ถ้าฟางหยวนอยากจะฆ่าจริง ๆ ต่อให้มีผู้อาวุโสฮั่นสองคนก็คงไม่สามารถรักษาชีวิตพวกมันไว้ได้
แต่ว่า สังหารอย่างโหดเหี้ยมไม่ได้เป็นเรื่องดีสำหรับเขาและไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำ
“ปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่ซื้อเวลาให้ข้าได้อย่างน้อยอีก 5 วัน…”
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรวมตัวกันต่อต้านสำนักกุยหลิงในเวลาที่เหลือเพียง 5 วัน แต่สำหรับฟางหยวนนั้นยังพอเป็นไปได้มากกว่าเล็กน้อย เขาแค่ต้องฝัน
…
ยอดเขาชอุ่มดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในกระท่อมฟาง
ฟางหยวนวางอ่างหินใบหนึ่งเอาไว้ตรงหน้าเขา ในนั้นเติมน้ำไว้จนเต็ม และยังมีจุดสีแดงละลายอยู่ในน้ำอีกหลายจุด
เมื่อมองไปใกล้ ๆ จึงจะเห็นว่าจุดแดง ๆ เหล่านั้นอันที่จริงคือข้าวหยกเพลิง หมุนอยู่ในอ่างน้ำ และมันดูเหมือนจะมีชั้นสีทองที่ยังไม่แผ่ออกมา
“ไป!”
เพียงแค่โบกนิ้ว เขาใส่พลังลงไปและน้ำผสมกับสีแดงเพลิงก็ลอยออกมาตกลงบนกระดาษเยื่อไผ่ที่วางไว้ด้านหนึ่ง มันซึมหายไปอย่างรวดเร็วเหลือแต่คราบสีแดงเป็นประกาย
ฟางหยวนหยิบกระดาษขึ้นมาตรวจสอบดู
“ตามวิธีการจำแนกพิษที่บันทึกไว้ใน <<บันทึกของวิเศษ>> ตอนนี้ข้าสามารถยืนยันได้แล้วว่าข้าววิญญาณนี้ไม่มีพิษ ใช้วิธีตรวจสอบด้วยน้ำบริสุทธิ์ ข้าเห็นได้ชัดว่ากระดาษนั้นมีประกายสีทองซ่อนในสีแดง คุณสมบัติธาตุไฟแข็งแกร่งที่สุด แต่ในนั้น ยังซ่อนธาตุโลหะเอาไว้ด้วย ไม่คิดเลย… และสุดท้าย รอยนี้ยาวหนึ่งนิ้วกับหกกระเบียด บ่งบอกว่าพลังวิญญาณของมันนั้นสูงกว่าระดับสีเหลือง เพราะว่ามันเป็นข้าววิญญาณ บางทีอาจจะนับว่าอยู่ในระดับปริศนาได้?”
วิธีการประเมินที่อธิบายไว้ใน <<บันทึกของวิเศษ>> นั้นคิดค้นโดยจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่พบว่าของวิเศษที่ปรากฏบนโลกนั้นมีมากมายและหลากหลายนัก
และในนั้น ของวิเศษแยกออกเป็น ดิน ฟ้า ปริศนา และเหลือง
ตามที่อธิบายใน <<บันทึกของวิเศษ>> ข้าวหยกแดง หญ้ามรกต และกระทั่งลูกไผ่และผลเปลวไฟยะเยือก ล้วนแต่อยู่ระดับเหลือง และมีระดับสูงกว่ามาตรฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนข้าวหยกเพลิง ชาชำระจิต และผลหยกแดง ล้วนพิเศษและสามารถจำแนกอยู่ในระดับปริศนา
“ผลของข้าวหยกเพลิงนั้นไม่ได้ดีไปกว่าผลเปลวไฟยะเยือกและสูงกว่าระดับเหลืองเพียงไม่มาก แต่เพราะว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกฤดูกาลและยังเก็บสะสมไว้ได้ในปริมาณมาก คุณค่าของมันจึงสูงขึ้น ดังนั้นจึงจำแนกอยู่ในระดับปริศนา… ส่วนชาชำระจิตและผลหยกแดงนั้น อยู่ในระดับปริศนาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง…”
“หลังจากประเมินระดับของข้าวหยกเพลิงและรู้คุณสมบัติของมันแล้ว ตอนนี้ข้าก็สามารถปลูกมันในจำนวนมากและเริ่มกินเป็นอาหารได้แล้ว…”
ฟางหยวนพยักหน้า เก็บเปลือกข้าวหยกเพลิงขึ้นมา เดินออกไปข้างนอกแล้วป้อนให้อินทรีดำหางเหล็กกิน
ขณะที่อินทรีดำหางเหล็กกิน มันก็ร้องครางแหลมยาวอย่างมีความสุข
“ข้าวหยกเพลิงเป็นพืชธาตุไฟ ถ้าหลิวเอี๋ยนหรือนักรบศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟผู้ใดรู้ว่ามีพืชชนิดนี้อยู่ พวกมันก็คงทำทุกอย่างที่ทำได้ในขอบเขตอิทธิพลของพวกเขาเพื่อให้ได้มันไปและได้กินทุกวัน มันมีประโยชน์อย่างประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับข้า มันก็เพียงแค่ช่วยเหลือถ้าข้าเลือกที่จะฝึกเคล็ดธาตุไฟในอนาคต…”
ข้าวหยกเพลิงที่เขานำมาประเมินนี้ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อย และฟางหยวนก็คร้านเกินกว่าจะเอาไปหุง เขาจึงยกให้อินทรีดำหางเหล็กไปทั้งหมด
หลังจากนั้น เขาก็ไปดูสวนพืชวิญญาณที่เพิ่งยกแปลงใหม่ และปลูกลงไปทีละเมล็ด
[การดูแลพืช (ระดับ 4)] ช่างน่าประทับใจ เพียงท่าทางตามธรรมชาติของฟางหยวนในการปลูกเมล็ดนั้นก็ยังดูปราณีตขึ้นมาได้
“ถ้าเจ้ายังอยากกินข้าวดี ๆ เช่นนี้อีกในฤดูถัดไป จำไว้ว่าต้องเฝ้าดูแลไร่นี้ให้ดี และอย่าปล่อยให้ใครมาทำลายไปได้ เข้าใจหรือไม่?”
ฟางหยวนลูบหัวอินทรีดำหางเหล็กขณะบอกกล่าวแก่มัน
หลังจากได้ลองกินด้วยตัวเองแล้ว แน่นอนว่ามันต้องให้ความสนใจดูแลไร่พืชวิญญาณนี้อย่างแน่นอน
มองขึ้นฟ้าไปเขาก็พบว่า เป็นเวลาบ่ายแล้ว
ฟางหยวนหยุดมือแล้วหุงข้าวหยกแดงหนึ่งหม้อใหญ่ เขายังให้อินทรีดำหางเหล็กไปจับปลาสด ๆ มาสองตัว รมควันกินเป็นมื้อกลางวัน
คุณภาพของน้ำในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ยอดเยี่ยมมาก และปลาที่มาจากแหล่งน้ำเช่นนั้นก็อ้วนท้วนและสด เพียงแค่รมควันเพื่อลบกลิ่นคาวปลาออก เนื้อปลาก็กรอบนอกนุ่มใน ขณะที่เขาแกะกิน เนื้อและก้างก็แยกออกโดยง่าย และอร่อยยิ่งนัก เป็นมื้อกลางวันที่ยอดเยี่ยม
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ฟางหยวนกำลังอร่อยกับมื้อกลางวันของเขาขณะที่อินทรีดำหางเหล็กกระพือปีกอย่างไม่พอใจ ราวกับต้องการเพิ่ม
หลังจากได้ลองข้าวหยกเพลิง มันก็รู้สึกว่าการกินข้าวหยกแดงนั้นเป็นการทรมานมันยิ่งนัก
“ฮ่าฮ่า…”
เห็นกิริยาคล้ายมนุษย์ของอินทรีดำหางเหล็กแล้ว ฟางหยวนก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้
หลังจากกินอิ่มแล้ว ฟางหยวนก็กลับไปที่ไร่ แล้ววางแผน “เอาตามนี้ ข้าจะมุ่งไปที่การปลูกข้าวหยกเพลิง! ข้าวหยกดำและข้าวริ้วขจีนั้นเป็นรสชาติใหม่ ขณะที่บุปผาป่นกระดูกและผลสามดารานั้นไม่ได้มีประโยชน์นัก บางทีข้าอาจจะส่งให้คนรับใช้สักคนปลูกมันก็ได้ แล้วก็ ที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นหญ้าวงเดือนและบุปผากงจักร!”
ฟางหยวนนั้นหวังกับพืชที่ร้ายกาจทั้งสองเอาไว้มาก เขายังบอกอินทรีดำหางเหล็กไว้เป็นการเฉพาะให้ล่าสัตว์ป่ามาและเริ่มเตรียมเลือดให้พืชพวกนี้
“พืชวิญญาณอื่นรดด้วยน้ำและปุ๋ยวิญญาณ แต่พืชวิญญาณทั้งสองนี้กลับไม่ต้องการดินวิเศษแบบใด เพียงต้องการเลือดมารดต้องการเนื้อกับกระดูกมาเป็นปุ๋ย…”
ฟางหยวนยังตั้งใจเลือกตำแหน่งที่ห่างไกลจากไร่สวนบริเวณเดิมแล้วยกแปลงดินแคบยาวแปลงหนึ่งขึ้นมาใหม่
นี่ไม่เพียงเพื่อพืชเดิมในสวนแต่ยังเพื่อปลูกพืชวิญญาณทั้งสองนี้
“อย่างไรเสีย พืชวิญญาณพวกนี้ก็นับเป็นนักล่าและดังนั้นน่าจะต้องการพื้นที่กว้างเพื่อให้สามารถล่าเหยื่อได้ด้วยตัวเอง นั่นจะลดปัญหาข้าไปได้มาก!”
ในดินแดนนี้มีสัตว์ป่าอยู่มากและยังเพียงพอแก่การเติบโตของพืชวิญญาณทั้งสอง
“ซ่า!”
ฟางหยวนคนในถังไม้และใช้กระบวยตักเลือดออกมารด และไร่สวนตรงนี้ก็กลายเป็น ‘สวนโลหิต’ หลังจากนั้น เขาก็ปลูกเมล็ดพืชลงไปทีละเมล็ด
“เพราะว่าข้าใช้เนื้อสัตว์เป็นปุ๋ย พวกมันน่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นสัตว์ประหลาดร้ายกาจ!”
เขามีความรู้สึกรุนแรงว่านี่จะช่วยเพิ่มโอกาสการวิวัฒน์ไปเป็นสายพันธุ์พิเศษด้วย [การดูแลพืช (ระดับ 4)] ของเขา ไร่แปลงนี้น่าจะทำให้เขาประหลาดใจได้มากทีเดียว
คอมเม้นต์