Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 107
Chapter 107: ควบคุม
“เจ้าต้องการอะไร เจ้าปิศาจ?”
ผู้ฝึกตนอมตะผู้หนึ่งในระดับหายนะยืนขึ้น ราวกับเรียกร้องหาความยุติธรรม
“เจ้ามันหนวกหู!”
ฟางหยวนเหลือบมองแล้วดีดนิ้ว
“เพี๊ยะ!”
ครู่ถัดมาก็ทำให้เหล่าปรมาจารย์หลายคนที่อยู่ในระดับหายนะตะลึง การฝึกตนของผู้ฝึกตนอมตะผู้นั้นถูกลดระดับลง จากระดับหายนะไปเป็น รวมเวทย์ จากนั้นก็ หลอมเวทย์ และ แบ่งเวทย์ จากนั้นก็แก่นธาตุ… และสุดท้ายนั้น เขาก็ไม่เหลือการฝึกตนอะไรเลยและกลับไปเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง
“เจ้า…”
ผู้ฝึกตนอมตะที่มาอยู่ระดับนี้ได้นั้นเดิมทีมีอายุขัยยืนยาว
แต่เมื่อระดับการฝึกตนของเขาถดถอยลง ผู้ฝึกตนอมตะที่ดูเป็นชายวัยกลางคนก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นชายชราผมขาวผิวพรรณเต็มไปด้วยรอยยับย่น
เขาเหยียดนิ้วผอม ๆ ราวกับขาไก่ออกมา ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เขาก็หมดสติและไม่หายใจอีกต่อไป เขาตายตกไปด้วยความชรา!
“เป็นอย่างไร? ยังมีใครมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ฟางหยวนหรี่ตาขณะพูด และไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ
ด้วยประสบการณ์มากมาย พวกมันทั้งหมดรู้ว่าควรจะยอมจำนนและยอมรับความพ่ายแพ้ พวกมันคุกเข่าลงและถาม “ผู้อาวุโส มีสิ่งใดจะใช้งานพวกเราหรือไม่?”
“ผู้อาวุโส?”
ฟางหยวนหัวเราะและคิดในใจ “น้ำเสียงเปลี่ยนไปทันที นี่คือสิ่งที่จิตเหนือสำนึกของข้าคิดหรือนี่?”
“ลืมมันไปเสีย!”
เขาโบกมือและพูดอีกว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป สิ่งใดที่เป็นของโลกมนุษย์ ก็ยังเป็นของโลกมนุษย์ และสิ่งใดที่เป็นของโลกอมตะชน ก็ยังคงเป็นของโลกอมตะชน นี่คือ…แบ่งแยกฟ้าและดิน!”
ทุกอย่างที่ฟางหยวนพูดล้วนเป็นกฎแห่งความเป็นจริงและต้องปฏิบัติตาม
เพียงแค่เขาพูดจบ ฟ้าและดินก็สั่นสะเทือน ราวกับมีบางสิ่งกำลังเปลี่ยนไป
“โลกแห่งอมตะชน… กำลังแยกตัวออกไปแล้ว!”
ปรมาจารย์ในระดับหายนะบางคนหลับตาลงขณะที่บางคนดึงหยกของตนออกมาดู แล้วก็ให้พูดไม่ออก
พวกเขาไม่มีความตั้งใจจะต่อต้านฟางหยวนผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยเพียงแค่ไม่กี่คำพูดแล้ว
“จากวันนี้ไป ข้าจะเป็นผู้นำสูงสุดของโลกเฉียนหยวน เป็นผู้คุมกฎเหนือทุกผู้ ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย!”
เสียงของฟางหยวนนั้นไม่แยแส เขามองไปที่ผู้ฝึกตนอมตะที่โค้งกายคารวะให้แก่เขา แต่หัวใจของเขาก็ไม่ได้สั่นไหวเลยสักนิด
ถึงตรงนี้ เขาเป็นผู้คุมกฎของทั้งเฉียนหยวนแล้ว
แล้วถ้าเขาได้เป็นผู้ควบคุมโลกนี้เล่า? นี่เป็นเพียงความฝันและเขาก็ยังไม่สามารถควบคุมโลกแห่งฝันได้
“คนผู้หนึ่งจะสามารถควบคุมโลกได้ก็เมื่อความสามารถถึงจุดสูงสุด ข้ายังห่างจากระดับนั้นอีกช่วงหนึ่ง!”
เช่นกัน จักรพรรดิในโลกจริงก็ต้องปกครองประเทศ แต่เทียบกับทั้งโลกแล้ว ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย!
อย่างน้อยที่สุด จักรพรรดิก็ไม่มีผลต่อธรรมชาติและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสภาพดินฟ้าอากาศจะเป็นอย่างไร น้ำท่วมภัยแล้งหรือข้าวยากหมากแพง
ฟางหยวนนั้นควบคุมได้มากกว่าจักรพรรดิในโลกจริงเสียอีก เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นเทพเจ้า แต่ก็ยังคงห่างไกลจากการควบคุมโลกแห่งความฝันเบ็ดเสร็จอยู่
“จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากฟ้าและดินแยกกัน?”
เขาคิดก่อนที่จะหายตัวไปจากตรงหน้ากลุ่มปรมาจารย์ ทิ้งพวกเขาไว้ในความตกตะลึง
…
เวลาผ่านไปราวสายน้ำไหล
100 ปีผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากแยกฟ้าและดินแล้ว โลกแห่งอมตะชนก็ปิดตาย ปรมาจารย์ในระดับหายนะที่รอดพ้นจาก 9 เพลิงพิบัติได้ก็ไม่สามารถขึ้นสู่โลกแห่งอมตะชนได้
ในตอนแรก ทั้งโลกแห่งการฝึกฝนนั้นถูกโดดเดี่ยว ผู้ฝึกตนอมตะมากมายตกอยู่ในความสิ้นหวังและเดินเข้าสู่หนทางแห่งความชั่วร้าย
หนึ่งร้อยปีให้หลัง เมื่อผู้ฝึกตนอมตะสายมารนั้นรวมตัวกันแล้วออกสังหารผู้คน ผู้ฝึกตนอมตะรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้น โลกเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ปรมาจารย์ในระดับหายนะหลายคนพยายามหนีไปสู่โลกแห่งอมตะชน แต่ล้วนล้มเหลว หลังจากสูญเสียความหวัง พวกเขาก็ตัดสินใจใช้ชีวิตไปกับการค้นหาความลับของความเป็นอมตะ
จำนวนของผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นจากชนรุ่นใหม่นั้นเริ่มเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีผู้เป็นอมตะอีกต่อไปและผู้ที่มีพลังมากที่สุดก็คือปรมาจารย์ในระดับหายนะ
เมื่อไม่มีอิทธิพลภายนอกจากโลกแห่งอมตะชน โลกแห่งการฝึกตนที่โดดเดี่ยวแห่งนี้ก็เริ่มพัฒนา
แม้ว่าฟางหยวนจะบอกว่าตนเป็นผู้นำสูงสุดของโลกนี้ เขาก็เก็บตัวเงียบมาตั้งแต่นั้น อาศัยอยู่อย่างสันโดษ ดังนั้น ทุกอย่างตั้งแต่ปิศาจล้างโลกถึงการแยกตัวของฟ้าและดินก็ค่อย ๆ กลายเป็นตำนาน
“อืม… ร่างกายนี้ของข้าในโลกแห่งความฝันนั้นเหมือนจริงมาก ไม่มีความแตกต่าง อย่างน้อยก็เมื่อมองด้วยตา…”
ฟางหยวนอาศัยอยู่ในป่าลึกบนเขา เขาตรวจสอบจุดตันเถียนของตนแล้วก็รู้สึกพอใจ
ในโลกแห่งความฝันนี้ สมบัติล้ำค่าและอาวุธวิเศษล้วนเป็นเพียงมายา วิชายุทธ์ก็ล้วนเป็นการละเล่นของเด็กเท่านั้น
อย่างเดียวที่มีประโยชน์บนโลกนี้ก็คือสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความฝันที่เขาใช้ในการปรับวิทยายุทธ์ของเขาให้สมบูรณ์
อย่างน้อย ในหนึ่งร้อยปีนี้ ฟางหยวนก็คุ้นเคยกับเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กเป็นที่สุด เขายังอ่านตำราฝึกจิตสำนักกุยหลิงและตำราฝึกจินซวนหยินไปแล้วหลายรอบ คุ้นเคยกับทั้งสองวิชาและยังอาจจะเจนจบในทั้งสองวิชามากกว่าทั้งสืออวี้ถงและเจ้าสำนักห้าผีแล้ว
เมื่อเขากลับไปสู่โลกจริง เขาก็สามารถเทียบได้กับเจ้าสำนักแล้ว
“แม้ว่าข้าจะใช้เวลาไปหลายปี แต่มันก็ยังขาดอีกจุดหนึ่งจึงจะเหมือนอย่างสมบูรณ์! หนึ่งจุดที่แตกต่างไปนั้นกลับทำให้ทุกอย่างต่างไปจากโลกจริงเป็นอย่างมาก!”
ฟางหยวนถอนหายใจเงียบ ๆ
ด้วยการหลอมรวมกันระหว่างตำราทั้งสองที่เขาได้อ่าน เขาก็เข้าใจกระจ่างได้มากขึ้นถึงเส้นทางการขึ้นเป็นอู่จงด้วยเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก เขายังสามารถ ‘ฝ่าด่าน’ หลายด่านได้ในโลกแห่งความฝันนี้
แต่ว่า การจะฝ่าด่านได้ในโลกจริงนั้น เขายังต้องค่อย ๆ ทดสอบอย่างช้า ๆ ในโลกจริง เพียงแค่คิดอยู่ในโลกแห่งความฝันนั้นยังคงไม่เพียงพอ
“นี่… ข้าอาจจะต้องใช้ตัวทดลอง…”
ฟางหยวนมีสีหน้าเย็นเยียบและจู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้น “หือ? นี่มัน…”
ระดับของเขาในตอนนี้ในโลกนี้นั้นอยู่ที่จุดสูงสุด เพียงแค่มองขึ้นไปบนฟ้า เขาก็ไปถึงถ้ำของเหล่าอมตะชน
“ฮ่าฮ่า… ข้าทำสำเร็จ! ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
อมตะชนในระดับแก่นทองคำที่มีผมยุ่งเหยิงมองไปที่เครื่องมือใหญ่เทอะทะเครื่องหนึ่งที่กำลังหมุนอยู่ ดวงตาเป็นประกาย “นี่เป็นกังหันพลังเวทย์ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องอาศัยอมตะชน ทำงานโดยใช้น้ำมัน แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถใช้มันสร้างพลังเวทย์ได้ …ความปรารถนาของบรรพบุรุษของข้ากำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว!”
จำนวนของผู้ฝึกตนอมตะในโลกเฉียนหยวนยังคงน้อยกว่าจำนวนคนธรรมดามาก
ในโลกไหน ๆ ก็มีอมตะชนเพียงน้อยนิดอยู่แล้ว นอกเสียจากจะมีทรัพยากรมากมายอยู่ทั่วไป
ดังนั้น ด้วยกังหันพลังเวทย์นี้ โลกทั้งโลกย่อมเปลี่ยนไป
“หืม? หลังจากแยกฟ้าและดินแล้ว ดอกผลของการทำงานหนักของข้าก็ปรากฏขึ้นแล้ว ในที่สุดโลกก็กำลังจะเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนดวงตาเป็นประกาย
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นอมตะชนที่มีพลังมากที่สุด เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมโลกได้อย่างสมบูรณ์ และยังมีความคิดบ้าบิ่นหนึ่งในใจ
อย่างเช่น เขาสามารถควบคุมและจัดการกับโลกนี้ด้วยวิถีที่ต่างออกไป
อย่างไร เขาก็เป็นผู้ตั้งกฎของโลกนี้! ไม่มีใครกล้าพูดอะไรด้วยซ้ำต่อให้เขาต้องการทำลายโลกนี้!
เขามีอิสระที่จะทำตามความต้องการของเขาและยังจัดการแยกสวรรค์และแผ่นดินออกจากกัน ในที่สุด เขาก็เห็นบทเริ่มต้นของยุคสมัยหลังอมตะชนแล้ว
“เริ่มจากตรงนี้…”
เขาถอนหายใจและโบกมืออย่างช้า ๆ ฟ้าสั่นสะเทือน และการเปลี่ยนแปลงอย่างมั่นคงก็ค่อย ๆ เริ่มเป็นรูปร่างขึ้น
…
“พลังเวทย์! พลังเวทย์กำลังลดลง!”
“ในอีกไม่กี่ปี จำนวนของผู้ฝึกตนอมตะจะลดลง และจะยิ่งหาเด็กทารกผู้สามารถฝึกฝนได้ท่ามกลางหมู่ชนได้ยากมากขึ้น…”
“เฮ่ย ข้ามาจากโลกแห่งการฝึกตนทางได้ ตอนนี้มีสำนักเล็ก ๆ ถึง 18 แห่งที่ไม่สามารถหาผู้สืบทอดได้ บังคับให้พวกเขาต้องปิดตัวลง ข้าไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ว่าอย่างไรแล้ว…”
“ข้าได้ยินมาว่า ในโลกมนุษย์ กังหันพลังเวทย์นั้นมีความสามารถที่จะทดแทนผู้ฝึกตนอมตะได้อย่างสมบูรณ์ โดยมันสามารถสร้างพลังเวทย์ได้ และยังสร้างเครื่องรางเวทย์และอาวุธเวทย์…และมันยังใช้งานง่ายเป็นที่สุด… หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่จะนิยมต่อในในภายหน้า?”
แม้ว่าผู้ฝึกตนอมตะจะเป็นที่รู้กันว่าหัวแข็งและดื้อดึง แต่พวกเขาบางคนก็เข้าใจและตระหนักถึงความเป็นไปได้ในโลกนี้และเริ่มการเปลี่ยนแปลงอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะให้อยู่ต่อไปได้
ในอีกฟากหนึ่ง มีผู้ฝึกตนอมตะระดับสูงจำนวนมากที่ไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกฝนและยังเสี่ยงที่จะสูญเสียระดับการฝึกตน บางคนนั้นบ้าไปกับการตามหาปิศาจที่ทำลายโลกของพวกเขา ซึ่งก็คือฟางหยวน
จากสัญชาตญาณของพวกเขา พวกเขาคิดว่าการลดลงของพลังเวทย์นั้นเกี่ยวข้องกับปิศาจผู้แบ่งแยกฟ้าและดินออกจากกัน
แน่นอนว่า ฟางหยวนนั้นคร้านเกินกว่าจะไปจัดการกับพวกเขา
…
ประวัติศาสตร์คอยแต่จะซ้ำรอยเดิม
การลดลงของพลังเวทย์ค่อย ๆ ช้าลง และคงอยู่ที่ระดับหนึ่งหลังจากที่มีผู้ฝึกตนอมตะระดับสูงบางส่วนล้มตายไป
เหลือเพียงผู้ฝึกตนอมตะรุ่นเยาว์อยู่ไม่มากบนโลกใบนี้ที่จะสามารถดูดซับพลังเวทย์เข้าไปในร่างกายได้ ทั้งหมดล้วนอยู่ในระดับแก่นทองคำและแก่นธาตุ ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าไม่ได้มีพลังมากนัก ส่วนระดับหลอมเวทย์และระดับหายนะล้วนกลายเป็นตำนานไป
ข่าวดีเดียวก็คือด้วยอายุขัยของผู้ฝึกตนอมตะที่ลดลง ความเสื่อมสลายจากกรรมนั้นลดน้อยลงและทุกอย่างเริ่มคงที่
ด้วยเหตุนี้ คนธรรมดาก็สามารถใช้กังหันพลังเวทย์เพื่อสร้างพลังที่เทียบได้กับพลังที่ผู้ฝึกตนอมตะสามารถเรียกใช้ได้ได้ ในไม่ช้า พวกเขาก็ใช้มันเป็นข้อต่อรอง
ผู้ฝึกตนอมตะ ผู้ที่คุ้นเคยกับการอยู่เหนือกว่ามาเป็นเวลานานย่อมไม่ชื่นชอบข้อต่อรองเช่นนี้ ดังนั้น สงครามระหว่างทั้งฝ่ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ผลออกมาตามที่คาดเอาไว้ ผู้ฝึกตนอมตะเพียงไม่มากนั้นย่อมถูกคนธรรมดาจำนวนมากเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้ฝึกตนอมตะที่เหลืออยู่ก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขา และยุคใหม่ของมนุษย์ธรรมดาก็เริ่มต้นขึ้น
หลายประเทศก่อเกิดขึ้นมาและกระจายไปทั่วทั้ง 4 ทวีปใหญ่ แนวคิดและการสร้างสรรที่พัฒนาขึ้นก็ผลักดันให้โลกสมัยใหม่นั้นเจริญสูงกว่าที่เคย
…
ปีที่ 389 ของยุคใหม่
ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ทวีปเทียนหยวน
ถนนลาดยางมะตอยนั้นได้รับการออกแบบตัดกันเป็นตาราง ที่ริมถนนนั้นมีตึกสูงใหญ่สร้างจากปูนซีเมนต์ จอขนาดยักษ์กำลังแสดงภาพชายวัยกลางคนกำลังกล่าวสุนทรพจน์สั้น ๆ เขาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองและกำลังขอคะแนนเสียง
“ครืน!”
รถเหาะหลายคันบินผ่านไป ลอยเลื่อนไปเหนือถนนราวกับเป็นเม็ดเลือดไหลไปตามหลอดเลือด มันพ่นควันขาวออกมาจากท่อไอเสีย
ที่ริมถนน มีร้านกาแฟร้านหนึ่ง
ฟางหยวนที่สวมแว่นไว้กำลังรูดหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอยู่
“สามร้อยปีแล้ว… ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเพียงแค่คำใบ้เล็กน้อยของข้า ทั้งโลกก็เริ่มการพัฒนาด้านเทคโนโลยีไปอย่างมาก นี่มันเหมือนกับความฝันประหลาดที่ข้าเคยฝันถึงมาก่อน…”
“ผู้ฝึกตนอมตะตอนนี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว พวกที่บางครั้งปรากฏตัวขึ้นนั้นก็เพียงเรียกว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้น และยังเป็นตัวทดลองที่น่าสนใจ…”
“เพียงแค่โบกมือ โลกนี้ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า
ฟางหยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วดีดนิ้ว
“แกร่ก!”
ในตอนนี้เอง ทั้งโลกหยุดนิ่งอย่างประหลาด ราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้
คอมเม้นต์