Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 120
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังไม่คิดว่ามันปลอดภัย!”
ลู่เหรินเจียคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม เขาลุกขึ้นและเดินไปมาก่อนจะตัดสินใจ “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไปทันที ส่งข้อความผ่านเครือข่ายเวทย์! สั่งให้ปิศาจโลหิตและสองพี่น้องทิ้งภารกิจและกลับมาที่นี่ทันที!”
“นี่…”
สีเลือดเผือดหายจากใบหน้าของเจ้าสำนักสลายกระดูกขณะที่เขาตะกุกตะกักออกมา “ท่านเกรงว่านี่อาจจะเป็น…กับดัก?”
“ถูกต้อง! ถ้าอู่จงที่จับตัวสืออวี้ถงไว้อยู่ฝ่ายเดียวกับเหล่าหลิว เช่นนั้นพวกมันย่อมพยายามแบ่งแยกพวกเราออกจากกัน!”
ลู่เหรินเจียเดินวนรอบห้องอยู่หลายรอบ ความคิดของเขากระจ่างขึ้นและพูด “ถ้าพวกเราต้องไป พวกเราควรจะเอาทั้งกองทัพไปด้วยในการเดินทางครั้งนี้! ข้าไม่เพียงจะทำให้แผนการเจ้าเล่ห์ของเหล่าหลิวล้มเหลว ข้ายังจะให้เขาต้องชดใช้ด้วย!”
“ดี!”
เพียงแค่เจ้าสำนักสลายกระดูกลุกขึ้นยืน ก็มีเสียงร้องแหลมของนกอินทรีสองตัวแหวกผ่านอากาศมาจากบนฟ้า
“พวกเราถูกโจมตี!!!”
เสียงระฆังและกลองที่ดังจนหูแทบดับก้องอยู่ในท้องฟ้าเหนือสำนักสลายกระดูก ศิษย์รุ่นเยาว์ล้วนควบคุมสติไว้ไม่ได้และวิ่งวุ่นวายไปมาอย่างที่สุด แต่ฝ่ายป้องกันที่ใกล้ชิดกับแกนนำหลักล้วนขึ้นไปอยู่ที่สูงและเล็งธนูขึ้นไปบนฟ้า
“ฮ่าฮ่า… ข้าอดทนกับเรื่องเหลวไหลของพวกมันมานานเกินไปแล้ว ได้เวลาเอาคืนแล้ว! พุ่งตรงลงไปเลย ไม่ต้องกลัวลูกศรพวกนั้น!”
หลิวเอี๋ยนหัวเราะชอบใจ เขาเหยียบแขนออก มังกรไฟสีเขียวหกตัวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันแยกเขี้ยวกางกรงเล็บขณะคำรามขู่ขวัญ มังกรเหล่านี้แผ่คลื่นความร้อนไปรอบ ๆ ขณะพุ่งลงไปด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อ
“ฟู่ ฟู่!”
หอคอยสูงที่มือธนูยืนอยู่ถูกไฟสีเขียวพ่นใส่และไฟก็ลุกท่วมทันที เหล่ามือธนูไม่มีใครรอดพ้นไปจากความตายอันเจ็บปวดสาหัส เสียงกรีดร้องก้องเมื่อพวกมันหล่นลงจากหอคอย
“ยิง! ยิง!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา ลอยตัวขึ้นไปบนหลังคา เขาฉวยธนูคันใหญ่มาและรั้งสายจนตึง ลูกศรพุ่งออกไปด้วยพลังอันน่าตระหนกเล็งไปที่นกวิญญาณทั้งคู่
ด้านหลังเจ้าสำนักสลายกระดูก ศิษย์และผู้อาวุโสของสำนักที่เดิมวุ่นวายอยู่ในที่สุดก็สงบลงได้และควบคุมสถานการณ์ได้ ในเวลาเดียวกัน อาวุธระยะไกลหลายชิ้นก็พุ่งขึ้นฟ้าเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่
“ข้าขออัญเชิญพลังธาตุแห่งดินและฟ้า!”
หลิวเอี๋ยนขยับนิ้วทำท่าขณะตะโกนว่าคาถา ทันใดนั้น เปลวไฟสีแดงและเขียวก็ระเบิดออกตรงหน้าอินทรีดำหางเหล็กและเหยี่ยวฉุยเฟิงราวกับเป็นเกราะป้องกัน
ในเวลาเดียวกัน เปลวไฟมหึมาก็ระเบิดออกกลางอากาศและโปรยปรายลงมาราวกับฝนอุกกาบาต
นี่เป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็น่ากลัวมากพอสำหรับศิษย์ระดับต่ำส่วนใหญ่ ใช้มันในพื้นที่แวดล้อมกว้าง ๆ เช่นนี้ มันจะกลายเป็นเพลิงพิบัติได้ในเวลาไม่นาน เผาผลาญสิ่งก่อสร้างงดงามทั้งหมด
“หลิวเอี๋ยน! เจ้าโจรเฒ่า!”
เห็นเช่นนี้แล้ว เจ้าสำนักสลายกระดูกก็โมโหขณะตะโกน “วันนี้ไม่ข้าก็เจ้า พวกเราสักคนต้องตาย!”
“เปรี๊ยะ!”
เขารั้งสายธนูเตรียมจะยิงลูกศรครั้งถัดไป แต่ว่าใช้แรงมากเกินไป ธนูหักเป็นสองท่อน
“ลู่เหรินเจีย… เจ้าโจรเฒ่า ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อความอยากจะสู้ของหลิวเอี๋ยนพุ่งสูงขึ้น เขาก็ตะโกนหาให้ศัตรูโผล่ออกมา
ฟางหยวนประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีสมาธิ ด้วยพลังธาตุอันแข็งแกร่งที่แพร่กระจายออกไป ฟางหยวนสื่อสารบอกให้อินทรีเหล็กหางดำหลบลูกศรที่ถูกยิงมาจากด้านล่าง ด้วยเกราะไฟ พวกเขาก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้โดยอิสระท่ามกลางลูกศรที่พุ่งขึ้นมา
‘ตามที่หลิวเอี๋ยนบอกระหว่างทางมาที่นี่ ลู่เหรินเจียเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ เขาจ้างนักรบวิญญาณฉายาว่าปิศาจโลหิตและยังคนรับใช้อีกสองคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับอู่จงที่รู้จักกันในนามสองพี่น้องตี้ชิว! ด้วยความสามารถของคนพวกนี้และเจ้าสำนักทั้งสาม นี่เกือบจะมีพลังเหนือกว่าอี้ซานฝู!’
พลังของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งเจ็ดที่มีพลังธาตุ เมื่อรวมกันแล้วย่อมมากพอที่จะเอาชนะเจ้าเมืองอี้ซานฝู
ก่อนหน้านี้ หลิวเอี๋ยนมีแม่ทัพมากกว่าแค่สามคนในอี้ซานฝู แต่หนึ่งในนั้นทรยศ และแม่ทัพคนอื่นเสียชีวิตในสงครามก่อนหน้านี้ เช่นนี้แล้วย่อมทำให้อำนาจของหลิวเอี๋ยนลดลงอย่างมาก
‘ถ้าไม่มีการมาของข้า อี้ซานฝูคงจะถูกจัดการไปแล้วแม้ว่าจะมีนักรบวิญญาณสองคน อู่จงสามคน และยังหลิวเอี๋ยนที่มีพลังอันน่าเกรงขาม! ส่วนตอนนี้นั้น ถ้าหลิวเอี๋ยนกล้าใช้เคล็ดวิชานั่นโดยไม่มีอินทรีดำหางเหล็กคอยปกป้อง เขาย่อมถูกล้อมและติดกับดักโดยไม่มีโอกาสรอดเป็นแน่!”
“หัวหน้าไป๋!”
เห็นสถานการณ์ย่ำแย่ลงต่อหน้า ลู่เหรินเจียก็ส่ายหน้าและพูด “พวกเราแข็งแกร่งกว่า พวกเราเพียงแค่ต้องหลบปลายหอกของศัตรูและมุ่งหน้าสู่พื้นราบที่ไฟศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถใช้การได้เพื่อลดการสูญเสียของเรา!”
“ส่วนตอนนี้ศัตรูกำลังได้เปรียบ สำนักกุยหลิงก็ตกอยู่ในความลำบาก เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองก็กำลังรีบมาที่นี่แล้ว พวกเรายังจัดการกับศัตรูไม่ได้ ทั้งหมดที่พวกเราทำได้ก็คือรอปิศาจโลหิตและคนที่เหลือให้รีบกลับมาโดยด่วน!”
เมื่อรวมพลังของพวกเขาแล้ว ก็มากเกินพอที่จะรับมือกับฟางหยวน หลิวเอี๋ยนและสัตว์วิญญาณของพวกเขา
“ไม่ต้องสนใจสำนักนั่นตอนนี้ มุ่งตรงไปที่ค่ายที่เชิงเขาเพื่อกำจัดซะ!”
“ชู่ ชู่!”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่สำนักสลายกระดูกถูกเปลวไฟโหมใส่ ค่ายทหารที่เชิงเขาก็อยู่ในสภาพตื่นตัวเต็มที่ เสียงเป่าแตรเร่งร้อน ลูกศรขึ้นสายธนูน้าว พวกมันมีระเบียบและเตรียมพร้อมมากกว่าสำนักสลายกระดูก
อย่างไร นี่ก็เป็นทหารชั้นเลิศของทั้งสามมณฑลที่พักอยู่ในค่าย พวกมันเป็นกองกำลังที่มีการฝึกซ้อม ไม่ใช่แค่กลุ่มศิษย์เอะอะมะเทิ่งพวกนั้น
“ไป!”
เจ้าสำนักสลายกระดูกสะดุ้งก่อนจะไม่สนใจความเจ็บปวดในใจ ออกคำสั่งเสียงดัง “ศิษย์สำนักสลายกระดูก กระจายตัว ฝ่าออกไป!”
นี่เป็นการตัดสินใจอันแสนเจ็บปวด แต่ได้ผลอย่างยิ่ง
อย่างไรหลิวเอี๋ยนก็แค่คนคนเดียว แม้ว่าจะเก่งกาจ แต่จะสังหารคนได้สักเท่าไหร่กัน?
ถึงอย่างไร ถ้าสำนักถูกเผาเป็นเถ้าไป ก็แค่เสียหน้า เขายังสร้างใหม่ได้ แม้แต่เมืองของหลิวเอี๋ยนเองก็ยังถูกทำลาย
“ไล่ตามไป!”
เมื่อประจันหน้ากันแล้ว ศัตรูก็พลุ่งพล่านขึ้นกว่าเดิม
โดยไม่ต้องพยายาม หลิวเอี๋ยนก็เห็นลู่เหรินเจียหลบอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักสลายกระดูกและตะโกนออกไปอย่างโมโห “เตรียมตัวตาย!”
“ปัง! ปัง!”
ลูกไฟลูกใหญ่หลายลูกผุดขึ้นที่แขนของเขาและถล่มลงไปด้านล่างราวกับถูกขว้างลงไป
“ฮ่าฮ่า… เจ้าจิ้งจอกเฒ่าใช้ทุกอย่างที่มีแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายไปสักนิดรึ?”
ลู่เหรินเจียหัวเราะและโบกมือลูกไฟธาตุสามลูกปลิวออกไป
“วูบ!”
ลูกกลมสีขาวระเบิดออกกลางอากาศและอุณหภูมิโดยรอบก็ลดลงพรวดพราดทันที ทั่วทั้งบริเวณเริ่มหนาวเหน็บและค่อย ๆ สยบไฟที่ลุกโหมลง
‘แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้ไม่ยืดหยุ่นถึงเพียงนั้น!’
เห็นเช่นนี้ ฟางหยวนก็เกิดความคิดและสั่งให้อินทรีดำหางเหล็กเชิดหัวขึ้นสูงอย่างเงียบ ๆ
นักรบศักดิ์สิทธิ์และอู่จงจะทันมีปฏิกิริยาเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร?
ไม่ช้า ลู่เหรินเจียและเจ้าสำนักสลายกระดูกก็ลงมาถึงเชิงเขา
ภายในค่าย ฝุ่นฟุ้งตลบมาทางลู่เหรินเจีย แม่ทัพผู้หนึ่งในชุดสีเหลืองมีเสียงดังราวฟ้าผ่าตอนที่ตะโกน “อาจารย์ลู่ ข้าช่วยท่านเอง!”
“ระวังตัวด้วย หัวหน้าหวง เจ้าปิศาจเฒ่านั่นไปหานกวิญญาณมากจากไหนไม่รู้ เก่งกาจยิ่งกว่าฉุยเฟิงเสียอีก!”
เห็นเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองมาช่วยเขาด้วยตัวเองแล้ว ลู่เหรินเจียก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกและเตือนเขา
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง อาจารย์ลู่ หลิวเอี๋ยนผู้นี้คงไม่คิดว่าข้าจะไม่สามารถรับมือกับนกวิญญาณของเขาได้หรอกใช่หรือไม่?”
เพียงโบกมือ ผ้าที่คลุมรถเข็นหลายคันเอาไว้ก็ถูกเอาออกเผยให้เห็นธนูหน้าตาแปลก ๆ ถึง 5 คัน ลูกศรนั้นมีอักขระประหลาดประทับเอาไว้และหัวลูกศรก็ดูจะเป็นประกายแสงสีเขียวทึม
“เล็ง!”
“ยิง!”
เพียงแค่เสียงตะโกนไม่กี่คำจากในกองทหาร ธนูทั้งห้าก็ปล่อยเสียงคำรามดังสนั่น
“ปัง!”
แรงสะท้อนทำให้รถเข็นที่วางอาวุธเอาไว้ระเบิดออกทันที
พลังของธนูยักษ์นั้นยิ่งใหญ่มาก
“นี่…”
สูงไปบนฟ้า ฟางหยวนรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันทีและรู้ว่าอันตรายกำลังจะพุ่งมาทางนี้และรีบสั่ง “อินทรีดำหางเหล็ก หลบไปทางขวาของเจ้า!”
“ชู่!”
เกือบจะทันทีหลังส่งคำสั่งผ่านพลังเวทย์ไป แสงสีเขียวก็พุ่งผ่านเกราะเพลิงและเฉียดปีกของอินทรีดำหางเหล็กไป ขนบางเส้นของมันร่วงลง
“เจ้าพวกชั่ว!”
ที่ด้านข้าง หลิวเอี๋ยนยื่นนิ้วทั้งห้าออกไป กรงเล็บเพลิงปรากฏขึ้น เผาธนูทั้งหมดเป็นเถ้า
อินทรีดำหางเหล็กนั้นโชคดีที่ฟางหยวนเตือนมันก่อนและมันก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ฉุยเฟิงที่ข้าง ๆ นั้นไม่ได้โชคดีเช่นนี้
ท่ามกลางสายตาจับจ้องจากผู้คน ฉุยเฟิงเร่งความเร็วและหลบลูกศรสองดอกได้ แต่ถูกลูกศรดอกสุดท้ายยิงเข้าที่ปีกของมัน ลูกศรทะลุผ่านเข้าไปและเลือดก็กระจายออกมาขณะที่มันกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“ยอดเยี่ยม!”
เห็นฉุยเฟิงพุ่งลงสู่พื้นอย่างไม่ปกติแล้ว ลู่เหรินเจียก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกและพูด “ความสามารถของท่านหัวหน้าหวงช่างเหลือเชื่อ ท่านช่วยพวกเราได้มากทีเดียว!”
“สำนักของเราเริ่มจากการสร้างอุปกรณ์และกลไก และข้าก็สร้างธนูพวกนี้ด้วยตัวเอง ส่วนที่ยากที่สุดของธนูพวกนี้ก็คือมันทำมาจากเหล็กคุณภาพดีที่สุด ลูกศรก็ลงอาคมเวทย์เอาไว้ แม้ว่าจะมันจะมีขนที่ป้องกันได้ถึงระดับ 4 ประตูสวรรค์ ลูกศรก็สามารถทะลวงผ่านได้!”
เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองอวดโอ่ด้วยอย่างพึงพอใจ
“ล้อมพวกมันไว้และสังหารพวกมันซะ!”
เห็นฉุยเฟิงร่อนลงใกล้กับพื้นแล้ว ประกายตาเย็นเยียบก็ส่งออกมาจากดวงตาของลู่เหรินเจีย
“แค่พวกเรา? นอกจากทั้งกองทัพจะมาล้อมพวกมันไว้ มิเช่นนั้น…”
เห็นคนบนหลังนกวิญญาณแล้ว เจ้าสำนักสลายกระดูกก็สูญเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย
อู่จงผู้เก่งกาจสองคนและนักรบศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งคนจะตกลงสู่กับดักอย่างโง่ ๆ และปล่อยให้ทั้งกองทัพล้อมพวกเขาไว้งั้นหรือ?
“ไม่ต้องห่วง ถึงจะไม่มีความช่วยเหลือจากกองกำลังหลัก พวกเราก็สามารถจัดการพวกมันได้ด้วยตัวเอง!”
ลู่เหรินเจียกระตุกเล็กน้อยและดึงเอาของชิ้นหนึ่งออกมาอย่างเจ็บปวดก่อนจะพูด “ด้วยของสิ่งนี้ ไม่สำคัญเลยว่าศัตรูของพวกเราจะมีพลังมากกว่านี้เป็นสองเท่า พวกเราสามารถถ่วงพวกมันเอาไว้ที่นี่ได้จนปิศาจโลหิตและสองพี่น้องพิการกลับมาถึง! เมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเป็นเวลาตายของหลิวเอี๋ยนแล้ว!”
“นี่คือ… แผนที่ค่ายกลเวทย์?”
ดวงตาของเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองเป็นประกายขณะเขาและลิ้นเลียริมฝีปากและพูด “ท่านมีของหายากและล้ำค่าถึงเพียงนี้ด้วย!”
“พี่หวง ท่านชมเกินไปแล้ว!”
ลู่เหรินเจียยิ้มกริ่มและพูด “จ้าวแห่งกลไกนั้นไม่ปรากฏตัวที่แถวนี้นานมากแล้ว แผนที่ค่ายกลเวทย์นี้เป็นชิ้นสุดท้ายและสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เพื่อให้ได้มาข้าต้องจ่ายออกไปด้วยสมบัติครึ่งหนึ่งในชีวิต…”
“จุ๊จุ๊… ข้าได้ยินมานานแล้วว่าจ้าวแห่งกลไกนั้นเป็นยาก แต่หากทำได้สำเร็จ ก็จะมีพลังและยากจะเอาชนะได้”
จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุมีสมบัติเท่าไหร่? แม้ว่านี่จะเป็นแค่ส่วนเดียว ก็มากพอให้เป็นที่ต้องการของสำนักอื่นแล้ว
การที่แผนที่ค่ายกลเวทย์มีราคาสูงถึงขนาดนั้น พลังอำนาจและผลของมันย่อมต้องรุนแรง
สามารถทำให้ลู่เหรินเจียมั่นใจว่าจะถ่วงเวลาและดึงรั้งผู้ฝึกยุทธ์เก่งกาจพวกนี้เอาไว้ได้ คงเป็นภาพที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจะสามารถรับชม!
“ตาม!”
เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองและสำนักสลายกระดูกสบตากันก่อนจะรีบตามลู่เหรินเจียไป พวกเขามุ่งตรงไปยังบริเวณที่ฉุยเฟิงตกลงไป
“เอิ่ม!”
ฟางหยวนที่ยังอยู่กลางอากาศจับตามองและรู้สึกสงสัยขึ้นมา “พวกเขากล้ามากที่ละทิ้งการปกป้องของทั้งกองทัพและออกไปลำพังกันเอง!”
เพื่อความสะดวกในการไล่ตามผู้อื่นด้วยตัวเอง วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือทิ้งกองทัพหลักเอาไว้เบื้องหลัง
แต่การที่จะทำได้อย่างมั่นใจทั้งที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ชัดเจนแล้ว พวกเขาต้องมีอะไรบางอย่างที่อาศัยพึ่งพิงได้!
“เหอเหอ… เป็นไปได้ไหมว่าลู่เหรินเจียคิดเช่นนั้นเพราะเขาคิดว่าข้าไม่กล้าสู้กับเขา?”
หลิวเอี๋ยนชี้ไปในบนเขาลึกแห่งหนึ่งและพูด “ไปที่นั่นกัน!”
ลึกขึ้นมาบนเขาและในป่าที่กองทัพใหญ่ไม่สามารถเข้าไปได้โดยง่าย ตำแหน่งที่พวกเขาสามารถใช้วิชาของตนเองออกมาได้ประสิทธิภาพที่สุด
คอมเม้นต์