Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 122
“อ๊าก!”
เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองร้องออกมา
สัญชาตญาณอันแม่นยำของนักสู้เป็นเหตุแห่งความตายของเขา
จุดศูนย์รวมพลังเวทย์ของเขาถูกกรงเล็บกระแทกใส่อย่างแรง
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโจมตีกลับด้วยการกระแทกสองฝ่ามือใส่หน้าอกฟางหยวน ด้วยวิธีนี้อาจจะทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บไปด้วยกัน
ถ้าฟางหยวนยังคงต้องการเอาชีวิตของเขา เขาก็ต้องการให้ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วยเช่นกัน!
แต่แน่นอนว่า ดีที่สุดแล้วเจ้าสำนักย่อมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
‘หยุดมือเถอะ!’
เขาออกกระบวนท่าขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ
โชคไม่ดี พระเจ้าไม่เข้าข้างเขา ฟางหยวนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่เขาและพลังจากฝ่ามือของเขาก็ยังคงทรงพลังเช่นเดิม ฟางหยวนดูจะไม่กลัวตายเอาเสียเลย
“กระทั่งสวรรค์ก็ต้องการให้ข้าตาย!”
เจ้าสำนักถอนหายใจอยู่ในใจและใส่พลังลงไปในฝ่ามือมากขึ้น “อย่าเพิ่งบอกว่าผู้ใดจะมีความสามารถมากกว่า และพวกเราอาจจะตายตกไปด้วยกันก็เป็นได้!”
“กร๊อบ!”
พอความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของเจ้าสำนัก กะโหลกของเขาก็ถูกบดขยี้ด้วยมือของฟางหยวน มันสมองและเลือดไหลออกมา เป็นกระบวนท่าเอาชีวิตที่แท้จริง!
ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือทั้งสองของเจ้าสำนักที่เต็มไปด้วยพลังธาตุก็ประทับลงบนหน้าอกของฟางหยวน
จากเสียงดังสนั่น ฟางหยวนก็ถูกผลักกลับไปด้านหลังด้วยแรงมหาศาล เสื้อผ้าฉีกเป็นชิ้นเผยให้เห็นหน้าอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและผิวสีเข้ม ฟางหยวนไม่ได้รับบาดเจ็บใดสักนิด
สำหรับผู้ที่ทะลวงด่านขึ้นเป็นอู่จงด้วยเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กแล้ว นี่เป็นประโยชน์แก่เขามากในตอนนี้
แม้ว่าร่างกายของเขาจะอยู่ในสภาพดีแล้วตอนนี้ มันก็ยังไม่ได้ดีที่สุด!
เจ้าสำนักตอบโต้ออกมาโดยกะทันหันไม่ได้มีการเตรียมตัวไว้ก่อน ทำให้เขาไม่ได้ใส่พลังลงมาอย่างเต็มที่ และเมื่อเขาถูกฟางหยวนสังหารลงพลังจากฝ่ามือของเขาก็ย่อมอ่อนแรงลงตาม…
“ฮู่…”
ฟางหยวนผ่อนลมหายใจยาว ที่หน้าอกของเขาเปลี่ยนจากสีเข้มไปเป็นสีปกติ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความปวดที่หน้าอก
“สมกับเป็นอู่จงผู้หนึ่ง การโต้ตอบก่อนตายของเขาก็ยังทรงพลังมากทีเดียว!”
ฟางหยวนลูบหน้าอกตัวเองและคิดอยู่เงียบ ๆ เขาไม่เห็นสีหน้าตกตะลึงของผู้อื่นที่มองเหตุการณ์อยู่
“อะไรนะ? เจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองตายแล้ว?”
เจ้าสำนักสลายกระดูกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “โอ้… เขาก็เป็นอู่จงผู้หนึ่ง แต่กลับตายตกจากถูกทุบหัวราวกับเป็นแตงโมลูกหนึ่ง…”
เห็นการตายของเจ้าสำนักที่มีพลังเท่า ๆ กันกับตัวเองแล้ว เจ้าสำนักสลายกระดูกก็เริ่มมีความคิดที่จะถอนกำลังกลับขึ้นมาทันที
เขาเป็นเจ้าสำนักสลายกระดูกและยังครอบครองมณฑลหนึ่ง ทุกคนล้วนหวาดกลัวในสำนักสลายกระดูกแห่งอี้ซานฝู เขาจะมาถูกกำจัดอยู่ที่นี่ง่าย ๆ ได้อย่างไร?
“มันยังไม่สำเร็จอีกหรือ อาจารย์ลู่?”
เจ้าสำนักสลายกระดูกถอยไปหาลู่เหรินเจีย
“เจ้าคิดว่าของเช่นนี้มันทำขึ้นได้โดยง่ายหรือไร? และพวกเรายังต้องรับมือกับคาถาเวทย์ธาตุไฟของหลิวเอี๋ยนด้วย!”
แม้ว่าเขาจะกำลังรีบเรียกใช้ค่ายกลเวทย์ ลู่เหรินเจียก็ยังไม่ปล่อยหม้อหลอมยาใบเล็กในมือไป
ภาพมายาของหม้อหลอมยาขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น และมันก็ล้อมลู่เหรินเจียเอาไว้ด้านในและเขาก็อยู่ไกลจากการต้องเผชิญหน้ากับหลิวเอี๋ยน
หลิวเอี๋ยนก็ไม่ได้ถูกยั่วยุได้ ด้วยคาถาเวทย์ธาตุไฟของเขา เตาหลอมยาของลู่เหรินเจียนั้นก็ถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ ได้โดยง่ายแม้ว่าจะมีการปกป้องอื่น
“เจ้าต้องตาย! รวมเก้าเป็นหนึ่ง!”
ด้วยคาถาเวทย์ที่ใช้ออก มังกรไฟสีเขียวทั้งเก้าตัวก็เหาะขึ้นฟ้าแล้วคำรามเสียงดังยาวออกมา ก่อนที่จะรวมตัวกันเข้าเป็นมังกรสีเขียวขนาดยักษ์ จากนั้นมังกรยักษ์ก็พุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้า
“อึ้ก… ด้วยเตาหลอมยาที่มีรอยร้าวและเลือดของข้า กำเนิดมรกตแห่งการทำลายล้าง!”
เห็นภาพหายนะนี้แล้ว ลู่เหรินเจียก็กัดลิ้นตัวเองและพ่นเลือดใส่หม้อหลอมยาของตน
“ครึ่ก ครึ่ก!”
เกิดรอยร้าวมากมายบนเตาหลอมยาและแผ่กระจายออก ในที่สุดเตาหลอมใบเล็กก็ระเบิดออก มีเม็ดยาสีเขียวเม็ดเล็กลอยอยู่กลางอากาศ มันแผ่พลังธาตุจำนวนมหาศาลจนน่าตกใจออกมา เม็ดยาจู่ ๆ ก็พุ่งขึ้นฟ้าและทำให้บริเวณโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีแดง
มังกรไฟสีเขียวที่อยู่ในบริเวณนี้เริ่มสงบลง ไฟบนร่างของมันค่อย ๆ มอดลง
“เม็ดยาโลหิตมรกต? ลู่เหรินเจียนฝึกตนมาทั้งชีวิตร่วมกับเม็ดยานี้ และตอนนี้เขาสละมันออกมา…”
หลิวเอี๋ยนตะโกน “คนผู้นี้เตรียมออกกระบวนท่าร้ายกาจแล้ว พวกเราต้องทำลายสิ่งที่อยู่กับเขาตอนนี้!”
“ขอรับ นายท่าน!”
หนิวติ้งเทียน เซียงจื่อหลง และอีกสองสามคนรับคำและพุ่งเข้าหาลู่เหรินเจีย
โชคไม่ดี พวกเขาช้าเกินไปแล้ว
“เหอเหอ… อึ้ก… ในที่สุดมันก็สำเร็จ!”
ลู่เหรินเจียกระอักเลือกออกมาคำใหญ่และมีสีหน้ายินดีขณะมองแผนที่ค่ายกลที่เขาถือเอาไว้
“สี่เสาเวทย์รวมตัว วิญญาณแห่งขุนเขายิ่งใหญ่ ฟังคำสั่งของข้า สร้างค่ายกลขึ้นทั้งแปดทิศ!”
ทั้งที่มีเลือดกบปาก ลู่เหรินเจียก็ท่องคาถาอย่างรวดเร็ว ปาแผนที่ค่ายกลเข้าใส่หลิวเอี๋ยน เขาตะโกน “ไป!”
“ซู่!”
แสงเวทย์วาบขึ้น แสงสลัว ๆ เริ่มสาดลงมาจากท้องฟ้าและมันก็กลืนกินฟางหยวน หลิวเอี๋ยน และคนอื่น ๆ เข้าไป
“ฝุบ!”
แผ่นดินสะเทือน และก้อนหินขนาดยักษ์หลายก้อนเริ่มผุดขึ้นมาจากพื้นและก่อตัวขึ้นเป็นเขาวงกตขนาดใหญ่
“นี่มัน…ค่ายกลเวทย์?”
เสียงของหลิวเอี๋ยนดังมาจากไกล ๆ และเริ่มเบาลงจนไม่ได้ยินอีก
“พวกเราถูกแยกออกจากกัน? ค่ายกลเวทย์ช่างมีพลังนัก ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!”
ฟางหยวนแตะมือลงบนก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าและสัมผัสได้ถึงผิวเย็น ๆ ที่หมายความว่าค่ายกลเวทย์นี้ไม่ใช่มายา
“ฝ่ามือกรงเล็บเหล็ก!”
เขายืนมือออกและนิ้วเปลี่ยนเป็นกรงเล็บอินทรี จากนั้นเขาก็ตะปบเศษก้อนหินชิ้นหนึ่งออกมาจากก้อนหินยักษ์และบดขยี้มัน เศษหินนั้นกลายเป็นผงและปลิวไปกับสายลม…
“รากฐานแข็งแกร่ง การทำลายก้อนหินพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!”
หลังจากใช้ความพยายามไประดับหนึ่ง เขาก็จัดการทะลวงกำแพงและสรุปออกมาได้
เขาไม่คุ้นเคยกับค่ายกล แต่มีอย่างหนึ่งที่เขากระจ่าง มันต้องมีกับดัก การสังหาร หรือสร้างความสับสน
“ค่ายกลก้อนหินนี่สร้างเป็นเขาวงกต แต่ไม่ถึงกับเอาชีวิต มันเป็นค่ายกลกับดักและไม่อันตราย ความกังวลเดียวคือพวกเราถูกแยกออกจากกันและถูกกำจัดทีละคน!”
“ข้าจำได้ว่าข้าอยู่ไม่ไกลจากคนอื่น ๆ ตอนที่ค่ายกลก่อตัวขึ้น…”
ฟางหยวนแนบหูเข้ากับก้อนหินและฟังเสียงรอบ ๆ
…
“นี่มัน… ค่ายกลเวทย์?”
จากด้านนอกเขาวงกต เจ้าสำนักสลายกระดูกจ้องมองเขาวงกตหินและพูดไม่ออก “ฝีมือของเจ้าเยี่ยมยอดจริง ๆ! ข้าได้ยินมาว่าสำนักใหญ่แห่งหนึ่งในอาณาจักรต้าเฉียนเชิญจ้าวแห่งกลไกไปสร้างค่ายกล ถ้าสำนักสลายกระดูกทำเช่นนั้นบ้าง จะได้อย่างนี้หรือไม่?”
“อาจารย์ลู่ เจ้าสามารถขับเคลื่อนค่ายกลนี้ได้ เช่นนั้นพวกมันทั้งหมดก็จะถูกสังหาร?”
คิดถึงความพ่ายแพ้ที่เขาได้รับวันนี้ เจ้าสำนักสลายกระดูกก็รู้สึกเจ็บแค้น และมองลู่เหรินเจียด้วยสายตามีความหวัง
“ฝันไปหรือเปล่า? นี่เป็นแค่ค่ายกลกับดัก จุดประสงค์ของมันก็เพื่อกักคนเอาไว้ไม่ใช่สังหารคน! ข้าไม่ได้ทรงพลังเช่นจ้าวแห่งกลไก ดังนั้นข้าจะสามารถเปลี่ยนจุดประสงค์ของค่ายกลได้อย่างไร?”
ใบหน้าของลู่เหรินเจียซีดเผือด “และเพื่อคงค่ายกลนี้เอาไว้ ข้าต้องใส่พลังธาตุของข้าเข้าไป เจ้าช่วยข้ารับมือสักครู่!”
“หืม?!”
พอเขาวางมือทั้งสองข้างลงที่แผนที่ค่ายกลและรู้สึกว่าพลังธาตุของเขาถูกดูดออกไปจากร่าง ใบหน้าของเจ้าสำนักสลายกระดูกก็เผือดลง
ด้วยความเร็วในการดูดซับเช่นนี้ พลังธาตุของเขาย่อมหมดลงภายในเวลาอันสั้น!
โชคดี ลู่เหรินเจียไม่ได้จะทำร้ายเขา ลู่เหรินเจียหลับตาลงเพื่อพักหลังจากกลืนเม็ดยาวิญญาณจำนวนหนึ่งลงไป จากนั้นเขาก็ส่งขวดยาให้แก่เจ้าสำนักและพูด “นี่เป็นขวดยาผงฟื้นฟูพลังธาตุ และช่วยฟื้นฟูพลังธาตุของเจ้าได้ เจ้าเพียงต้องอดทนอีกสักชั่วโมงหนึ่ง!”
“บ้าชะมัด…”
ลู่เหรินเจียรู้สึกโกรธขึ้นมาเมื่อเขาพูดเช่นนั้น “ถ้าตั้งแต่แรกพวกเราสามารถติดตั้งค่ายกลนี้ได้และข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ ข้าย่อมสามารถคงค่ายกลนี้เอาไว้ได้ด้วยตัวข้าเองและเจ้าก็สามารถเข้าไปในค่ายกลกับเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองและทำลายค่ายกลออกมาเมื่อไม่พบตัวหลิวเอี๋ยน!”
“ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คาถาสะกดของเจ้าเด็กนั่นร้ายกาจจนสังหารเจ้าสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองไป…”
มองไปที่ศพแล้วเจ้าสำนักสลายกระดูกก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“พวกเราคงค่ายกลนี้เอาไว้ได้นานพอ ปิศาจโลหิตและสองพี่น้องตี้ชิวก็จะมาถึงที่นี่ในที่สุด!”
ลู่เหรินเจียนถอนหายใจและออกมาด่า “ไอ้แก่แซ่หลิวนั่น มันจัดการหาตำแหน่งดีถึงเพียงนี้ได้ ถ้าพวกเราอยู่บนพื้นราบ ข้าย่อมสามารถเรียกทหารทั้งกองทัพมาสังหารพวกมันได้ไม่ว่าจะต้องเสียกำลังคนสักเท่าไหร่!”
มันไม่เหมาะสมที่จะทำการโจมตีเช่นนั้นบนภูเขา
มันเป็นปัญหามากสำหรับกองทัพที่จะขนอาวุธหนักขึ้นมาบนเขาอย่างเช่นปืนใหญ่หรือเกราะหนัก
แม้ว่าจะส่งกองกำลังชั้นยอดมา พวกเขาก็ไม่สามารถได้เปรียบเพียงแค่ใช้จำนวนคนเข้าสู่ มันมีข้อเสียมากกว่าข้อดี
ดังนั้นลู่เหรินเจียและเจ้าสำนักสลายกระดูกจึงทำได้เพียงกักพวกเขาเอาไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อรอให้กำลังเสริมของตนมาถึง
…
“ค่ายกลเต๋านี่ช่างแข็งแกร่ง… วงกตหินนี้ดูจะแตะอยู่ระดับขอบเขตโลกแห่งเต๋าซึ่งเป็นปริภูมิ! พวกเราโชคดีที่ลู่เหรินเจียนั้นไม่ใช่จ้าวแห่งกลไกและไม่สามารถปลดปล่อยพลังของค่ายกลนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้น พวกเราย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้!”
ที่ในวงกต ฟางหยวนถอนหายใจขณะทำลายกำแพงหิน
อันที่จริง เขาประเมินพลังของลู่เหรินเจียและเจ้าสำนักสลายกระดูกสูงเกินไป
จากระดับการฝึกตนของพวกเขาแล้ว พวกเขาสามารถคงค่ายกลนี้เอาไว้เท่านั้น และไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นภายในค่ายกลได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นอะไรที่ไม่ค่อยฉลาดนัก
“ใครอยู่ตรงนั้น?”
เสียงจากการทำลายกำแพงหินทำให้ทุกคนที่อยู่อีกด้านตกใจ ในอุโมงค์ มีเสียงต่ำ ๆ ดังออกมา
“นั่นแม่ทัพหนิวรึ? ข้าฟางหยวน!”
ฟางหยวนจำเสียงแม่ทัพหนิวได้
“ฮ่าฮ่า… เป็นน้องฟางจริง ๆ ด้วย!”
หนิวติ้งเทียนเดินออกมาอย่างรวดเร็วและพูด “ในนี้ช่างปิดทึบจนจะทำให้ข้าหายใจไม่ออกตายแล้ว!”
“อืม นี่เป็นค่ายกลเวทย์และลึกลับมาก พวกเราควรจะรีบหาตัวท่านเจ้าเมืองจะได้ช่วยกันฝ่าออกไป!”
จากนั้นฟางหยวนก็แนบหูลงกับผนังหินฟังเสียงที่รอบ ๆ
“ข้าพยายามทำแบบนี้มาก่อนแล้วแต่มันไร้ประโยชน์… ไม่อย่างนั้นคงไม่เผ่นมาถึงที่นี่อย่างกับแมลงวันไร้หัว…”
หนิวติ้งเทียนพูดอีกสองสามคำและเห็นฟางหยวนลุกขึ้น ฟางหยวนเดินตรงไปตามทางแยกอย่างมั่นใจ
‘คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยได้ แต่ว่า ข้าเป็นจ้าวแห่งฝันและพลังเวทย์ของข้านั้นยังสูงกว่ามากแม้เทียบกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้อื่น ดังนั้น ข้าจึงต่างจากคนอื่นและสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเหล่านั้นได้!’
ฟางหยวนมีความคิดหนึ่ง “แม้ว่าค่ายกลเวทย์นี้จะมหัศจรรย์ ผู้ที่คิดค้นค่ายกลนี้ขึ้นมานั้นช่างน่ารังเกียจ ถ้าข้าสามารถหาตัวหลิวเอี๋ยนพบ พวกเราย่อมมีโอกาสใช้กำลังฝ่าออกไปจากค่ายกลนี้ได้!”
มีเพียวจ้าวแห่งกลไกเท่านั้นที่สามารถควบคุมค่ายกดด้านในได้และสร้างความเสียหายอันไม่จบสิ้น
ส่วนลู่เหรินเจียและค่ายกลโง่เง่านี้ พวกเขาย่อมเทียบไม่ได้
“แต่ว่า ก็ต้องชมเชยที่พวกเขาสามารถกักสามอู่จงและสามนักรบศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้เป็นเวลานานถึงเพียงนี้กับแค่ค่ายกลเพียงอันเดียว…”
คอมเม้นต์