Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 129
“ชิ้ง! ชิ้ง!”
กระบี่กวัดแกว่งสะท้อนแสงอยู่ในสวน
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางผู้หนึ่งถือกระบี่ยาวสามเชียะ เขากำลังฝึกเพลงกระบี่
แม้ว่าจะยังอายุน้อย การเคลื่อนไหวของเขาก็รวดเร็ว และมีชั้นเชิงดูซับซ้อน เหมือนว่าได้รับการสั่งสอนที่ดีมาจากผู้ใดผู้หนึ่ง
เมื่อเขาตวัดกระบี่ออก ก็มีพลังก่อรูปขึ้นจากกระบี่ เขายังเป็นจอมยุทธ์ระดับกำลังภายในแล้วด้วย!
ทันใดนั้น ก็มีประกายกระบี่ล่องลอยเต็มสวนดอกไม้ไปหมด มองแทบไม่เห็นตัวคน
“สายลมจงไป!”
เขาออกกระบวนท่าอื่นตวัดกระบี่เป็นมุมทแยงออกไป และก็เกิดกลุ่มควันขึ้น กลีบดอกไม้ทั้งเก้าเริ่มพลิ้วไหวและกระจายออกไปตามสายลม
“วิชากระบี่ที่ดี!”
ฟางหยวนเดินออกมาจากทางเดินพร้อมหลานรั่วและกล่าวชมเด็กหนุ่ม
“วิชากระบี่ของตระกูลเท่านั้น ไม่อาจอวดอ้างต่อหน้าท่านอาจารย์!”
เด็กหนุ่มเก็บกระบี่และโค้งตัวคารวะ “ข้าคือเฉินจื่ออิง คารวะอาจารย์!”
“อืม ลุกขึ้นเถอะ!”
ฟางหยวนยิ้มให้ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ที่ขอเป็นศิษย์เขาด้วยตัวเอง “ก่อนหน้านี้เจ้าเรียนวิทยายุทธ์ใดอยู่?”
“เพลงกระบี่ฉางชุนของตระกูลและวิชากระบี่อื่นอีกเล็กน้อยขอรับ!”
เฉินจื่ออิงตอบด้วยความเคารพ
“ด้วยอายุของเข้า หาได้ยากนักที่จะพบผู้ที่ฝึกได้ถึงระดับนี้…”
แม้ว่าเฉินจื่ออิงจะมีพรสวรรค์ แต่เขาก็ไม่ได้หยิ่งยโสเหมือนผู้มีพรสวรรค์อื่น ๆ และฟางหยวนก็ชอบนิสัยเช่นนี้
อันที่จริง เฉินจื่ออิงเองก็ไม่ได้มีอะไรให้อวดอ้างต่อให้อยากจะทำก็ตามเพราะฟางหยวนที่อายุเท่า ๆ กันกับเขานั้นขึ้นถึงระดับอู่จงไปก่อนแล้ว
“ขอบพระคุณที่ชมขอรับ อาจารย์!”
เฉินจื่ออิงโค้งกายลงอีกครั้ง
“ฮืม…”
ฟางหยวนมือแตะคางตัวเองและพูด “ในเมื่อตอนนี้เจ้าก็เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าควรจะสอนสักสองสามกระบวนท่า แต่ว่า พลังเวทย์ของเจ้ายังไม่ดีนัก ถ้าเจ้าสามารถทะลวงด่านขึ้นเป็นอู่จงได้ในอนาคต ก็มีโอกาสที่เจ้าจะได้เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตอนนี้ ข้าคงทำได้เพียงสอนวิชายุทธ์เจ้าสักสองสามอย่างเท่านั้น!”
“เป็นเกียรติแก่ข้าแล้วที่ได้เป็นศิษย์และเรียนรู้วิชาจากท่าน!”
เฉินจื่ออิงตอบด้วยความเคารพ เขานึกถึงสิ่งที่บิดาบอกแก่เขา
‘แม้ว่าความตั้งใจของตระกูลเฉินจะแสดงออกชัดเพียงไร แต่ที่สุดแล้ว ตระกูลเราก็เข้าไปพัวพันอย่างลึกซึ้งและไม่สามารถได้รับความเชื่อถือจากผู้ใดในอี้ซานฝูได้แล้ว และยังมีผู้ที่อิจฉาริษยาพยายามบ่อนทำลายพวกเรา พูดได้เพียงว่าก้าวไปข้างหน้านั้นยากยิ่งกว่าถอยหลัง ดังนั้น พวกเราจะต้องหาแนวร่วมที่แข็งแกร่งที่พวกเราจะพึ่งพาได้และอาจารย์ฟางก็เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในทั้งอี้ซานฝูนี้!’
‘อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ ต่อให้ได้เป็นเพียงคนรับใช้ก็ยังดี! สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเจ้าต้องได้รับความชื่นชอบจากอาจารย์ฟาง’
…
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ เขาก็รับฟังสิ่งที่ฟางหยวนพูดอย่างตั้งใจ
“สิ่งที่ข้าเรียนรู้มานั้นไม่ซับซ้อน ข้าสามารถส่งต่อเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กให้เจ้าได้!”
ฟางหยวนแตะคางตัวเอง
ในโลกแห่งความฝันนั้นเขาฝ่าผ่านขีดจำกัดสูงสุดและการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยที่เขาได้ทดลองกับเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กของเขา เคล็ดวิชานี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว มันดีขึ้นกว่าเดิมและเกือบจะสมบูรณ์แบบ และยังประกอบด้วย 13 ระดับและสามารถใช้ในการทะลวงผ่านขีดจำกัดเพื่อขึ้นเป็นอู่จงได้!
เคล็ดวิชาที่แก้ไขใหม่นี้เป็นนับเป็นวิชายุทธ์ลับและอยู่ในระดับเดียวกันกับตำราฝึกจิตของสำนักกุยหลิง
‘ช่างบังเอิญนัก… มีความรู้เกี่ยวกับอู่จงในประเทศเซี่ยนี้น้อยนัก แต่ด้วยความช่วยเหลือของโลกแห่งความฝันของข้า ข้าสามารถฝึกและทะลวงขีดจำกัดของอู่จงได้ ข้าคงจะได้เห็นด้วยตัวเองว่าหลังจากอู่จงแล้วเป็นอย่างไร…’
ฟางหยวนมองเฉินจื่ออิงด้วยสายตาประหลาด ‘การสอนเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กให้เขา ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ข้าได้ทบทวนวิทยายุทธ์ของตัวเอง ข้ายังจะได้รู้ด้วยว่าถ้าไม่ใช่อู่จงใช้ออกแล้วมันจะเป็นอย่างไร… นักรบศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้พลังธาตุได้อย่างเต็มที่ วิทยายุทธ์ของข้าก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันในอนาคต… ข้าไม่ควรไปอาณาจักรต้าเฉียนในตอนนี้ มันจะดีกว่าสำหรับข้าที่จะคลำหาทางด้วยตัวเองก่อน’
“ขอบพระคุณขอรับ อาจารย์!”
เฉินจื่ออิงไม่รู้ว่าฟางหยวนคิดอะไรอยู่และเมื่อได้ยินชื่อวิชายุทธ์ที่จะได้รับการสืบทอดว่าเป็นวิชาที่ดี เขาก็โค้งคารวะอย่างยินดี
ท่าทางเช่นนี้มิใช่การถ่อมตนและดูถูกวิชาพื้น ๆ ทำให้ฟางหยวนพยักหน้าพอใจอยู่เงียบ ๆ
“ข้าตัดสินใจเสนอให้หนิวติ้งเทียนขึ้นเป็นผู้ครองมณฑล!”
ฟางหยวนจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้ามณฑลชิงเหอ ถ้าเป็นคนนอกมารับตำแหน่ง แล้วทหารแห่งอี้ซานฝูจะยังฟังคำสั่งของเขาผู้นั้นอยู่หรือ?
และแม้ว่าหลิวเอี๋ยนจะอนุญาตให้เขาเลือกคนที่จะขึ้นตำแหน่งนี้ได้ ฟางหยวนก็ต้องตรึกตรองถึงอี้ซานฝูในตอนนี้ ดังนั้น ฟางหยวนจึงเลือกหนิวติ้งเทียนที่เป็นคนของอี้ซานฝูแทน
“แม่นัพหนิวนั้นมีวิทยายุทธ์สูงส่งและยังมีความชื่นชอบในการฝึกปรือวิทยายุทธ์ ดังนั้น เขาย่อมไม่มีเวลามากพอมาจัดการเรื่องในมณฑล ดังนั้นข้าจึงเสนอให้เฉินชิ่งจากตระกูลเฉินเป็นผู้ช่วยส่วนตัวให้เขาด้วย!”
หลังจากฟางหยวนพูดจบ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็มีน้ำตาคลอเต็ม
“ต่อไปข้าจะทำทุกอย่างเพื่อทดแทนบุญคุณครั้งนี้ของท่าน!”
เฉินจื่ออิงก้มลงคารวะเพราะรู้ดีว่าคำแนะนำนี้จะได้รับการรับรองจากเจ้าเมืองเพราะว่าเป็นฟางหยวนเสนอขึ้นไป
ดังนั้น ตระกูลเฉินก็จะมีตำแหน่งแห่งที่ในมณฑล และยังบรรลุจุดประสงค์ของพวกตนแล้ว
‘แล้วก็.. ตามที่อาจารย์พูด แม่ทัพหนิวนั้นคลั่งวิทยายุทธ์ ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉินก็จะได้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้ดูแลเรื่องราวในมณฑลในฐานะผู้ช่วยหรอกหรือ?’
ขณะที่เขาคิดเรื่องนี้อยู่ เฉินจื่ออิงก็รู้สึกซาบซึ้ง เขาไม่คิดเลยว่าอาจารย์คนใหม่จะปฏิบัติกับเขาอย่างดีเช่นนี้ เขายังตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ไปจนตาย
“ฮ่าฮ่า… เจ้าเป็นศิษย์ของข้า ถ้าข้าไม่คิดเพื่อเจ้า แล้วจะให้ไปคิดเพื่อใครกัน?”
ฟางหยวนยิ้มกว้าง ราวกับเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมแสดงน้ำใจต่อศิษย์รัก แต่ว่า ลึกลงไปในใจแล้ว เขากลับคิด ‘เจ้าบอกเองนะว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณข้า!’
ไม่ว่าอย่างไร แม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องแย่ที่ใช้ประโยชน์ศิษย์ของตนเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องเสียสละบางสิ่งก่อน
ส่วนหลานรั่ว ฟางหยวนก็คิดเพื่อนางไว้แล้วเช่นกัน
การแปรธาตุนั้นไม่เพียงต้องการการถ่ายทอด และผู้ฝึกยังต้องมีพรสวรรค์และยังต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ฟางหยวนนั้นมุ่งหน้าไปในเส้นทางของจ้าวแห่งฝันแล้วและเขาจะมีเวลาช่วยหลานรั่วเรื่องการแปรธาตุได้อย่างไร?
อย่างไร หลานรั่วก็มีพรสวรรค์ และยังมีพี่ชายของนาง หวงฝูเหรินเหอ อยู่ข้าง ๆ คอยช่วยเหลือนาง ดังนั้น พวกเขาทั้งคู่สามารถเพ่งความสนใจไปที่การแปรธาตุได้โดยไม่ต้องมีความช่วยเหลือของฟางหยวน
ถ้าหนึ่งในพวกเขาสามารถขึ้นเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุได้ในอนาคต มันก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
‘ไม่ทันรู้ตัว อำนาจของข้าก็ขึ้นมาถึงระดับนี้แล้ว…’
ขณะที่ฟางหยวนคิดเรื่องนี้ เขาก็ต้องตระหนก ‘ตอนนี้ข้าเป็นผู้ปกครองเมืองแต่อำนาจของข้าก็ยังนับว่าไม่ใหญ่โตในมณฑลชิงเหอ ต่อไป เมื่อหลานรั่วและเฉินจื่ออิงโตขึ้นและสามารถทะลวงด่านพลังธาตุได้ ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปกครองทั้งอี้ซานฝูหรอกหรือ?’
…
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งเฉินจื่ออิงและหลานรั่วได้ฟางหยวนเป็นอาจารย์และทั้งคู่ก็พึ่งพาเขาได้
ข่าวฟางหยวนรับศิษย์สองคนกระจายออกไป โจวเหวินอู่และอีกสองสามคนเดินทางมายินดีกับเขา และยังมีตระกูลใหญ่อื่น ๆ จากในเมืองมายินดีกับเขาเช่นกัน และยังมอบของขวัญเพื่อแสดงความภักดีของพวกตน
ก่อนหน้านี้ วิธีที่โจวเหวินอู่ใช้จัดการกดดันตระกูลหลินนั้นทำให้พวกที่เหลือหวาดกลัวขึ้น ตอนนี้มีโอกาสแล้ว พวกมันย่อมต้องใช้ความพยายามเพื่อฟางหยวนมากสักหน่อย
แต่ว่าต่อมา หวงฝูเหรินเหอก็พบว่าฟางหยวนไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นอาจารย์เลย
เมื่อเขาสอนหลานรั่วหรือเฉินจื่ออิง ฟางหยวนจะสอนเพียงแค่พื้นฐาน และที่เหลือก็ขึ้นกับทั้งสองคนว่าจะสามารถตีความส่วนที่เหลือได้ บางครั้ง ฟางหยวนก็เพียงมอบตำราให้ศึกษาด้วยตนเอง
มีคนเพียงไม่มากที่สามารถอดทนต่อ ‘การเรียนรู้ด้วยตนเอง’ เช่นนี้ได้เป็นเวลานาน
โชคดี ทั้งเฉินจื่ออิงและหลานรั่วล้วนมีพรสวรรค์ และทั้งคู่ก็มักจะปรึกษาเรื่องการค้นคว้าของตนกับหวงฝูเหรินเหอ ด้วยการช่วยกันคิดเช่นนี้ พวกเขาจึงไล่ตามเป้าหมายที่ฟางหยวนตั้งเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด
ส่วนมณฑลชิงเหอน่ะเหรอ?
หลังจากหนิวติ้งเทียนได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้ามณฑล เขาก็รำคาญเป็นที่สุดกับเรื่องจุกจิกในมณฑลและให้ผู้ช่วยของเขาจัดการทุกอย่างทั้งหมด เฉินชิ่งจึงได้รับการสนับสนุนและยังมีอำนาจขึ้นมาบ้าง ตระกูลเฉินกลายเป็นเศรษฐีและยังเขียนจดหมายถึงเฉินจื่ออิงมากมาย สั่งให้เขารักษาความสัมพันธ์ฉันลูกศิษย์อาจารย์กับฟางหยวนเพื่อรักษาสถานะของตระกูลเอาไว้
แม้ว่าเฉินจื่ออิงจะตั้งใจทำตัวให้ฟางหยวนชื่นชอบ ฟางหยวนก็เพียงสอนบทเรียนอยู่ไม่กี่วันและหายตัวไปที่ใดก็ไม่ทราบในวันอื่นที่เหลือ ฟางหยวนยังไม่ได้กลับมาที่หุบเขาสันโดษบ่อยนัก และทำให้เฉินจื่ออิงไม่พอใจในฟางหยวนนัก
ฟางหยวนยังไม่ได้แสดงความเป็นห่วงในตระกูลเฉินด้วย
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เขาพบว่าข้าวหยกเพลิงเติบโตเต็มที่แล้ว ฟางหยวนก็หันความสนใจทั้งหมดไปหาพืชวิญญาณ
และที่บนยอดเขาชอุ่มนั้นยังมีพลังเวทย์หนาแน่น และดีกับการฝึกตน ฟางหยวนแทบจะทนออกไปจากที่นี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ฮ่าฮ่า… ข้าวหยกเพลิงในที่สุดก็สุกแล้ว!”
ในไร่ เต็มไปด้วยพืชวิญญาณสีเพลิงเติบโตอยู่ ที่ด้านบนเป็นช่อเมล็ดข้าวหยกเพลิง
“แกว๊ก แกว๊ก!”
นกกระจิบยังบินวนอยู่บนท้องฟ้าแม้ว่าพวกมันบางส่วนจะถูกอินทรีดำหางเหล็กจับไปก็ตาม
“ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะดึงดูดสัตว์และนกที่ใกล้ ๆ นี้ถึงเพียงนี้!”
ฟางหยวนเก็บก้อนหินขึ้นมาขว้างขึ้นไปบนฟ้า
“ฝุบ!”
เศษหินหลายชิ้นพุ่งขึ้นไปบนฟ้าราวกับเปลวไฟ และท่ามกลางเสียงร้อง ขนนกจำนวนมากก็ปลิวหล่นลงมา
“ข้าเกรงว่าข้าคงจะต้องปลูกหญ้าวงเดือนและบุปผากงจักรเอาไว้ให้มันดูแลไร่นี้ด้วยในอนาคต”
จากนั้นฟางหยวนก็กระโดดไปที่ด้านข้างไร่พืชวิญญาณ เขาเหยียบปลายเท้าขวาลงไป และปลายเท้าของเขาก็ราวกับคันไถเหล็ก ดินถูกพลิกเปิดขึ้น
“อี๊!”
ตัวตุ่นร้องออกมา ดวงตาของมันเป็นประกายภายใต้แสงอาทิตย์และที่รอบตัวมันยังมีพลังเวทย์แผ่ออกมา
“เจ้ายังจะขุดต่อไปอีกรึ?”
ฟางหยวนเตะมันลอยออกไปด้วยเท้า
“กิกี๊!”
มีประกายแสงสีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศและเห็นเป็นฮวาหูเตียวที่กระโดดลงพื้น ปากของมันคาบตัวตุ่นเอาไว้แล้วเริ่มกินมันลงไป
แม้ว่าความชื่นชอบในอาหารของฮวาหูเตียวจะเปลี่ยนไปแล้ว มันก็ยังไม่สามารถต้านทานเนื้อจากสัตว์วิญญาณอื่นได้ มันอุดจมูกตัวเองก่อนจะกินเนื้อดิบ ๆ ลงไป
“นี่มันมากเกินไปสำหรับข้าววิญญาณเพียงแค่หมู่เดียวแล้วนะ!”
หลังจากกำจัดศัตรูพืชแล้ว ฟางหยวนก็ตัดสินใจเพิ่มการป้องกันไร่นี้ หรือไม่อย่างนั้นเขาอาจจะสูญเสียใหญ่หลวง จากนั้นเขาก็เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวพร้อมกับฮวาหูเตียว
“ถ้าข้ามีข้าววิญญาณไว้กินได้ทุกวัน ข้าก็คงไม่ต้องห่วงที่จะอาศัยอยู่บนเขานี่ไปตลอดชีวิตที่เหลือแล้ว”
มองห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยเสบียงอาหารและสัตว์วิญญาณทั้งสองที่มองมาด้วยสายตามีความหวัง ฟางหยวนก็ปรบมือและพูด “ดีมาก พวกเราจะกินกันให้เต็มอิ่มไปเลย!”
คอมเม้นต์