Carefree Path of Dreams – ตอนที่ 131
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 11.0
พลังลมปราณ: 10.5
พลังเวทย์: 9.0
สายวิชา: จ้าวแห่งฝัน (ผู้แฝงฝัน)
การฝึกตน: [ผู้สร้างฝัน (รวมพลังธาตุขั้นสูง)], อู่จง
วิทยายุทธ์: [กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 13) (???)], คาถาสะกด, ก้าวมายา
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 4)]”
“ผู้สร้างฝัน— ไม่เพียงแต่เจ้าสามารถเข้าสู่โลกแห่งความฝันใด ๆ ได้ เจ้ายังเป็นผู้สร้างมายาภาพ เจ้าเป็นใหญ่อย่างแท้จริงเมื่อเจ้าอยู่ในโลกแห่งความฝันของผู้อื่น!”
…
“เมื่อข้าถึงระดับผู้สร้างฝัน ก็เท่ากับข้าถึงระดับรวบรวมพลังธาตุขั้นสูงไปด้วย…”
ขณะมองที่หน้าต่างสถานของตนเอง ฟางหยวนก็ยกมือแตะคาง
เขาพบว่าสถานะที่เขียนเอาไว้นั้นขึ้นกับความรู้และการตีความของเขา
ตัวอย่างเช่น หลังจากฟางหยวนรู้ความแตกต่างระหว่างขอบเขตรวบรวมพลังธาตุและขอบเขตแยกธาตุ ค่าสถานะของการฝึกตนของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“ข้าเกรงว่านักรบศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาต้องฝึกอย่างน้อยสิบปีถึงจะมาถึงระดับรวบรวมพลังธาตุขั้นสูงได้? ข้าเพียงใช้เวลาไม่กี่เดือนก็มาถึงระดับนี้…”
ฟางหยวนพบว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นจ้าวแห่งฝันมาก และความเร็วในการเพิ่มระดับของเขาก็เร็วมากเช่นกัน
และเขายังใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเทียบเท่ากับผู้อื่นที่ใช้เวลาฝึกเป็นสิบหรือเป็นร้อยปี
ที่ด้านในศูนย์รวมจิตของเขา พลังธาตุฝันนั้นไหลเวียนอยู่ราวกับน้ำและยังบริสุทธิ์มาก ถ้าเขามีความก้าวหน้ากว่านี้อีกนิด เขาย่อมเป็นเหมือนหลิวเอี๋ยนและสามารถไปถึงระดับต่ำสุดของการทะลวงผ่านสู่ขอบเขตแยกธาตุ
“แล้วก็… เมื่อได้เป็นจ้าวแห่งฝัน ก็จะไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตแยกธาตุโดยตรง จำต้องได้ฝึกฝนระดับสวรรค์มายาถึงจะเปลี่ยนมายาภาพให้เป็นความจริงได้!”
“แต่ว่า ถ้าต้องการเปลี่ยนโลกแห่งความฝันให้เป็นความจริง จำต้องรู้ว่ากฏแห่งการตีความและพลังงานที่ต้องใช้นั้นน่ากลัว? ดังนั้น เมื่อฝึกฝนเป็นจ้าวแห่งฝัน จึงต้องเลือกวิถี พูดให้ง่าย ๆ ก็คือ จะไม่ได้เริ่มจากการสร้างทั้งโลกแห่งความฝัน สามารถเริ่มจากมีดธรรมดาสักเล่ม ยาวิเศษหรือคาถาสะกดในโลกแห่งความฝัน และอาจจะเริ่มจากหินธรรมดาสักก้อนก็ได้… ผู้ใดทำได้ก็นับว่าอยู่ขั้นสวรรค์สูงสุดแล้ว!”
“กระบวนการสร้างโลกเช่นนั้นต้องเริ่มจากของชิ้นเล็ก ๆ ไปถึงชิ้นใหญ่ ต้องใช้เวลานานมาก… จ้าวแห่งฝันบางคนจึงติดอยู่ที่ระดับนี้ตลอดชีวิตของพวกเขา…”
โลก ต่อให้เป็นโลกที่เล็กที่สุดของจักรวาลก็ยังเต็มไปด้วยกฎมากมายหรือมิใช่?
แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างโลกเช่นนั้น ก็มีคนเพียงไม่มากที่จะกลายเป็นจ้าวแห่งฝันที่แท้จริงที่สามารถสร้างโลกได้ได้ พวกเขาส่วนมากล้วนแต่ติดอยู่ที่ระดับสวรรค์มายา
“แล้วยัง… ภายในระดับนี้ มีวิถีทางมากมายให้จ้าวแห่งฝันเดินไปและดังนั้นจึงมีความชำนาญเฉพาะที่แตกต่างกันไป!”
ฟางหยวนนึกถึงเนื้อหาที่เขาได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์เวิ่นซิน และดวงตาก็เริ่มมีประกายวิบวับ “ตัวอย่างเช่น พื้นฐานที่สุดก็คือการศึกษาโลกแห่งความฝัน หรือหากใช้ร่วมกับเคล็ดวิชาของผู้สร้างฝัน มันก็ช่วยให้ผู้สะกดฝันสร้างคาถาสะกด แล้วยังมีหลักการทางทหารที่ช่วยผู้ป้องฝัน หรือบางทีอาจจะมีบทบาทในการช่วยเหลือจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ หรือจ้าวแห่งกลไกที่ทำการศึกษาฟ้าและดิน ที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดคือจ้าวแห่งสัตว์วิญญาณที่สามารถสร้างสัตว์มีชีวิตขึ้นมา และที่ลึกลับที่สุดคือผู้ทำนายฝัน ที่สามารถบอกอนาคตและโชคของผู้อื่นได้…”
โดยพื้นฐานแล้ว เส้นทางการกเป็นจ้าวแห่งฝันนั้นครอบคลุมนักรบศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิด
จ้าวแห่งฝันผู้หนึ่งสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่นักรบศักดิ์สิทธิ์เป็นได้ และยังเป็นสิ่งที่นักรบศักดิ์สิทธิ์เป็นไม่ได้ได้ด้วย ไม่ยากที่จ้าวแห่งฝันจะทำได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเรียกสายวิชาของพวกเขาว่าเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งหรือ?
“ความแตกต่างระหว่างจ้าวแห่งฝันและจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุและจ้าวแห่งกลไกก็คือสำหรับจ้าวแห่งฝันนั้น วัตถุดิบพวกเขาสามารถสร้างขึ้นได้เองจากโลกแห่งความฝัน และดังนั้นต้นทุนจึงน้อยนิดมาก ความสามารถของพวกเขาสามารถฝึกฝนได้ในโลกแห่งความฝัน และนี่คือหนึ่งในข้อได้เปรียบ ดังนั้น จุดหลักก็คือเจ้าแห่งความฝันนั้นสามารถตีความกฏของฟ้าและดินได้ระหว่างการต่อสู้และฝึกเป็นเจ้าแห่งกลไก! พวกเขายังพัฒนาโลกแห่งความฝันที่พวกเขาใช้งานไปอย่างต่อเนื่อง!”
“จ้าวแห่งฝันทุกคนหวังเพียงสิ่งเดียว ก็คือสร้างโลกที่วิเศษและยิ่งใหญ่!”
ฟางหยวนตาเป็นประกายและถอนหายใจขณะส่ายหน้า “โชคร้าย… ข้ายังอยู่ห่างจากระดับนั้นอีกมากทีเดียว!”
ผู้สะกดฝันที่อยู่ในระดับพื้นฐานสามารถสร้างคาถาสะกดได้จากโลกแห่งความฝันและไม่ต่างไปจากนักรบศักดิ์สิทธิ์เลย! นี่หมายถึงอะไร? มันหมายถึงว่า ด้วยจินตนาการของคนผู้หนึ่ง ก็สามารถกลายเป็นไร้พ่ายได้โดยการหลอมรวมภาพมายากับความจริงเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าคนผู้หนึ่งต้องการไปถึงระดับนั้น ต้องทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสวรรค์มายาเสียก่อน และนั่นก็เท่ากับระดับแยกธาตุของนักรบศักดิ์สิทธิ์!
นอกจากนี้ มันยังยากกว่าที่จ้าวแห่งฝันจะทะลวงด่านเทียบกับนักรบศักดิ์สิทธิ์
ถ้าคนผู้หนึ่งต้องการเปลี่ยนสิ่งของบางอย่างจากในโลกแห่งความฝันมาสู่โลกแห่งความจริง แม้ว่าจะเป็นแค่ก้อนหินเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ สักก้อนหรือทรายสักเม็ด มันก็เป็นตัวแทนของพลังอันเหนือธรรมชาติ! จิตใจมีผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และสติสัมปชัญญะก็มีผลต่อความเป็นจริง!
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนี่มันยากมาก ผลที่ได้รับจากการฝ่าด่านสู่ระดับสวรรค์มายาย่อมมหาศาล อาจจะขึ้นไปอยู่ในระดับสุดยอดผู้ฝึกตนต่อให้เป็นในอาณาจักรต้าเฉียนก็ตาม…”
ฟางหยวนถอนหายใจและโบกมือขึ้นไปบนฟ้า
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ราชานกหงเอี่ยนป๋ายร่อนลงมาและถูไถกับฝ่ามือฟางหยวน
ตั้งแต่เขากล่อมเจ้านกตัวนี้ได้ผ่านการสร้างฝัน เจ้านกก็เปลี่ยนเป็นสนิทสนมกับฟางหยวน
ฟางหยวนยังทำให้เจ้านกลืมความแค้นก่อนหน้าที่มีมา
เป็นความได้เปรียบของจ้าวแห่งฝันในการปรับเปลี่ยนความทรงจำและสร้างภาพมายาขึ้นมา
“กินอีกหน่อยสิ!”
ฟางหยวนนำข้าวหยกเพลิงและใบชาชำระจิตจำนวนมากออกมาให้เจ้านกกิน
ฮวาหูเตียวและอินทรีดำหางเหล็กรู้สึกริษยาเล็ก ๆ กับการดูแลที่ราชานกหงเอี่ยนป๋ายได้รับ
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
แม้ว่าก่อนหน้าเจ้าราชานกหงเอี่ยนป๋ายจะไม่ได้กินข้าววิญญาณและชาวิญญาณทุกวัน มันก็ยังคงชอบใจและกินอาหารวิเศษลงไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งมันก็ใช้จะงอยปากถู ๆ ฟางหยวนและนี่ก็ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น
‘ราชานกหงเอี่ยนป๋ายนี้พิเศษและความสามารถของมันยังสูงกว่าอินทรีดำหางเหล็กแม้ว่าจะไม่ได้มีอาหารวิเศษช่วยมาตั้งแต่แรก ถ้าตอนนี้มันได้กินอาหารเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ ก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะขึ้นไปถึงระดับสูงกว่านี้!’
นี่เป็นเหตุผลให้ฟางหยวนปฏิบัติกับเจ้านกเป็นอย่างดี
อย่างไรแล้ว สำหรับนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับรวมพลังธาตุ อินทรีดำหางเหล็กก็เพียงใช้ในการเดินทางได้เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่นกตัวอื่นที่มีพลังธาตุเล่า?
ฟางหยวนนั้นมีความคาดหวังกับราชานกหงเอี่ยนป๋ายที่มีโอกาสทะลวงด่านได้
“กิกี๊!”
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ภาพนี้กระตุ้นทั้งอินทรีดำหางเหล็กและฮวาหูเตียว พวกมันทั้งคู่พุ่งเข้าไปหาฟางหยวนอวดเหยื่อที่ล่าได้เพื่อบอกความสามารถของตนในการล่าเหยื่อ
“ฮ่าฮ่า… เจ้าทั้งสองนี่นะ!”
ฟางหยวนหัวเราะและพูด “ในเมื่อเจ้านกนี่ฟื้นตัวเต็มที่แล้ว มันก็จะรับหน้าที่ดูแลนกหงเอี่ยนป๋ายที่เหลือ พวกเจ้าไม่ต้องไปล่าเหยื่อมาป้อนลูกนกพวกนั้นทุกวันแล้ว…”
แม้ว่าด้วยการโจมตีครั้งก่อนของฟางหยวน ฝูงนกหงเอี่ยนป๋ายลดลงอย่างมาก แต่ในเมื่อราชานกหงเอี่ยนป๋ายยังอยู่ที่นี่ และยังมีลูกนกและไข่อีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งของวิเศษหลายชิ้นของฟางหยวน ฝูงนกย่อมเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ส่วนพวกเจ้าทั้งสอง… พวกเจ้าทั้งสองตามข้าไปที่คฤหาสน์เจ้าเมือง!”
สำหรับการต่อสู้ระหว่างสัตว์วิญญาณ ฟางหยวนค่อนข้างประหลาดใจกับมัน และแน่นอน เขาไม่ได้ลืมพวกมันทั้งสองตัวแม้ว่าเขาจะได้สัตว์เลี้ยงใหม่มาซึ่งก็คือเจ้านกตัวนี้
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
อินทรีดำหางเหล็กหมอบลง มันกางปีกเป็นสัญญาณให้ฟางหยวนรีบขึ้นไป จากนั้นมันก็จ้องไปทางราชานกหงเอี่ยนป๋าย
‘เจ้าดำยักษ์นี่… ความภูมิใจในฐานะอินทรีของเจ้ามันหายไปไหนกัน?’
ฟางหยวนพูดไม่ออกและเมื่อมองสายตาไม่ยินยอมของราชานกหงเอี่ยนป๋าย เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
…
“อาจารย์!”
ที่คฤหาสน์เจ้าเมือง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างเดียวที่ยังต้องทำก็คือสอนหลานรั่วและเฉินจื่ออิง
“อืม จื่ออิ่ง กรงเล็บอินทรีของเจ้ายามนี้ไม่เลวเลย!”
ฟางหยวนประหลาดใจที่เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เฉินจื่ออิงกลับสามารถทะลวงผ่านระดับที่ 4 และยังสามารถรวมรวบกำลังภายในจากกรงเล็บอินทรีได้
แม้ว่าเฉินจื่ออิงจะมีประสบการณ์กับวิทยายุทธ์อื่นมาก่อนและไม่ได้เริ่มจากระดับเริ่มต้น ฟางหยวนก็ไม่คาดว่าเขาจะฝึกกรงเล็บอินทรีได้ถึงระดับนี้
“ข้าสามารถมาถึงระดับนี้ได้เพราะการชี้แนะของท่านและความช่วยเหลือจากข้าววิญญาณ!”
เฉินจื่ออิงคารวะอย่างจริงใจ
อย่างไร แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายของตระกูลเฉิน เขาก็ไม่ได้กินข้าวหยกแดงได้ทุกมื้อทุกวัน
อันที่จริงแล้ว เป็นเพราะฟางหยวนพบข้าวชนิดอื่นที่ดีกว่าข้าวหยกแดงดังนั้นจึงยอมมอบข้าวหยกแดงออกมาให้คนของตนเองและลูกศิษย์
ถ้าเฉินจื่ออิงรู้ว่าสิ่งที่เขายินดีนั้นเป็นสิ่งที่ฟางหยวนปล่อยมือแล้ว เขาคงจะอึ้งไป
“อาจารย์…”
พอพวกเขาได้คุ้นเคยกันมาระยะหนึ่งแล้ว หลานรั่วก็ไม่เขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าฟางหยวนแล้ว “ข้าค่อยเข้าใจภาษาที่ใช้ในคาถาและเคล็ดวิชาการแปรธาตุ อย่างเช่น เพลิงสามหยางและเพลิงสามหยิน รวมทั้ง น้ำตะกอนหยก และยัง…”
“พวกนี้.. เจ้าต้องรอก่อน ข้ามีเรื่องอย่างอื่นให้จัดการก่อนวันนี้ ข้าจะตอบทุกคำถามของเจ้าพรุ่งนี้!”
ฟางหยวนรู้สึกละอายนิด ๆ แต่ว่าไม่แสดงออกมาบนสีหน้า เขาโบกมือให้ศิษย์ทั้งสองออกไปก่อนจากนั้นเขาก็เข้าไปในคุก
ในคุก มีห้องขังหนึ่งที่ค่อนข้างสะอาดและเขาก็เห็นหลิงอิ๋นอยู่ข้างใน
“เป็นอย่างไรบ้าง คุณหนูหลิงอิ๋น?”
ฟางหยวนทักทายนางและยิ้มให้
หลิงอิ๋นนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น นางลืมตาขึ้นนิด ๆ เหลือบมองฟางหยวน จากนั้นนางก็ตอบ “เจ้าลืมไปได้เลยว่าจะได้ความรู้ใดจากข้า!”
“คุณหนูหลิงอิ๋น เหตุใดจึงปฏิเสธข้ารุนแรงเพียงนี้?”
ฟางหยวนไขกุญแจห้องขังแล้วเดินเข้าไปเชยคางนางขึ้น
ทั้งร่างของหลิงอิ๋นสั่นสะท้าน แต่นางก็ไม่ต่อต้าน นางรู้ว่าไม่มีประโยชน์ในเมื่อฟางหยวนมีพลังมากกว่านาง
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากตาย นั่นก็หมายความว่าเจ้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นการแก้แค้นหรือช่วยชีวิตใคร ตราบใดที่เจ้ายังไม่อยากตาย พวกเราก็พอจะคุยกันได้มิใช่หรือ?”
ฟางหยวนดูมั่นใจมาก
“อาจารย์ของข้าตายไปแล้ว และเจ้ายังอยากจะได้รู้ความลับของการแปรธาตุ? ฝันไปเถอะ!”
สีหน้าของหลิงอิ๋นเปลี่ยนไป
จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่แท้จริงนั้นไม่สามารถฝึกฝนได้เพียงอ่านจากตำราเพียงอย่างเดียว ยังต้องการคำแนะนำจากผู้อาวุโสด้วยเช่นกัน นี่คือเหตุผลให้หลิวเอี๋ยนยอมปล่อยตำราการแปรธาตุของลู่เหรินเจียให้ฟางหยวน
หลิวเอี๋ยนไม่เชื่อว่าฟางหยวนจะสามารถฝึกฝนจนเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุได้ด้วยตนเอง
คอมเม้นต์