ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 4 ประกันตัว

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 4 ประกันตัว อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 4 ประกันตัว

โจวเจ๋ออึ้งไปครู่หนึ่ง หมายความว่าที่ตัวเองสามารถใช้ร่างของ ‘สวีเล่อ’ ในการยืมซากศพคืนชีพได้ เป็นเพราะว่าเขาเพิ่งถูกฆ่าตายเหรอ

เพราะร่างยังอุ่นอยู่ ดังนั้นตัวเองถึงเข้าไปได้ใช่ไหม

หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าตัวเองจะโชคดีขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ

ไม่มีความรังเกียจ และไม่มีความโกรธแค้น ยิ่งไม่ต้องตื่นกลัวว่าจะถูกเปิดเผยตัวตน โจวเจ๋อหมุนตัวกลับมามองชายหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันข้างหลังตัวเอง

ชายหนุ่มชะงัก

เขาเห็นบางอย่างผิดปกติจากแววตาของโจวเจ๋อ

คือความสุข

คือความโชคดี

กระทั่งมีความชื่นชมอยู่เล็กน้อย

ในฐานะเจ้าของร่าง ภายใต้สถานการณ์เมื่อคืนนี้ โจวเจ๋อรู้ดีว่าเขากำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบไหน ถ้าชายผู้นี้ไม่บังเอิญฆ่าคนในเวลานั้น ตัวเองอาจจะสูญเสียจิตวิญญาณไป และจะไม่มีทางได้เห็นตะวันในวันนี้ด้วยซ้ำ

“โทษที เมื่อคืนฉันสลบไปน่ะ เช้านี้ตื่นมารู้สึกปวดหัวไม่ค่อยสบาย เหมือนดื่มเหล้าจนเมาเสียอย่างนั้น ลืมเรื่องเมื่อวานไปสนิท” โจวเจ๋ออธิบายอย่างขอไปที

เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดูออกว่าตัวเองเป็นวิญญาณที่ยืมซากศพคืนชีพ เว้นเสียแต่ว่าสมองอีกฝ่ายมีปัญหา

“นายไม่ถือโทษโกรธฉันเหรอ” อีกฝ่ายชี้ที่จมูกตัวเอง เอ่ยขึ้นอย่างเหลวไหลเล็กน้อย “ถึงฉันจะบอกว่าเมื่อวานฟาดนายไปแบบไร้เหตุผลทีหนึ่งน่ะนะ”

“ไม่เป็นไร ฉันต้องขอบคุณนายเสียอีกที่ไม่เอาโทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์บนโต๊ะไปด้วย”

“อันนั้น…ฉันลืมน่ะ” ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆ “นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว นี่เป็นเงินที่ฉันขโมยนายมาเมื่อวาน”

ชายหนุ่มเริ่มหยิบเงินสามร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋า จากนั้นยังล้วงหยิบออกมาอีกแปดร้อยหยวน

“แปดร้อยนี้เป็นค่ายาของนาย อีกสามร้อยคือที่ขโมยมาเมื่อวาน” ชายหนุ่มเม้มปาก “เมื่อวานเล่นพนันออนไลน์จนเสียเงินเดือนของตัวเองให้โก่วจวงไปหมดเลย ตอนเดินผ่านหน้าร้านหนังสือของนาย จู่ๆ ก็นึกอยากจะได้เงินไว้ใช้จ่ายสักหน่อย หลังจากซัดนายจนหมอบก็พบว่านายไม่หายใจแล้ว ตกใจแทบตายหลังวิ่งกลับบ้านไปก็ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ยังคิดอยู่เลยว่าตำรวจจะพังประตูบุกเข้ามาจับกุมฉันหรือเปล่า ปล้นฆ่าคนเพียงเพราะเงินสามร้อยหยวน รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ไม่คุ้มเลยจริงๆ”

ชายหนุ่มเอื้อมมือมาตบไหล่โจวเจ๋อเบาๆ

“พรรคพวก ดีจริงๆ ที่นายยังไม่ตาย จริงๆ นะ ฉันเตร่ไปเตร่มาอยู่ข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว ฉันรอคนโทรแจ้งความและรอตำรวจมา แต่ปรากฏว่าคาดไม่ถึงที่ฉันยังเห็นนายอยู่ในร้านหนังสือนายรู้ไหม ตอนนั้นฉันแทบจะคุกเข่าโค้งคำนับนายบนพื้นเลยนะ ขอบคุณมากที่จิตนายแข็งและยังไม่ตาย ไม่อย่างนั้นฉันจบเห่แน่ ที่นี่มีกล้องวงจรปิดเต็มไปหมด ถ้านายตายไปจริงๆ ฉันหนีไม่รอดแน่นอน”

โจวเจ๋อมองเงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยหยวนในมือตัวเอง แล้วมองไปที่ ‘ฆาตกร’ ที่รับสารภาพกับตัวเองทั้งน้ำตาอีกครั้ง และมักจะรู้สึกว่าฉากเช่นนี้ดูประหลาดมาก

พูดกันตามตรง ‘สวีเล่อ’ ตายไปแล้ว เพราะว่าเขาตายไปแล้ว ตัวเองถึงสามารถอาศัยร่างของคนอื่น และเป็นเพราะการที่ตัวเองอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่น ชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ถึงได้พ้นข้อหาอาชญากรรม

ตัวเองและชายผู้นี้ต่างก็ได้กำไรกันทั้งคู่ จะมีก็เพียงแต่สวีเล่อคนนั้นที่ดวงซวยอยู่คนเดียว

“โอเค ไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อคืนฉันน่าจะเจ็บหน้าอกน่ะ” โจวเจ๋อแกะมือของอีกฝ่ายออกจากไหล่ของตัวเอง เมื่อก่อนเขาเป็นแพทย์ฉุกเฉินคนหนึ่ง มีความสกปรกรูปแบบไหนบ้างที่ยังไม่เคยเจอ แต่ภายใต้สภาพแวดล้อมสุดขั้วนั้นกลับทำให้เขากลายเป็นคนติดนิสัยรักสะอาดขึ้นมานิดหน่อย อันที่จริง แพทย์ฉุกเฉินส่วนใหญ่มีนิสัยรักสะอาดในระดับต่างกัน

และเห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเจอความสกปรกมากเกินไปจนเรียนรู้ที่จะรักษา ‘ความสะอาด’

“นายไม่เอาเรื่องฉันจริงๆ เหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างดีใจเล็กน้อย

“อืม ฉันไม่เอาเรื่องนาย” โจวเจ๋อพยักหน้า “นายกลับไปใช้ชีวิตและตั้งใจทำงานให้ดีๆ เถอะ ครั้งหน้าอย่าก่อเหตุอีกล่ะ”

“โอเค ขอบคุณมากพรรคพวก นายเป็นคนจริงใจมาก”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วออกจากร้านหนังสือเพื่อไปพบกับ ‘ชีวิตใหม่’ ของเขา

แต่ทว่าโจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ายังไงก็ต้องแจ้งความ ไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายฆ่าตัวเอง (สวีเล่อ) ถึงได้แจ้งความ แต่แจ้งข้อหาลักทรัพย์อีกฝ่ายแทน

ถึงอย่างไรก็ให้ตำรวจทำการตรวจสอบ หากอีกฝ่ายมีประวัติอาชญากรรมจริงๆ หรือเคยทำเรื่องเลวร้ายอย่างอื่นแล้วถูกตำรวจจับก็สมน้ำหน้าเขาก็แล้วกัน

ตัวเองอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่นแล้ว ก็ควรจะทำอะไรเพื่อตัวซวยคนนี้สักหน่อย

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทียอมรับผิดแต่โดยดีและยังเสนอค่ารักษาพยาบาลให้ตัวเอง ก็ยังคงใช้ชื่อจริงของตัวเองรายงานไปเหมือนเดิม จริงๆ มันก็ผิดศีลธรรมอยู่บ้าง เหมือนโดนแช่งให้คลอดลูกแล้วลูกไม่มีหูรูด

ทว่าเมื่อโจวเจ๋อกดหมายเลข 110 และเสียงของโอเปอเรเตอร์ที่นั่นก็ดังขึ้น

ที่ประตูหน้าร้าน

จู่ ๆ ชายผู้นั้นที่จากไปแล้ว แต่ดันกลับมาอีกครั้ง

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…” อีกฝ่ายเพิ่งเดินเข้ามาแล้วเห็นโจวเจ๋อที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ เขาชะงักครู่หนึ่งแล้วชี้ไปที่โจวเจ๋อ “ไอ้เวรนี่ยังต้องแจ้งตำรวจอยู่ใช่ไหม!”

โจวเจ๋อส่ายหน้า

“เอาโทรศัพท์มาให้ฉันดูหน่อย เอามา!”

โจวเจ๋อทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง

“แกผิดคำพูด ไอ้ชั่ว ฉันจะฆ่าแก! ดูสิว่าคราวนี้แกจะตายไหม!”

ชายหนุ่มตกอยู่ในสภาวะคุ้มคลั่งในทันที จิตของเขาน่าจะมีปัญหานิดหน่อย อาจจะเกี่ยวข้องกับจังหวะชีวิตของเขา ที่อยู่ในแวดวงการพนันและปลีกตัวออกจากสังคมมานาน เมื่อถูกบางอย่างกระตุ้น เขาเลยมักจะคุ้มคลั่งสุดขั้วเอาได้ง่ายๆ

อีกฝ่ายโผเข้ามา โจวเจ๋อวางโทรศัพท์ลง ร่างกายเริ่มถอยหลังไป

ชาติก่อนเขาเป็นหมอ ไม่ใช่นักมวยและไม่เคยฝึกการต่อสู้มาก่อน และร่างในชาตินี้ก็อ่อนแอเช่นกัน หากพูดถึงการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ยังมีความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

“ปัง!”

ชายหนุ่มกระแทกโจวเจ๋อกดติดเข้ากับกำแพง และในขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มบีบคอของโจวเจ๋ออย่างแรง

“ฉันจะให้แกแจ้งตำรวจ ฉันจะให้แกแจ้งตำรวจ ฉันให้แกผิดคำพูดได้ และฉันจะปล่อยให้แกตาย ฉันจะปล่อยให้แกตายไปจริงๆ คราวนี้ฉันจะบีบคอแก จากนั้นก็จะทำให้แกจมกองเลือด ดูสิว่าแกจะตายไหม!”

ชายหนุ่มกัดฟันคำราม

ร้านหนังสือที่น่าสงสาร ในช่วงบ่ายนั้น อย่าถามถึงลูกค้าเลย แม้แต่คนเดินผ่านหน้าร้านยังมีแค่ไม่กี่คน

ตรงคอเริ่มชาและหายใจไม่ออก โจวเจ๋อพยายามดิ้นรน ในตอนที่ดิ้นรนอยู่นั้น จู่ๆ เล็บมือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้วค่อยๆ ยาวขึ้นมาในทันใด

จากนั้นมือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อก็ไปกอดคว้าด้านหลังอีกฝ่ายไว้

“ฉึก…”

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็สั่นสะท้าน ตาเหลือกและปล่อยมือออกจากคอของโจวเจ๋อในทันที ถอยไปได้ไม่กี่ก้าวทั้งร่างก็หงายหลังชนกับตู้หนังสือหลายชั้นแล้วล้มตึงลงกับพื้น

โจวเจ๋อ หลุดพ้นจากพันธนาการได้และเอื้อมมือขึ้นมานวดคอตัวเองเบาๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตื่นตกใจมากนัก ในเมื่อเล็บของตัวเองนั้นแม้แต่ผีร้ายในนรกยังทำบาดเจ็บได้ การจัดการกับคนธรรมดาคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกใช่ไหมล่ะ

แต่โจวเจ๋อก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเล็บนี้มีไว้เพื่ออะไร รู้เพียงแต่ว่าชายชราที่ช่วยชีวิตก่อนตัวเองจะประสบอุบัติเหตุเป็นคน ‘แพร่เชื้อ’ ให้ตัวเอง

จริงๆ เลย

ได้เล็บสีเทาดำนี้มา ก็เป็นการติดเชื้ออย่างหนึ่ง

โจวเจ๋อก้าวไปข้างหน้าและย่อตัวลงนั่งยองๆ เอื้อมมือไปตบหน้าชายหนุ่มเบาๆ เสียงดังแปะๆ ยังดีที่ยังไม่ตายยังหายใจอยู่ โจวเจ๋อส่ายหน้าและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแจ้งตำรวจอีกครั้ง

เมื่อลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเรียบร้อยแล้ว สหายตำรวจให้โจวเจ๋อรออยู่ตรงโถงเล็กๆ เพราะสิ่งที่โจวเจ๋อรายงานไปนั้นค่อนข้างร้ายแรง บอกว่าคนที่เข้ามาปล้นตัวเองแต่ถูกต่อยจนสลบไปนั้นเป็น ‘คนร้าย’ และตอนนี้คนร้ายผู้นี้ยังคงอยู่ในโรงพยาบาล ต้องรอเขาฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะให้ปากคำยืนยันเพิ่มเติม

แต่อย่างน้อยสหายตำรวจก็ไม่ได้ใส่กุญแจมือโจวเจ๋อ

มีชายวัยกลางคนนั่งยองๆ ข้างโจวเจ๋อหนึ่งคน มือซ้ายของชายคนนั้นถูกล็อคกุญแจมือไว้กับแผ่นนำความร้อน

“ไอ้น้อง นายแน่มาก เจ้านั่นจะขโมยเงินนาย แต่กลับถูกนายล้มคว่ำไปเลยงั้นเหรอ” ใบหน้าชายวัยกลางคนมอมแมมเล็กน้อยเอ่ยขึ้นพลางลูบๆ ปัดๆ ผมหน้าม้าเลอะโคลนของตัวเอง “แสบเหมือนฉันในสมัยหนุ่มจริงๆ โจรตาบอดแบบนี้ ต้องตีให้ตาย!”

“เฮ้ย! นายน่ะทำตัวดีๆ หน่อย” ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยปราม “ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมานี้นายขโมยจักรยานไฟฟ้าไปกี่คันแล้ว ฉันว่านะ ใกล้ปีใหม่แล้ว นายจะอยู่อย่างสงบไม่ได้เลยหรือไง หรือไม่ก็หางานทำเป็นเรื่องเป็นราว เก็บเงินส่งไปให้ที่บ้านบ้าง โตจนป่านนี้แล้วนะ”

“ฮึ” ตำรวจหนุ่มไม่อยากสนใจเจ้านี่อีกแล้ว หมุนตัวเดินออกไป

“ไอ้น้อง คำพูดเมื่อกี้ของพี่เป็นไง” ชายอ้วนพุงพลุ้ย ขยิบตาให้โจวเจ๋อหนึ่งที

“ก็น่าสนใจดีนะ” โจวเจ๋อยิ้ม

โจวเจ๋อพยักหน้า

“พี่จะบอกอะไรให้นะ วันนี้จะต้อง…” ชายอ้วนพลุงพลุ้ยอึ้งไปครู่หนึ่ง มองไปที่หน้าประตูด้านนั้นแล้วเอ่ย “แม่เจ้าโว้ย สวยจริงๆ ใช่ตำรวจไหม”

โจวเจ๋อก็หันหน้าไปมอง อีกด้านหนึ่งของประตูมีผู้หญิงสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินและสวมรองเท้าบูทหนังเดินมาทางด้านนี้พร้อมกับตำรวจหญิงอีกคนหนึ่ง

“น่าจะเป็นตำรวจนะ” โจวเจ๋อเอ่ย

ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก หุ่นผอมเพรียว ผิวขาวผ่อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสน่ห์แบบนั้นบนตัวเธอเป็นการเพิ่มคะแนนเข้าไปอีก

“แต่ไม่ได้สวมชุดตำรวจนี่นา” ชายอ้วนพุงพลุ้ยค้าน

“น่าจะเป็นชุดลำลองล่ะมั้ง” โจวเจ๋อเดา

“นายพูดถูก ขวัญใจตำรวจคนงาม จุ๊ ๆ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเข้ามาบ่อยๆ เสียแล้ว” ชายอ้วนพุงพลุ้ยจิปาก ดูเหมือนอารมณ์ค้างเสียอย่างนั้น “ถ้าได้แต่งกับเธอละก็ อายุขัยลดลงไปสิบปีฉันก็ยอม”

โจวเจ๋อส่ายหน้า เรื่องอายุขัยพรรค์นี้ เขาไม่กล้าเอามันมาล้อเล่นอีกแล้ว

“นายไม่คิดอย่างนั้นเหรอ” ชายอ้วนพุงพลุ้ยเห็นโจวเจ๋อส่ายหน้า รีบเอ่ยขึ้นทันที “นายนี่เรียกว่ามีตาหามีแววไม่ ผู้หญิงแบบนี้ เอาอายุขัยสิบปีไปแลกไม่ขาดทุนแน่นอน…”

ในตอนนี้เอง ตำรวจหญิงและหญิงสาวสวมรองเท้าบูทเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าโจวเจ๋อด้วยกัน

“สวีเล่อ ภรรยาของคุณมาประกันตัว ฝั่งนั้นตรวจสอบแน่ชัดและคุณรอดแล้ว” ตำรวจหญิงชี้โจวเจ๋อพลางเอ่ยขึ้น

“…” โจวเจ๋อ

“….” ชายอ้วนพุงพลุ้ย

………………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด