ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 47 ได้ดั่งใจปรารถนา!

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 47 ได้ดั่งใจปรารถนา! อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บุหรี่สามมวนในมือซ้าย กระเป๋าทรงกลมในมือขวา และบนตัวยังสะพายกระเป๋าสะพายไหล่ใบสวยไว้ด้วย

ไป๋อิงอิงจะไม่ยอมเสียโอกาสใดๆ ที่โจวเจ๋ออนุญาติให้เธอออกจากร้านหนังสือไปแม้แต่ครั้งเดียว พระเจ้ารู้ว่าเธอซื้อกระเป๋าสะพายไหล่ หลังจากซื้อบุหรี่และขนมบัวลอยจีนที่รวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร!

เมื่อผลักประตูร้านหนังสือเข้ามา ไป๋อิงอิงเห็นภาพชายสองคนกอดกัน ก็รีบวางข้าวของลงและปิดตาในทันที ขณะเดียวกันนั้นก็พยายามแอบดูตามซอกนิ้วที่กางออก และไม่ลืมที่จะกระทืบเท้าอย่างเขินอายและพูดว่า

“ฮือๆๆ ข้ากลับมาผิดเวลาใช่ไหมเนี่ย”

พระสนมสวี่ โอ้ไม่นะ

สวี่ชิงหล่างจ้องไป๋อิงอิงกลับ ความรู้สึกรักอันน่าเศร้านั้น เหมือนหยาดน้ำค้างในฤดูร้อนที่หยดย้อยลงมาอย่างหมดสิ้น

สีหน้าอารมณ์ ความอาฆาตแค้นส่วนตัวของสตรีอันมหาศาลนี้ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

ทำให้ไป๋อิงอิงสงสัยอยู่เล็กน้อย ตกลงว่าตัวเองเป็นผีดิบหรือเถ้าแก่ร้านบะหมี่คนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นผีดิบกันแน่

“ซื้อของกลับมาแล้วเหรอ” โจวเจ๋อลุกขึ้น

จัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ครู่หนึ่ง

สวี่ชิงหล่างก็ยืนขึ้นตาม แสร้งทำเป็นติดกระดุม

“เถ้าแก่ ข้าซื้อมาหมดทุกอย่างแล้ว” ไป๋อิงอิงตอบอย่างเชื่อฟัง

“โอเค ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่งนะ”

โจวเจ๋อเดินไปหยิบบุหรี่และขนมบัวลอยจีนขึ้นมา บอกกับไป๋อิงอิงว่า คุณดูร้านก็แล้วกันนะ”

“ได้เลยเจ้าค่ะ”

หลังจากที่โจวเจ๋อเดินออกไปจากร้าน ไป๋อิงอิงและสวี่ชิงหล่างต่างก็มองหน้าและจิกกัดกันทางสายตา

“มองอะไร ยัยซากศพ” สวี่ชิงหล่างเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย

“หากคุณยังซ่อนตัวอยู่ในตู้ต่อไป ฉันก็มองไม่เห็นแล้ว” ไป๋อิงอิงพูดประชดกลับ

“เธอเป็นน้ำแข็ง น้ำแข็ง! ก็จงแข็งกลายเป็นน้ำแข็งแท่งไปเลย!”

สวี่ชิงหล่างตอบโต้ต่อ!

“เชอะ!”

“เชอะ!”

ทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ สวี่ชิงหล่างกลับไปที่ร้านบะหมี่ ส่วนไป๋อิงอิงนั่งบนเก้าอี้เถ้าแก่ด้านหลังเคาน์เตอร์พลางเลียนแบบท่าทางของโจวเจ๋อ รินน้ำร้อนแก้วหนึ่งจากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหนึ่งเล่มและตีเนียนแสร้งทำเป็นดูมีบรรยากาศมาก

โจวเจ๋อตั้งใจจะไปวัดขงจื๊อ ไม่ว่าชีวิตจะเศร้าโศกแค่ไหน คุณก็ต้องทนกับมันให้ได้ก่อน แล้วค่อยใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ

มันเหมือนกับคืนสุดท้ายของวันหยุดสั้นๆ แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังและหมดอาลัยตายอยาก แต่ก็ทำได้แค่ตั้งนาฬิกาปลุกให้ตัวเองเท่านั้น

นี่แหละคือชีวิต สำหรับบุคคลที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงบางคน ผู้คนมักจะพูดถึงเคล็ดลับความสำเร็จของเขาไม่ขาดปาก อิจฉาความสามารถและความโด่งดังที่ฉุดไม่อยู่ของเขาในเวลานี้

มันก็เหมือนกับตอนที่ผู้หญิงมีครรภ์และเพิ่งจะคลอดลูก ญาติและผองเพื่อนมาแสดงความยินดีกับเธอ แต่ไม่มีใครจะสนใจว่าที่ตั้งท้องเด็กคนนี้มาเพราะถูก…กระทำตั้งแต่ต้น

ถึงจะดูหยาบคายไปหน่อยแต่มีเหตุผล

โจวเจ๋อทำได้เพียงปลอบตัวเอง

ส่วนคนที่เรียกว่าลูกพี่ลูกน้องและคนขับรถบรรทุกคนนั้น จะโต้ตอบกลับกับพวกเขาอย่างไร ก็ยังต้องพิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบ อย่างน้อยๆ โจวเจ๋อก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไรอยู่แล้ว

เขาไม่สามารถทำตัวพาลมุทะลุและกำแหงเหมือนเพื่อนร่วมอาชีพในหรงเฉิงได้ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึง ‘คดีฆาตกรรม’ ของตัวเอง และแน่นอนไม่สามารถเปิดเผยมันได้แม้แต่น้อย

เมื่อกำลังหยิบมือถือออกมาเตรียมจะเรียกรถ กลับบังเอิญเห็นข้อความในวีแชทเข้าพอดี

‘ทำอะไรอยู่’

เป็นข้อความที่ส่งมาจากหมอหลิน

โจวเจ๋อสองจิตสองใจและลังเลอยู่เล็กน้อย พูดตามตรงว่า อารมณ์ของเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะสับสน เพราะเหตุผลที่สวีเล่อต้องฆ่าเขาก็เป็นเพราะหมอสาวสวยคนนี้แอบรักเขามาโดยตลอด

เอาเถอะ ถูกสาวสวยคนหนึ่งแอบรัก

ถูกภรรยา…คนอื่นแอบรัก

ถูกภรรยา…คนอื่นที่ทั้งสวยแถมยังมีพรหมจรรย์อยู่แอบรัก

ทำให้คนรู้สึกทะนงตนและภาคภูมิใจมากจริงๆ

แต่ตัวเองในชีวิตที่แล้ว ก็ถูกเธอฆ่าตายไปอย่างนี้ไงเล่า!

‘อยู่ในร้าน’ โจวเจ๋อยังคงตอบข้อความกลับไป

เขาไม่ใช่สวีเล่อ ไม่ได้จำเป็นต้องแบกรับอะไรขนาดนั้น วัฏจักรกงกรรมกงเกวียนของเขาและสวีเล่อ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหมอหลินแม้แต่นิดเดียว

และว่ากันตามความจริง หลังจากที่เขาตายไปก็ค้นพบว่าตัวเองกำลังหลงเสน่ห์หมอหลินทีละนิดๆ ผู้หญิงคนนี้สำหรับเขาแล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกดีด้วยคงเป็นไปไม่ได้

โดยเฉพาะตอนที่โจวเจ๋อสารภาพความจริงที่โรงพยาบาลนั้น เธอรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกมาก จนกระทั่งสั่นไปทั้งตัว แต่เธอก็ยังเข้ามาสวมกอดตัวเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

โจวเจ๋อไม่รู้ว่าพระเจ้าตาบอดหรือไม่ โจวเจ๋อไม่แน่ใจ แต่การมีอยู่ของหมอหลินเป็นจุดสว่างที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตหลังจากที่ตัวเองกลับมาเกิดใหม่จริงๆ

‘ฉันอยู่ริมถนนด้านนอกร้านของคุณ’

โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เป็นไปตามคาด เขาเห็นรถมาเซราติคันสีขาวอยู่ที่หัวมุมของถนน

รถคาเยนน์คันก่อนที่ตัวเองขับไปเบียดโดนเสาไฟฟ้าในคืนนั้น เห็นได้ชัดว่าหมอหลินเปลี่ยนเป็นรถอีกคันแล้ว

ช่างเป็นแนวคิดลัทธิบูชาอันเงินชั่วร้าย!

โจวเจ๋อเดินไปเปิดประตูรถและนั่งลงบนตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ

หมอหลินค่อนข้างจะระวังตัวและทำตัวไม่ถูก แต่ก็สามารถมองออกได้ว่าเธอรวบรวมความกล้าอย่างยิ่งเพื่อจะมาเจอตัวเขา

ถึงอย่างไร ตัวเองก็เป็นผีตนหนึ่ง

“สวีเล่อ เขา…”

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้เขาไม่อยากได้ยินเรื่องอะไรเกี่ยวกับ ‘สวีเล่อ’

“อย่าพูดถึงเขาเลย ทำเหมือนว่าเขาไม่เคยมีตัวตนเถอะ” โจวเจ๋อขัดจังหวะอย่างโผงผาง

“แล้วอย่างนี้…จะทำให้คุณรู้สึกว่า…ฉันเป็นผู้หญิงเลวไหมคะ” หมอหลินถาม

เรือนสามน้ำสี่[1]

แม้จะไม่ใช่คำสอนที่ตายตัวขนาดนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะความเกี่ยวพันธ์ของพ่อแม่ที่ปลูกฝังพิษร้ายไว้เป็นความคิดสังคมศักดินาที่ยังหลงเหลืออยู่ ให้กับหมอหลินต่างหาก

สามีของตัวเองในตอนนี้คือโจวเจ๋อ แล้วสวีเล่อคนเดิมล่ะ

“ไม่ต้องคิดมาก” โจวเจ๋อส่ายหน้า

อันที่จริงแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน หลังจากที่หมอหลินรู้ว่าสวีเล่อคือโจวเจ๋อนั้น น้ำเสียงและท่าทางการพูดอ่อนลงไปมาก ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปช่วงที่ตัวเองเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งในตอนแรก และโจวเจ๋อก็เป็นอาจารย์ของเธอ

ในตอนนั้น โจวเจ๋อไม่มีความเกรงใจกับเด็กฝึกงานแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม และใช้งานพวกเธอเหมือนเป็น ‘สุนัขฝึกหัด’ ปล่อยให้พวกเขาทำทั้งงานหนักและงานสกปรกทั้งหมด รวมไปถึงการซื้อกาแฟด้วย

และหลังจากโจวเจ๋อสารภาพความจริงแล้ว ก็แสดงให้เห็นท่าทางที่ ‘เหนือกว่า’ แบบนั้นต่อหน้าหมอหลินออกมาเรื่อยๆ

แนวโน้มความคิดผู้ชายเป็นใหญ่เริ่มแสดงออกมาอย่างชัดเจน

คนถูกรัก มักไม่เกรงกลัว

กล้าหาญอยู่เสมอ

“ก็ได้” หมอหลินพยักหน้าตอบ

จากนั้นก็เงียบกริบ

โจวเจ๋อไม่อยากเงียบ เขามองหมอหลินแล้วพบว่าวันนี้เธอสวมเสื้อขนเป็ดสีชมพูและกางเกงยีนส์ แม้ว่าส่วนโค้งเว้าของรูปร่างจะโดดเด่นออกมาอย่างสมบูรณ์ แบบเข้ากับเสน่ห์ของเธอดีจริงๆ แต่โจวเจ๋อมักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง

“ครั้งหน้าใส่ถุงน่องนะ ผมชอบมองผู้หญิงสวมถุงน่องน่ะ” โจวเจ๋อพูด

หมอหลินชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าสวยแดงก่ำ

หลังจากเดาว่าสวีเล่ออาจจะตายไปแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองควรจะเศร้าสักหน่อย ในฐานะภรรยา ควรจะเศร้าโศกเสียหน่อย แทนที่จะถูกโจวเจ๋อพูดจาแทะโลมอยู่ในรถแบบนี้

แต่ความรู้สึกน่าละอายแบบนั้น กลับทำให้เธอไม่สามารถต้านทานได้

บางทีเธออาจเป็นผู้หญิงเลวคนหนึ่งจริงๆ ก็ได้

เป็นผู้หญิงเลว จิตใจออกนอกลู่นอกทางคนหนึ่ง

หมอหลินหลับตาลงและยอมรับชะตากรรมอยู่ภายในใจ

“ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นะ” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน

“อ้อ…ค่ะ” หมอหลินตอบ ใบหน้าแดงขึ้นกว่าเดิม

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของโจวเจ๋อ และเขารู้ดีว่าเหตุผลที่เขาพูดจาไม่เกรงใจขนาดนี้ สาเหตุเป็นเพราะเขาจงใจแก้แค้นสวีเล่อ บางทีเขาอาจไม่ใช่ผู้ชายดีๆ เช่นกัน

โอเค คนหนึ่งคิดว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี อีกคนคิดว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายที่ดี หากอยู่ในสมัยโบราณ พวกเขาแทบจะเป็นสำเนาของพานจินเหลียน[2]และเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีเหมินก็ว่าได้

ส่วนอู่ต้าหลางคนกลางนั้น ใครสนกันล่ะ

“คุณหิวหรือยังคะ” หมอหลินถาม

“ไม่หิว” โจวเจ๋อตอบ

จากนั้นก็เงียบขึ้นมาอีกครั้ง

ในตอนนี้โจวเจ๋อรู้สึกจริงๆ ว่าที่เขาเป็นโสดมาทั้งชีวิตในชาติที่แล้ว อาจไม่ใช่เพียงเพราะเขาหมกมุ่นอยู่กับงานและไม่มีเวลาดูแลเรื่องอื่น มันอาจเป็นเพราะอีคิวของเขาต่ำมากนั่นเอง

คุณบอกว่าคุณจะเงียบเวลาคุยกับผู้หญิงแปลกหน้า นี่เป็นเรื่องปกติ แต่เวลาคุยกับภรรยาถูกต้องตามกฎหมายแล้วยังเงียบใส่อีก ตัวเองจะต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ

“เราอยู่กันอย่างนี้เถอะ เรื่องของผม อย่าเอาไปบอกใคร ทำเหมือนกับว่าผมคือ…สวีเล่อก็แล้วกัน” โจวเจ๋อกัดฟันพูดสองคำนั้นออกมา

“ค่ะ” หมอหลินพยักหน้า นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอคิดเช่นกัน

ทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม

“แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากเตือนคุณสักหน่อย”

“คุณพูดมาได้เลยค่ะ”

“…คุณต้องเรียกผมว่าโจวเจ๋อเท่านั้น” โจวเจ๋อใช้นิ้วก้อยแคะหู “ผมไม่อยากได้ยินคุณจู่ๆ ก็เรียกสวีเล่อสองคำนั้นออกมา ตอนที่ไม่มีใคร คุณเรียกได้แต่ชื่อของผมเท่านั้น”

จู่ๆ ใจของหมอหลินก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

แม้ว่าเธอจะเป็นภรรยาเขามานานแล้ว แต่ก็ยังถือพรหมจรรย์อยู่

ประเด็นที่คุยและการบอกเป็นนัยแบบนี้ ช่างน่าละอายจริงๆ!

แต่เธอก็ยังจับพลัดจับพลูพยักหน้าตอบรับเบาๆ

“ค่ะ”

โจวเจ๋อรู้สึกจริงๆ ว่าหมอหลินคนนี้มีกลุ่มอาการสต็อกโฮล์มซินโดรมอยู่นิดหน่อย

ถ้าสวีเล่อในตอนแรกไม่ขี้ขลาดแบบนั้นละก็ อาจจะได้ดั่งใจปรารถนาไปและจะไม่ดูถูกตัวเองด้วย

แต่ลองเปลี่ยนความคิดดูแล้ว หากสวีเล่อ…ไม่เกลียดตัวเขาก็จะไม่จ้างวานฆ่าตัวเขาใช่หรือเปล่า

ถ้าอย่างนั้นสรุปว่าการได้ตัวหมอหลินที่สมบูรณ์แบบมามันดีหรือไม่

หรือจะดีกว่าถ้าตัวเองในชาติที่แล้วได้ใช้ชีวิตต่อไป

อย่างไหนมันถึงจะดีจริงๆ กันนะ

โจวเจ๋อเอื้อมมือไปตบหน้าผากตัวเอง

“คุณเป็นอะไรไปคะ” หมอหลินมองโจวเจ๋ออย่างเป็นกังวล “เป็นเพราะเรื่องนั้นร่างกายของคุณถึง…มีความผิดปกติบางอย่างใช่ไหมคะ”

โอ้ ให้ตายเถอะ

คำเรียกว่า ‘คุณ’ ก็ออกมาแล้ว

อาจารย์โจวตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

หมอหลินคนนี้อาจไม่ใช่แค่กลุ่มอาการสต็อกโฮล์ม ซินโดรมเท่านั้น อาจจะยังมี**ร่วมด้วย

ไม่สิ เดี๋ยวก่อน

เหมือนมีบางอย่างผิดปกติใช่ไหม

ร่างกายมีปัญหางั้นเหรอ

โจวเจ๋อมองไปยังหมอหลินทันที

ร่างกายของผู้ชายจะปล่อยให้มีปัญหาได้อย่างไร

ไม่มีหรอกน่า!

โจวเจ๋อมองที่นั่งในรถ ด้านหน้าแออัดไปนิดหนึ่งนะ

“ลงรถ” โจวเจ๋อพูดขึ้น

“อืม”

แม้ว่าหมอหลินไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่ก็ลงรถไปแต่โดยดี

โจวเจ๋อเปิดประตูด้านหลังรถ ชี้เข้าไปข้างในแล้วพูดว่า “เข้าไปสิ”

หมอหลินเข้าไปด้วยสีหน้างุนงงยากจะเข้าใจ

เวลานี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว อีกทั้งยังอยู่นอกพื้นที่บริเวณร้านหนังสือของตัวเองที่แทบจะไม่มีคนย่างกรายเข้ามาอีกต่างหาก

“ไม่ใช่ว่าท้องไส้ของคุณไม่ดีหรอกเหรอคะ” หมอหลินที่นั่งอยู่เบาะหลังถามด้วยสีหน้างุนงง

โจวเจ๋อตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง

ที่เธอบอกว่าร่างกายมีปัญหานี่หมายถึงว่าตัวเขาเองกินข้าวไม่ได้สินะ

ฟู่ว…

สูดหายใจเข้าลึกๆ บรรเทาความเครียดในจิตใจลง…

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” หมอหลินยังคงมีสีหน้างุนงง

จากนั้นโจวเจ๋อก็เข้าไปนั่งเบาะหลังแล้วปิดประตูลง

………………………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด