ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 94 อะไรนะ?

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 94 อะไรนะ? อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 94 อะไรนะ?

ภายนอกบ้าน โจวเจ๋อสูบบุหรี่อยู่ และมีถังซือยืนเคี้ยวทอฟฟี่อยู่ข้างๆ

ภายในบ้าน ซากศพร่วงย้อยลงมาตามตัวผนัง สีหน้าผวาสั่นประสาทหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาชัดเจนยิ่งกว่าอะไร ราวกับว่าการฆาตกรรมอำพรางศพเพิ่งเกิดขึ้นไปเอง

ต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

สวีเล่อเสียชีวิตแล้ว

คนที่ฆ่าสวีเล่อเสียชีวิตแล้ว

คนขับที่เกี่ยวข้องเสียชีวิตแล้ว

ลูกพี่ลูกน้องเสียชีวิตแล้ว

ทุกจุดบนเส้นทางนี้ล้วนเสียชีวิตทั้งหมด

แม้แต่โจวเจ๋อเอง ตามจริงก็เสียชีวิตไปแล้ว

เหมือนกับที่ถังซือได้พูดเอาไว้ บางครั้งไม่ใช่แค่คุณจงใจเลี่ยงปัญหา แล้วปัญหาจะจบหรอกนะ

กระเป๋าใบหนึ่งที่ถูกเปิดมานานแล้ว ไม่ว่าคุณจะเต็มใจหรือจะมีความสุขหรือไม่ก็ตาม จริงๆ แล้วคุณยังอยู่ในกระเป๋าใบนี้อยู่ดี

“ทุกคนตายหมดแล้ว เบาะแสก็ขาดหายไปแล้วสินะ”

ถังซือมองโจวเจ๋อพลางอมยิ้มที่มุมปาก ดูเหมือนเธอจะชอบเห็นอารมณ์และสภาพแบบนี้ของโจวเจ๋อ

ในฝูงหมาป่าที่แต่ละตัวมีสีหน้าเคียดแค้นฝังลึกมืดมนตลอดทั้งวัน แต่ดันมีสุนัขฮัสกี้ตัวหนึ่งปรากฏขึ้น และคิดเพียงแค่ต้องการนอนน่ารักๆ อยู่ตรงนั้น

เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดจริงๆ

ทำไมในขณะที่พวกเราแต่ละคนต้องมานั่งคิดให้ปวดหัว มีแต่คุณที่บริสุทธ์ไร้เดียงสาอยู่คนเดียวล่ะ

ไม่ต้องกังวลว่ามากหรือน้อยแต่ควรกังวลว่าแบ่งให้เท่ากันรึเปล่า นี่ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นด้านการจัดสรรเงินทองในปัจจุบันเท่านั้น

“ดูจากตอนนี้แล้ว ก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

โจวเจ๋อยื่นมือขึ้นไปนวดขมับตัวเอง

“และยังมีอีกเรื่องที่ผมต้องกังวล นั่นก็คือตำรวจจะสืบสาวมาถึงตัวผมหรือไม่”

ผู้ที่จ่ายเงินจ้างวานก็คือสวีเล่อ

คนขับเสียชีวิตแล้ว ลูกพี่ลูกน้องคนกลางที่ติดต่อก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน

นี่คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้โจวเจ๋ออดทนไม่ยอมแก้แค้น เขาไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวเอง เพราะมันจะทำลายชีวิตปัจจุบันของเขา

สังคมสมัยปัจจุบันกับสมัยโบราณมีความต่างกันค่อนข้างมาก ถึงแม้ในสมัยโบราณจะมีระบบทะเบียนบ้านเหมือนกันก็ตาม แต่หากคนที่ไม่มีตัวตนอยากจะหลบซ่อนตัวอยู่อย่างสันโดษต่อไปจริงๆ ความจริงก็ไม่ยาก

ทว่าในสังคมสมัยปัจจุบัน ป้ายข้อมูลประจำตัวบุคคลกลับมีความสำคัญมาก แน่นอนว่าโจวเจ๋อสามารถซ่อนได้หากต้องการ แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายสำหรับสิ่งนี้คือคุณภาพชีวิตตกต่ำ และบางครั้งก็ต้องคอยหลบซ่อนตัวไปทุกหนทุกแห่ง

ตอนนี้โจวเจ๋อไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่หลังจากพวกเขาถูกฆ่าไปแล้วโจวเจ๋อต้องแบกรับความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายไปโดยปริยาย

ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแก้แค้นอย่างสาสม แล้วยังต้องรับโทษแทน โมโหจริงๆ!

โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์โทรไปที่โรงพัก

“ฮัลโหล ผมต้องการแจ้งเหตุครับ”

ถังซือไม่ได้ตามโจวเจ๋อไปที่โรงพัก แต่กลับไปที่ร้านหนังสือก่อน สวมเสื้อกันฝนและเหยียบพื้นถนนที่เต็มไปด้วยโคลนในวันที่ฝนตกเพื่อไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมอำพรางเป็นเพื่อนโจวเจ๋อ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอสามารถทำได้แล้ว เธอไม่สามารถตามโจวเจ๋อไปเผชิญหน้ากับการลงบันทึกและการสอบสวนที่ซับซ้อนในโรงพักได้อีก

ส่วนโจวเจ๋อนั้น เขาทำอะไรไม่ได้ เขาต้องทำแบบนี้เพราะเขาเพิ่งจะโทรไปสอบถามที่อยู่อาศัยของผู้ตายกับโรงพัก ถ้าหากว่าไม่แจ้งตำรวจตอนนี้ หลังจากศพถูกพบแล้วความน่าสงสัยของตัวเองก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

ถึงกระนั้นการกำจัดศพอย่างลับๆ นั้น โจวเจ๋อไม่ยอมทำแน่นอน เมื่อยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้กันแน่ โจวเจ๋อไม่อยากถือดีอวดเก่งช่วยตามล้างตามเช็ดให้คนอื่นหรอกนะ

ถ้าไม่ระวังละก็อาจจะกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองก็ได้

การตรวจสอบและสอบปากคำดำเนินไปจนถึงเวลาสองทุ่ม หลังจากเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาปฏิบัติเหมือนโจวเจ๋อเป็นฆาตกร

อย่าคิดว่าฆาตกรจะไม่โทรแจ้งตำรวจก่อนเด็ดขาด

ในความเป็นจริงนั้น จากสถิติข้อมูลของตำรวจ ฆาตกรในคดีฆาตกรรมมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะกลับไปยังที่เกิดเหตุและเสแสร้งเป็น ‘ชาวบ้านรอเผือก’ นั่นเอง

ความคิดของฆาตกรส่วนใหญ่คือการปลอมตัวไปตรวจสอบข้อมูล และมีส่วนน้อยที่มีความคิดวิปริตว่า ‘ฉันเป็นคนฆ่าที่แท้จริงเอง ฉันต้องชื่นชมงานศิลปะของฉันหน่อยสิ’

หากไม่พบผู้เสียชีวิตเป็นเวลานาน สำหรับฆาตกรแล้วนับว่าเป็นของดีที่ไม่มีใครรู้ค่าอย่างไม่ต้องสงสัย รอยยิ้มของโมนาลิซ่าถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ ทำให้คนรู้สึกขัดใจ ดังนั้นตัวเองถึงได้โทรแจ้งตำรวจเพื่อง่ายต่อการให้ผ้าคลุมศีรษะชั้นนี้ถูกเปิดออก

ตอนท้ายที่สุด นักสืบเฒ่าผมหงอกครึ่งหัวนั่งอยู่หน้าโจวเจ๋อ พลางปิดสมุดบันทึกและพูดกับโจวเจ๋อ

“คุณสวี คุณไปได้แล้ว แต่ขอห้ามคุณเดินทางออกจากทงเฉิงในเดือนนี้ชั่วคราว เราอาจจะเรียกหาคุณเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม”

“ครับ”

โจวเจ๋อลุกขึ้น ออกจากห้องสอบสวน และเดินไปที่หน้าประตูโรงพัก

เมื่อหันหลังกลับไปมองตำรวจที่เข้าๆ ออกๆ ข้างหลังและรวมไปถึงรถตำรวจที่จอดเรียงแถวข้างใน รู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก

บางที อีกไม่นานความจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จัดฉากขึ้นอาจจะแดงขึ้นมา ถึงเวลานั้นสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญอาจเป็นคลื่นพายุที่แท้จริงก็ได้

ผู้เสียหายตัวจริงคือตัวเอง แต่ฆาตกรตัวจริงก็คือตัวเขาเองเช่นกัน

โจวเจ๋อเตรียมจะกลับร้านหนังสือ เขาเหนื่อยเล็กน้อยและต้องการพักผ่อนเสียก่อน แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในเวลานี้ มันเป็นสายของน้องภรรยา

“ฮัลโหล สวีเล่อ ลุงของคุณมาที่นี่อีกแล้ว นั่งอยู่ตรงทางเข้าน่ะ ฉันบอกให้เขาเข้ามานั่งแล้วแต่เขาไม่ยอม บอกแค่ว่าเขาจะรอคุณกลับมา”

ลุงงั้นเหรอ

“บอกไปว่าผมไม่กลับไปแล้ว และอย่าบอกที่อยู่ร้านใหม่ของผมกับเขาล่ะ” โจวเจ๋อไม่อยากสนใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องในเวลานี้

‘ปังๆ!’

มีเสียงทุบประตูดังลอดจากปลายสายโทรศัพท์

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อยและถาม “มีอะไร”

“เอ่อ ลุงของคุณกำลังทุบประตูอยู่ เขาบอกว่าถ้าวันนี้คุณไม่กลับมา จะเอาคุณเข้าคุก”

เมื่อได้ยินดังนั้น

โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้น กัดฟันและพูดว่า “บอกเขาไปว่าผมจะรีบกลับ”

ไม่มีใครอยากมีชีวิตเหมือนคนที่ถูกรังแกบ่อยๆ ไม่มีใครอยากให้ชีวิตตัวเองโดนถ่วงความเจริญก้าวหน้า ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากอยู่อย่างสบายๆ แต่ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้แหละ

ตอนที่คุณอายุได้ไม่กี่เดือน คุณสามารถฉี่ได้ทุกที่ ฉี่รดที่นอนได้ตามต้องการ แถมพวกผู้อาวุโสและพวกญาติๆ ของคุณยังทักทายด้วยรอยยิ้มอีกด้วย

แต่เมื่อคุณอยู่ในวัยสิบหรือยี่สิบกว่าปีแล้ว อยากจะฉี่มั่วๆ ตามแต่ใจอีกครั้ง นั่นไม่สามารถทำได้แล้ว

เป็นการยากที่คุณจะจินตนาการถึงภาพผู้อาวุโสวัยสี่สิบห้าปีและวัยรุ่นอายุยี่สิบกว่าปีได้

‘คุณฉี่อีกแล้วนะ ซนจังเลย’

ภาพฉากนี้ ช่างไม่น่ามองเสียจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ เมื่อโจวเจ๋อปรากฏตัวด้านหน้าสวีต้าชวนในตอนนี้

สีหน้าสวีต้าชวนดูมืดมน และโจวเจ๋วเองก็มีสีหน้ามืดมนเช่นเดียวกัน

ทุกคนต่างไม่มีความสุข

ทุกคนต่างไม่มีความปีติยินดี

แต่ทุกคนจำเป็นต้องพบเจอกัน

สวีต้าชวนไม่ได้ทำร้ายคนในบ้าน เมื่อโจวเจ๋อมาถึง เขากำลังนั่งยองๆ สูบบุหรี่อยู่ เมื่อเห็นโจวเจ๋อเข้ามา เขาลุกขึ้นยืนและปัดกางเกง

“ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนลุงหน่อย”

ครั้งนี้สวีต้าชวนไม่ได้นำของฝากขึ้นชื่อมาให้ แต่มามือเปล่า

โจวเจ๋อเดินออกไปข้างนอกกับสวีต้าชวน เขาไม่ได้เข้าไปทักทายน้องภรรยากับหมอหลินที่ประตูบ้าน

ทั้งสองเดินออกไปนอกชุมชน ฟ้ามืดสนิทแล้ว ภายใต้แสงไฟถนน มีผู้คนเบาบาง

สวีต้าชวนเดินมาสักพักแล้วก็นั่งยองๆ ลงอีกครั้ง สูบยาเส้นดัง ‘กรอบแกรบ’

โจวเจ๋อยืนอยู่ข้างเขานิ่งๆ

“เผาเสี่ยวฉวนจื่อไปแล้วนะ” สวีต้าชวนพูด

เสี่ยวฉวนจื่อน่าจะเป็นชื่อเล่นของลูกพี่ลูกน้อง

“อืม” โจวเจ๋อตอบ “ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ทงเฉิง”

“ไม่เป็นไร”

สวีต้าชวนเคาะก้านยาเส้นแล้วเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยและดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน นี่คือชายชราผู้ซื่อสัตย์ที่ทำงานหนักเพื่อที่บ้าน สวีเล่อนักศึกษามหาวิทยาลัยคนนี้ จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนส่งเสียให้

“อาเล่อ นายไม่ได้มางานศพของเสี่ยวฉวนจื่อในวันนั้น มันดูไม่เหมาะสมจริงๆ”

สวีต้าชวนนั่งยองๆ น้ำตาซึมที่หางตาอยู่ตรงนั้น และใช้มือที่แห้งแตกเช็ดน้ำตาออกจากหางตา

“ผมบอกว่าแล้วตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่ทงเฉิง”

สวีต้าชวนลุกพรวด คว้าคอเสื้อโจวเจ๋อด้วยมือข้างเดียวและผลักโจวเจ๋อออกไปชนกับเสาไฟ

“อาเล่อ บอกความจริงลุงมาเถอะ นายเป็นคนฆ่าเสี่ยวฉวนจื่อใช่ไหม!”

โจวเจ๋อหรี่ตาลงเล็กน้อย สิ่งที่สวีต้าชวนเพิ่งจะถามไปนั้นมีข้อมูลพรั่งพรูอยู่ภายในหัวมากมาย

ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อมีความประทับใจที่ดีต่อสวีต้าชวนบ้างเล็กน้อย

เรื่องถูกๆ ผิดๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา อีกทั้งสวีต้าชวนยังถือว่าเป็นคนแปลกหน้าคนแรกที่ห่วงใยตัวเขาอย่างแท้จริงนับตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

เขาสามารถอดทนต่อสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามของตระกูลหลินตอนนำของฝากมาเยี่ยมตัวเองได้

แม้จะอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลก็ยังคงยิ้มตาหยีอย่างพออกพอใจให้หมอหลินหลานสะใภ้คนนี้

แล้วยังบอกว่าถ้าหากเป็นลูกเขยจำเป็นไม่ไหวแล้ว จะไปยากอะไรก็แค่กลับไปทำไร่ทำนากับเขา

ในมุมมองของโจวเจ๋อ เดิมทีเขาที่ควรจะเป็นคนเรียบง่าย ใจดี และสะอาดบริสุทธิ์

แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าภาพความสะอาดบริสุทธิ์นี้ไม่ได้บริสุทธิ์อย่างที่คิด

“ไม่ใช่ผม”

โจวเจ๋อยื่นมือออกไปและคว้าข้อมือของสวีต้าชวน

“อย่าคิดว่าลุงไม่รู้เรื่องระหว่างเสี่ยวฉวนจื่อกับนายนะ และลุงก็รู้ด้วยว่าระยะนี้เสี่ยวฉวนจื่อมาขอเงินนายที่นี่บ่อยๆ เขาไม่รู้ความ เขาไม่เอางานเอาการ ถึงเขาจะทำผิดซ้ำๆ ซากๆ อย่างไรก็เป็นน้องชายนายนะ!”

ดวงตาของสวีต้าชวนเริ่มแดงก่ำ ท่าทีบ้าคลั่ง

“ผมไม่รู้ว่าลุงหมายถึงอะไร”

จู่ๆ โจวเจ๋อก็รู้สึกเกลียดผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้

ชายผู้เคยซื่อและเงียบขรึมคนนี้

“ไม่รู้ว่าลุงหมายถึงอะไรงั้นเหรอ”

สวีต้าชวนยื่นหน้าเข้าไปใกล้โจวเจ๋อ และพูดคำต่อคำ

“คนขับรถคนนั้นตายแล้วใช่ไหม เขาเป็นคนจากหมู่บ้านข้างๆ ลุง นายคิดว่าอย่างเสี่ยวฉวนจื่อจะรู้จักใคร จะรู้ว่าใครคนไหนปากแข็งอย่างนั้นเหรอ

เขามีผมเพียงไม่กี่เส้นจะมีคุณสมบัติอะไรถึงไปคุยกับคนอื่นเขาได้

ลุงเองที่เป็นคนไปหาและไปคุยกับคนขับรถคนนั้นมา

ลุงอยากให้นายมีชีวิตที่ดี ภรรยาของนายไปรักคนอื่น นายใช้ชีวิตอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ลุงเลยช่วยนายฆ่าชายชู้คนนั้นด้วยกันไง!

ลุงอยากให้ลูกๆ ทุกคนในครอบครัวอยู่อย่างสบาย ไม่ถูกรังแกหรือดูถูก

แต่ว่าอาเล่อ นายจะฆ่าปิดปากเสี่ยวฉวนจื่อไม่ได้นะ

พ่อของนายเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลุงส่งเสียให้นายได้เรียนหนังสือ ลุงมองว่านายเป็นลูกของตัวเองมาโดยตลอด!

นายบอกความจริงจากใจกับลุงมาเถอะ สรุปแล้วนายจงใจสั่งคนให้ขับรถชนเสี่ยวฉวนจื่อตายเหมือนในครั้งนั้นใช่ไหม นายฆ่าปิดปากใช่หรือเปล่า”

โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ

สวีต้าชวนถามผิดคนแล้ว

ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคำถามที่เขาถามนั้นเทียบเท่ากับการสุมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ

ต้องรู้ก่อนว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่สวีเล่อหลานชายของเขา แต่เป็นคนที่ตกเป็นเหยื่อที่แท้จริงในเหตุการณ์นั้น!

‘พลั่ก!’

โจวเจ๋อใช้เท้าถีบออกไป ถีบสวีต้าชวนหงายกลิ้งลงไปบนพื้น

ในชั่วขณะนี้ โจวเจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าต้องการระเบิดอารมณ์ตัวเองออกมา

เขาเสียใจ เสียใจมาก ถ้ารู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างตอนนี้ เขาควรจะมอบตัวกับตำรวจตั้งแต่ตอนที่เขาเพิ่งกลับมาเกิดใหม่ไปแล้ว

ลูกพี่ลูกน้องของสวีเล่อ

สวีต้าชวน

คนขับรถคนนั้น

ให้ทุกคนยอมรับบทลงโทษตามกฎหมาย ถึงแม้ว่าเขาจะเกี่ยวข้องในฐานะตัวตนของสวีเล่อก็ไม่เป็นไร

การได้กำไรจากชีวิตในชาติที่สองได้ล้างแค้นให้กับชีวิตในชาติแรกของตัวเอง ดูเหมือนจะเป็นการแก้แค้นที่สบายใจที่สุดแล้ว

อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้มากนัก

เพียงแต่ตอนนี้ ลูกพี่ลูกน้องและคนขับรถต่างก็ตายไปแล้ว คนที่ฆ่าสวีเล่อคนนั้นก็ตายไปแล้ว พวกเขาตายไปอย่างง่ายดาย และทำให้การแก้แค้นของโจวเจ๋อไม่อาจกระทำได้

คุณมีพละกำลัง คุณมีแรง แต่เมื่อต่อยบนปุยฝ้าย มักจะรู้สึกท้อแท้เสมอ

สวีต้าชวนที่ถูกถีบจนล้มคว่ำไป พลิกตัวลุกขึ้นทันที และตะโกนใส่โจวเจ๋อเสียงดัง

“อาเล่อ แกมันโมโหไม่ไว้หน้าใคร ฉันจะไปแจ้งความที่โรงพัก แกมันเป็นฆาตกร ฆาตกร! ฉันจะฝังแกไว้กับเสี่ยวฉวนจื่อ ฝังไปพร้อมกัน!!!”

โจวเจ๋อมองสวีต้าชวน

มองดูชายชราคนนี้ที่แม้แต่ตอนนี้ยังคงมีใบหน้าที่ดูเหมือนผ่านชีวิตมาอย่างยากลำบากและไร้เล่ห์เหลี่ยม

มือซ้ายข้างหลัง ค่อยๆ งอกเล็บสีดำยาวออกมา

โจวเจ๋อยกยิ้มมุมปาก

ราวกับว่าจะชอบคำนี้

“ฝังไปพร้อมกันงั้นเหรอ”

………………………………………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด