ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 72 คนตายรายที่สอง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 72 คนตายรายที่สอง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 72 คนตายรายที่สอง

“โอเค บันทึกคำให้การเรียบร้อยแล้ว คุณกลับไปได้แล้วครับ”

ตำรวจวัยหนุ่มคนหนึ่งปิดสมุดบันทึกคำให้การ แล้วยิ้มให้โจวเจ๋อเล็กน้อย

โจวเจ๋อพยักหน้า ลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป

ทันใดนั้น ตำรวจวัยกลางคนที่นั่งจดบันทึกคำให้การอยู่ข้างๆ ตำรวจหนุ่มจู่ๆ เอ่ยถามว่า

“คุณสวีครับ ร้านหนังสือของคุณเปิดอยู่ที่นั่น กิจการดีไหมครับ”

“ไม่ค่อยดีครับ” โจวเจ๋อตอบตามความจริง

คำถามนี้มีหลายคนเคยถามแล้ว พวกเขาถามคือกิจการของคนเป็น ดังนั้นโจวเจ๋อจึงตอบด้วยธุรกิจของคนเป็น

“แล้วทำไมคุณยังเปิดร้านอยู่ที่นั่นต่อครับ” ตำรวจวัยกลางคนถาม

“ผมแต่งเป็นลูกเขย บ้านพ่อตามีเงิน ไม่ขาดเหลืออะไร เลยมาเปิดฆ่าเวลา”

ตำรวจวัยกลางคนตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้า ยกมือแล้วเอ่ยว่า “คุณกลับไปได้แล้วครับ ถ้าหากมีเรื่องต้องการสอบถามเพิ่มเติม พวกเราจะแจ้งไปนะครับ”

“ยินดีครับ”

โจวเจ๋อเดินออกจากห้องสอบสวน

ตำรวจหนุ่มหมุนสมุดบันทึกคำให้การในมือแล้วเอ่ยว่า “หัวหน้าซุน ไอ้หมอนี่น่าสนใจดีนะครับ”

ใช่แล้ว กล้าพูดว่าตัวเองจับคนรวย เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกินออกมาโดยตรงแบบนี้ ต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมาก

“ไปดูคำให้การที่อื่นเถอะ” ตำรวจวัยกลางคนลุกขึ้น เหลือบมองเงาหลังที่เดินออกไปของโจวเจ๋อ เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลา ว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าตัวเองก่อนหน้านี้ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงหนามแหลมทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง

ตอนที่สอบปากคำ ตำรวจมักจะเป็นงูเห่าโดยสัญชาตญาณ และผู้ที่ถูกสอบปากคำตรงหน้าก็คือเหยื่อ งูพิษจะโจมตีแนวรับของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและแม่นยำเพื่อให้ได้ความจริงที่คาดหวัง

แต่เมื่อครู่ เขารู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตา ตัวเองที่เป็นงูเห่า ในสายตาของอีกฝ่าย กลับเหมือนของประดับที่เต้นระบำไปตามเสียงขลุ่ยของพ่อค้าที่เร่แสดงศิลปะกายกรรม

ทุกคนดูเหมือนไม่สนใจสิ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

“ออกมาแล้วเหรอ” สวี่ชิงหล่างที่เพิ่งให้การเสร็จก็เดินออกมาเช่นกัน “ซวยจริงๆ ดึกป่านนี้ยังต้องวิ่งมาให้การที่สถานีตำรวจ แล้วก็ ตำรวจหนุ่มคนนั้นน่ารำคาญมาก ถามเพศของผมอยู่สามรอบ สมองของเขามีปัญหาหรือเปล่า เพศของผมเขาก็มองไม่ออกเหรอ”

โจวเจ๋อเหลือบตามองสวี่ชิงหล่างหนึ่งที พลางคิดในใจว่า นายหน้าตาเป็นยังไงตัวนายเองยังไม่รู้อีกเหรอ

โจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่างต่างเป็นเจ้าของร้าน บวกกับเห็นเหตุการณ์ตอนที่ตกลงมาจากตึกด้วยตาตัวเอง ดังนั้นจำเป็นต้องมาให้ปากคำ แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีเรื่องอะไร และสมาชิกของสมาคมคนรักเรื่องเล่าสยองขวัญนั่นก็ถูกตำรวจมองเป็นเป้าหมายผู้ต้องสงสัยหลัก และนี่ก็คือความหมายที่รวมอยู่ในปัญหานี้

“อ้อใช่ คุณคิดว่าฆาตกรเป็นใครกันแน่” สวี่ชิงหล่างสูบบุหรี่ขณะถาม

เวลานี้พระอาทิตย์ใกล้จะออกมาแล้ว เพราะเป็นเวลาเช้าแล้ว

“นี่ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเราต้องใส่ใจ ทางตำรวจจะเป็นคนสืบสวนและเคลียร์คดี” โจวเจ๋อพูดอย่างเงียบสงบมาก

“นี่ อย่ามองแง่ลบขนาดนั้นได้ไหม หรือว่าตอนเด็กๆ คุณไม่เคยดูเชอร์ล็อก โฮลมส์หรือว่าโคนันยอดนักสืบ”

ในใจของทุกคน ไม่มากก็น้อยล้วนมีความฝันเป็นนักสืบหรือไม่ก็เรื่องราวในการสืบสวนอยู่บ้าง

หมอกควันที่ถูกลอกออกทีละชั้น จนถึงความจริงขั้นสุดท้าย เหมือนกับนักมายากลหลิวเชียนที่อ้าแขนสองข้างแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนแล้วตะโกนว่า “ต่อไปคือเวลาแห่งการพิสูจน์ความมหัศจรรย์”

และจะต้องเป็นจุดที่น่าตื่นเต้นของใครหลายคนแน่นอน

“ฉันไม่สนใจคน”

“หรือว่าอยากก่อกวน” สวี่ชิงหล่างพูดถากถาง

“ใช่ อยากก่อกวน” โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มเรียกรถ ขณะเดียวกันก็พูดว่า “นายจำได้ไหม ตอนที่ผู้หญิงกระโดดตึกตาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร”

“สีขาว”

“หลังจากที่ตกลงมาละ”

“เป็นสีแดงไง” สวี่ชิงหล่างยักไหล่ “ดูเหมือนจะเปื้อนเลือดสดๆ เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ”

“หลังจากตกลงมาแล้วเสื้อผ้าที่เธอใส่ เดิมทีคือกระโปรงสีแดง” โจวเจ๋อพูดเตือน “อย่าเอามุขเลือดสดสีแดงฉานมาทำให้ตัวเองเป็นอัมพาต”

สวี่ชิงหล่างพยักหน้าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ยื่นมือลูบปลายจมูก แล้วเอ่ยว่า “ความหมายของคุณคือ เบื้องหลังเรื่องนี้ มีความลับอะไรอยู่ ไม่ใช่อุบัติเหตุหรือการลอบฆ่าธรรมดาทั่วไป”

“ฉันไม่รู้ แต่ฉันหวังว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้ ผีที่เจอเมื่อก่อนจะทำให้คนป่วยก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ถ้าหากสามารถสร้างอุบัติเหตุทำให้คนตายได้ ถือว่าครั้งนี้ได้ผลผลิตงามมาก”

ผีแบบนี้ มีหนึ่งตนถือว่าเยี่ยมกว่ามีสิบตนอีกใช่ไหมเล่า

ทำผลงานส่งมันไปลงนรก สามารถสู้ได้หนึ่งถึงสิบหรืออาจจะมากกว่านั้น

“คุณคิดซับซ้อนเกินไปหรือเปล่า อ้อใช่ พูดถึงตรงนี้ผมลืมไปเลย ผมไม่ได้บอกตำรวจว่าตอนแรกเป็นเสื้อผ้าสีขาว”สวี่ชิงหล่างปรบมือเอ่ยว่า “ไม่แน่กุญแจสำคัญของการไขคดีนี้อาจจะอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของสีเสื้อผ้าก็เป็นได้ ฆาตกรจะต้องออกแบบอะไรบางอย่างที่สวยงามและประณีตสุดๆ…”

“นายถูกอกาธา คริสตีหรือโคนันเข้าสิงเหรอ” โจวเจ๋อถาม

“เปล่า” สวี่ชิงหล่างมองไปที่โจวเจ๋อด้วยความขุ่นเคือง “พี่โจว ผมพบว่าคุณเริ่มหมดแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนอย่างน้อยคุณก็ยังให้ความร่วมมือกับผม”

“ไม่มีอารมณ์”

“อย่างนั้นตอนนี้พวกเรากลับเลยไหม”

“ใช่”

“กลับไปจับผีเหรอ”

“เล่นผีปากกา”

“คุณทำไมไร้สาระขนาดนี้”

“เคยได้ยิน…วิธีล่อให้กระทำผิดไหม”

ที่ร้านหนังสือไม่ได้ถูกกั้น แต่รอบนอกของร้านหนังสือกลับมีสายกั้นเตือนอยู่มากมาย มีตำรวจอยู่ไม่น้อยคอยเวียนค้นหาเบาะแสอยู่บริเวณรอบๆ

แบบนี้ร้านหนังสือที่ไม่ค่อยมีคนเป็นเข้ามาอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบเป็นเป่าสาก

โจวเจ๋อสั่งให้ไป๋อิงอิงซื้ออุปกรณ์ผีปากกามาหนึ่งชุด โดยค้นหาผู้ขายจากร้านเถาเป่าในทงเฉิง จากนั้นก็ให้ไป๋อิงอิงนั่งรถไปรับสินค้าโดยตรง แล้วกางกระดาษออก จากนั้นของเล่นที่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ไหม จึงถูกวางอยู่ข้างๆ

สวี่ชิงหล่างนั่งยองๆ อยู่ถัดไป มองโจวเจ๋อที่กำลังง่วนอยู่ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “จริงๆ แล้วผมมีวิธีเรียกวิญญาณอยู่สองสามวิธี รู้สึกว่าน่าจะได้ผลกว่าเกมนี้อยู่บ้าง”

โจวเจ๋อส่ายหน้า เอ่ยว่า “ไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันตรงไหน”

“เมื่อคืน ฉันสัมผัสไม่ได้ว่ามีสิ่งของเข้ามา” โจวเจ๋อมองสวี่ชิงหล้าง “นายสัมผัสได้เหรอ”

“เมื่อวานมีของเข้ามาเหรอ”

ในหัวของสวี่ชิงหล่างนึกย้อนภาพที่คนกลุ่มนั้นเล่นผีปากกาแล้วเลื่อนปากกามาที่โจวเจ๋อ

“นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า คนลูกครึ่งจีนญี่ปุ่นคนนั้นพูดแล้วไม่ใช่เหรอ กิจกรรมของพวกเขาเมื่อคืนเตรียมไว้เพื่อการสารภาพรัก ดังนั้นน่าจะมีคนจงใจออกแรง แล้วชี้มาที่ตำแหน่งของคุณ ซึ่งก็คือตึกใหญ่หลังนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ชี้คุณ”

“วิเคราะห์ได้ดีมาก” โจวเจ๋อยื่นมือกางกระดาษไปบนพื้น จากนั้นใช้เล็บของตัวเองแตะกระเบื้อง แล้วเอ่ยว่า“นี่ก็จงใจเหรอ”

สวี่ชิงหล่างเบิกตาโต

บนพื้นกระเบื้อง มีรอบบุบไม่ถึงครึ่งเมตร ถ้าหากยืนก็จะมองไม่เห็นเลย

โจวเจ๋อหยิบปากกาออกมาด้ามหนึ่ง ใช้ปลายปากกาวางลงบนส่วนที่บุบลงไป แล้วหมุนไปทิศทางนั้น ตัวเองและสวี่ชิงหล่างก็หมุนตัวตามทิศนั้นอย่างช้าๆ

จากนั้นตำแหน่งที่ปลายปากกาชี้ ก็คือไป๋อิงอิงที่นั่งเล่นเกมอยู่ด้านหนังเคาน์เตอร์ และเมื่อคืนโจวเจ๋อก็นั่งอยู่ตรงนั้น

โจวเจ๋อทิ้งปากกาแล้วมองสวี่ชิงหล่าง

ทำร่องบุบบนกระเบื้อง ความยากระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดา

สวี่ชิงหล่างแทบไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ใช่มั้ง หรือว่าเมื่อคืนมีสิ่งของบางอย่างถูกเรียกเข้ามาจริงๆ แล้วทำไมผมกับคุณถึงมองไม่เห็น”

“คราวที่แล้วตอนที่ผู้กำกับจ้าวเข้ามา พวกเรามองออกไหมว่าเขาตายแล้ว คราวที่แล้วผีผู้หญิงไร้หน้าปลอมตัวเข้ามาพวกเรามองตัวตนที่แท้จริงของเธอออกหรือเปล่า”

“เอ่อ…” สวี่ชิงหล่าง

โจวเจ๋อกางกระดาษอย่างเงียบๆ จากนั้นหยิบปากกาขึ้นมา “นายคิดว่า ด้วยฐานะของฉัน จะเชิญผีปากกาออกมาได้หรือเปล่า”

โจวเจ๋อในความหมายที่เข้มงวดแล้วก็คือยมทูต เขากับคนในสมาคมคนชอบเรื่องเล่าสยองขวัญไม่เหมือนกัน

“ผมไม่รู้ แต่ที่ผมอยากรู้ก็คือ เมื่อคืนตอนที่คุณนั่งดูเกมอยู่ตรงนั้น สัมผัสถึงความผิดปกได้ไหม” สวี่ชิงหล่างชี้ไปที่โจวเจ๋อแล้วถาม

โจวเจ๋อพยักหน้า

“ถึงแม้จะไม่มีความเคลื่อนไหวที่พิเศษมาก แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใดที่ไม่ควรมองเห็น แต่ตอนที่พวกเขาหยิบปากกาชี้มาที่ฉัน ในใจของฉันสัมผัสได้ถึงความน่ากลัว เหมือนมีอะไรกำลังจ้องมองอยู่”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกพวกเขาก่อน!”

สวี่ชิงหล่างจับคอเสื้อของโจวเจ๋อโดยตรง

“คุณรู้สึกถึงความผิดปกติ และสามารถทำให้คุณรู้สึกกลัว! ตอนที่พวกเขาบอกว่าจะเข้าไปเล่นเกมผจญภัยบ้าๆ ที่ตึกใหญ่ข้างหลังหรือไม่ก็เล่นเกมสารภาพรัก ทำไมคุณไม่ห้ามและเตือนพวกเขา!”

โจวเจ๋อยื่นมือออกไป เขาไม่ได้ผลักมือของสวี่ชิงหล่างที่จับมือของตัวเอง แต่เช็ดหน้าตัวเองที่โดนน้ำลายของสวี่ชิงหล่างตอนที่ตะโกนเข้ามา จากนั้นเขาก็มองสวี่ชิงหล่าง

“เกี่ยวอะไรกับฉัน”

ใช่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน

เมื่อปล่อยโจวเจ๋อแล้ว สวี่ชิงหล่างจึงถอยไปสองก้าว ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ดูแปลกไป

“พวกเขามาใช้จ่ายในร้านของฉัน ตามข้อบังคับของสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ฉันมีหน้าที่รับประกันความปลอดภัยของพวกเขาตอนที่อ่านหนังสือหรือมีปาร์ตี้น้ำชาในร้านของฉัน แต่ในเมื่อพวกเขาออกจากร้านของฉันไปแล้ว เรื่องต่อจากนี้ มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

“เมื่อก่อนคุณไม่ได้เป็นแบบนี้” สวี่ชิงหล่างพูดพึมพำ

“ตอนนี้ที่ต้องทำ ไม่ใช่เวลาทอดถอนใจกับเรื่องในอดีต และไม่ใช่เวลาคร่ำครวญในสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่ต้องหาสิ่งของที่หลบซ่อนอยู่ให้เจอ จากนั้นก็ส่งมันไปลงนรก”

“คุณกระตือรือร้นกับสิ่งนี้หรือ”

“นี่คือผลงาน เมื่อก่อนนายชอบเยาะเย้ยฉัน ที่ชีวิตไม่มีเป้าหมายไม่ใช่เหรอ”

“คุณ…” สวี่ชิงหล่างเลียริมฝีปาก “โอเค คุณค่อยๆ สืบ ผมไม่อยู่ด้วยแล้ว”

สวี่ชิงหล่างโบกมือ แล้วเดินออกจากร้านหนังสือด้วยความเดือดดาล

ไป๋อิงอิงเวลานี้ยกน้ำชาเดินออกมา แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า

“เถ้าแก่ ท่านกับคุณสวี่คนงามทะเลาะกันเหรอเจ้าคะ”

โจวเจ๋อไม่ตอบแต่นั่งยองๆ อย่างเงียบๆ แล้วมองรอยบุบเส้นนั้นกับภาพวาดผีปากกาที่อยู่ตรงหน้าต่อ

“เถ้าแก่ ถ้างั้นข้าไปเล่นเกมก่อนนะเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงวางถ้วยน้ำชาข้างๆ โจวเจ๋อ แล้วแลบลิ้นออกมา จากนั้นก็วิ่งไปร้านข้างๆ

นางไม่ได้สังเกตโจวเจ๋อที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้น มองภาพวาดผีปากกา ที่หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาไม่หยุดขณะเดียวกันก็จิกหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองอย่างแน่น

บ้าชะมัด จะต้องตามหาไอ้หมอนั่นโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีคนตายอีก บ้าจริง ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้!

ตอนที่ไป๋อิงอิงเดินมาอยู่ที่หน้าร้านบะหมี่ สวี่ชิงหล่างกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา สวี่ชิงหล่างจึงพูดตามตรงว่า “เถ้าแก่ของเธอสองวันมานี้ มีปัญหาอะไรใช่หรือเปล่า”

“ข้ารู้สึกว่าเขากลับมาเป็นปกติแล้ว” ไป๋อิงอิงนั่งลงแล้วเปิดคอมพิวเตอร์

“กลับมาปกติแล้วหรือ” สวี่ชิงหล่างหัวเราะ ‘เหอะๆ’ สองที “เธอไม่ได้เห็น เมื่อวานมีคนตกลงมาตายต่อหน้าพวกเราสองคน ผลปรากฏว่าเขากลับยืนอยู่ตรงนั้นใช้กระดาษทิชชูเช็ดหน้า!”

“คนนั้นตกลงมาตายเลยใช่ไหม ถ้าไม่เช็ดหน้าจะช่วยชีวิตได้หรือเปล่า”

ไป๋อิงอิงเล่นอย่างเกมจริงจังโดยไม่สนใจ “ชาติที่แล้วนายท่านเป็นหมอที่มีประสบการณ์เยอะมาก จะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้มองปราดเดียวก็รู้แล้ว แทนที่จะวิ่งเข้าไปตะโกนปาวๆ ไม่มีประโยชน์ สู้เช็ดหน้าตัวเองให้สะอาดก่อนจะดีกว่า”

“เฮ้ย นี่เธอเข้าข้างเขาใช่ไหม พวกเธอเป็นคนหรือเปล่า”

“พวกเราสองคนไม่ใช่คนจริงๆ”

“แม่งเอ้ย!”

และในเวลานี้ หน้าจอจู่ๆ เกิดกระพริบกะทันหัน จากนั้นหน้าจอก็มืดลง ไฟดับอีกครั้ง

ปั่กๆๆๆๆๆๆ!

ไป๋อิงอิงทุบแป้นคีย์บอร์ดอย่างแรง “ข้าโชคดีจริงๆ!”

เดิมทีสวี่ชิงหล่างนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นรีบวิ่งเข้ามาในร้านทันที

พอเงยหน้า มองท้องฟ้า เวลานี้ ริมหน้าต่างชั้นห้า มีผู้ชายใส่เสื้อผ้าชุดสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

ตำรวจหลายคนที่อยู่รอบๆ พยายามโทรศัพท์และใช้วิทยุสื่อสารตะโกนให้เพื่อนร่วมงานรีบเข้าไปห้ามขณะเดียวกันก็มีตำรวจวัยกลางคนคนหนึ่งตวาดว่า

“ในสถานที่เกิดเหตุปล่อยให้คนขึ้นไปได้ยังไง พวกคุณทำมาหากินอะไรกัน”

“ตุ้บ!”

เสียงหล่นลงพื้นดังตุ้บที่คุ้นเคย

สวี่ชิงหล่างยืนอยู่กับที่ มองผู้ชายคนนั้นที่ตกลงมาจากกลางอากาศด้วยความตื่นตะลึง ทุกอย่างเหมือนกับเมื่อคืนไม่ผิดเพี้ยน

เขาหลับตาเมื่อได้สติ และเวลานี้ตอนนี้ ชีวิตคนเหมือนกับเกี๊ยวก็ไม่ปาน แต่ละคนล้วนไร้ค่า

…………………………………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด