ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 77 ไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว!

อ่านนิยายจีนเรื่อง ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล ตอนที่ 77 ไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว! อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 77 ไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว!

น้ำซุปนี้ ควรดื่มดีไหม

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงวางถ้วยลง พลางมองไปที่หวังเคอ แล้วก็มองภรรยาของหวังเคออีกที

ภรรยาหวังเคอหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลง จากนั้นก็นวดส้นเท้าของตัวเองพลางบ่นว่า

“สามีคะ ส้นเท้าของฉันยังไม่หายดีเลยค่ะ”

“ใครบอกให้คุณไม่ระวังละ กระดูกไม่เป็นไรถือว่าโชคดีแล้ว”

หวังเคอมองส้นเท้าของภรรยาอย่างละเอียด จากนั้นจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“คุณกลับไปพักผ่อนในห้องก่อนเถอะ สองสามวันนี้ออกไปข้างนอกบ่อย เห็นคุณเดินเขย่งเท้าแบบนี้คงลำบากมากจริงๆ และยังใส่ส้นสูงอีกด้วย”

“โอเคค่ะ ฉันก็อยากทำให้ตัวเองดูดี เพื่อให้คุณอยู่บ้านมองแล้วสบายตาบ้างค่ะ”

หญิงสาวทำตาขาวใส่สามีของตัวเองหนึ่งที จากนั้นจึงยิ้มให้โจวเจ๋อเล็กน้อย “พวกคุณพูดคุยกันต่อเลย ฉันขอขึ้นไปข้างบนก่อน”

หลังจากรอให้หญิงสาวเดินออกไปแล้ว หวังเคอจึงชี้ไปที่ชามซุปที่โจวเจ๋อวางลงเมื่อครู่ แล้วเอ่ยเตือนว่า

“น้ำซุปจะเย็นแล้ว”

โจวเจ๋อกลับหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน จุดไฟ โดยไม่สนใจว่าอยู่ในบ้านของคนอื่น แล้วสูบบุหรี่อย่างเดียว

ผ่านไปสักพักหนึ่ง โจวเจ๋อถึงถามว่า

“หมายความว่ายังไง”

“เป็นความชอบที่เพิ่งเกิดขึ้นปุบปับ” หวังเคอส่ายหน้า จากนั้นชี้ไปที่น้ำซุปในหม้อพลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้านั้นนายคิดว่าน้ำซุปที่อยู่ในหม้อนี้ จะต้องเป็นเนื้อคนใช่ไหม”

โจวเจ๋อไม่พูด

หวังเคอก็หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน แล้วจุดไฟจากเตาแก๊สพร้อมกับพูดว่า

“นี่ก็คือตัวชี้นำทางจิตวิทยา ในชีวิตประจำวัน ทุกคนจะพบตัวชี้นำทางจิตวิทยาแบบนี้ไม่มากก็น้อย ยกตัวอย่างเช่น นายเพิ่งออกจากบ้าน ทันใดนั้นก็มีป้าข้างๆ คนหนึ่ง พูดกับลูกตัวเองว่า หลังจากคนออกจากบ้านแล้ว อย่าลืมล็อกประตูให้ดี ไม่อย่างนั้นจะถูกขโมยเข้าบ้าน นายก็จะนึกทันทีว่า ตัวเองปิดประตูหรือยัง จากนั้นก็คิดและสับสนไม่หยุดสุดท้ายก็ต้องวิ่งกลับไปดูอีกรอบว่าปิดประตูดีหรือยัง นี่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยและง่ายมาก หากเป็นขั้นสูงขึ้นมาหน่อยก็คือ อาศัยพฤติกรรมและจิตสำนึกเป็นตัวชี้นำทางจิตวิทยาแต่ละครั้ง แล้วดำเนินการในอีกแง่มุมหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ถึงจะประสบผลสำเร็จแบบนี้ อย่างเช่น นายคิดว่าฉันต้มน้ำซุปหนึ่งหม้อในห้องครัวของตัวเอง และไม่กล้าดื่ม” หวังเคอยักไหล

“ตลกมากใช่ไหม ใช่แล้ว ตลกมาก แต่นายกลับเชื่อ นี่คือความตลกยิ่งกว่า แต่ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่สุด”

โจวเจ๋อเอ่ยถามว่า “นี่คือส่วนหนึ่งของการรักษาเหรอ”

หวังเคอส่ายหน้า “ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่โรค นักจิตวิทยาอย่างพวกเรา น้อยมากที่จะเรียกปัญหาทางจิตว่าเป็น ‘โรค’ นี่คือปมในใจของตัวเองต่างหาก ก็เหมือนนายทำไมถึงคิดว่าฉันถึงต้มเนื้อคน ตัวชี้นำทางจิตวิทยาแบบนี้ อันที่จริงมีมานานแล้ว อย่างเช่นภรรยาของฉัน ที่ชอบไปทำผมข้างนอกตลอด แต่ตอนที่กลับมา ทรงผมกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นายจึงรู้สึกว่าฉันมีเจตนาที่จะฆ่าเธอ เหตุผลเพราะอะไร เพราะว่าฉันถูกสวมเขา เธอมีผู้ชายคนอื่นนอกบ้าน แล้วก็สวมหมวกสีเขียวน่ารักให้ฉันหนึ่งใบ”

“น่ารัก…”

“โอเค ใช้คำบรรยายว่าน่ารักสามารถมองข้ามไปได้ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ นี่คือการบอกเป็นนัยต่อการเข้าใจผิดของนาย นายคิดว่าฉันจะต้มเนื้อภรรยาในบ้านของตัวเอง เพราะนายคิดว่าฉันรู้เรื่องนี้นานแล้ว และในความเป็นจริงฉันก็รู้เรื่องนี้นานแล้ว จากนั้นนายจึงคิดอย่างสมเหตุสมผลว่าฉันจะโกรธ โอเค ฉันโกรธจริง แต่หลังจากนั้น นายก็คิดว่าฉันคิดจะฆ่าภรรยาและเอาเนื้อของเธอมากิน เพราะว่าฉันน่าจะระบายด้วยวิธีนี้ แน่นอนว่า ในที่นี่ยังมีตัวชี้นำเสริมอย่างอื่น อย่างเช่นฐานะของฉัน งานอดิเรกที่ฉันสนใจมากที่สุดคือการต้มน้ำซุปหม้อใหญ่ในบ้าน แม้แต่ตัวเองก็กินไม่หมด สาเหตุมีเพียงอย่างเดียวคือ เติมเต็มความรู้สึกเสียใจ

ตอนที่อยู่ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าฐานะไม่ดีไม่มีเนื้อกินเท่านั้นเอง ความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดแบบนี้ ยากที่นายจะยอมรับ ส่วนสมองจึงเริ่มสร้างแนวคิดที่เป็นของนายขึ้นมาเป็นแนวคิดที่นายรู้สึกว่าสามารถอธิบายได้ชัดเจน ก็เหมือนกับที่พวกเรามักจะพูดเป็นประจำ สิ่งที่นายคิดว่าเป็น ‘ความจริง’ เหมือนกับชาวบ้านที่ ‘รอเผือก’ ในอินเทอร์เน็ตอีกมากมาย เรื่องง่ายๆ แบบนี้มักจะถูกคนฉลาดใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ สร้างกระแสและก่อนกวน ซึ่งเป็นพื้นฐานของสาเหตุนี้ ในใจของทุกคนล้วนมีเชกสเปียร์และเชอร์ล็อก โฮมส์อยู่เสมอ”

หวังเคอใช้ตะเกียบคีบเนื้อหนึ่งชิ้น จิ้มในถ้วยน้ำจิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เอาใส่ปากตัวเองหลับตาแล้วเคี้ยว

“ไม่กินจริงๆ เหรอ อร่อยมากนะ ตอนเด็กอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันจำได้ว่านายแย่งเนื้อกับฉันบ่อย”

“สุดท้ายนายก็เหลือน่องไก่ของตัวเองเอาไว้ให้ฉัน” โจวเจ๋อพูด

“ฮ่าๆ ใครสั่งให้นายอายุน้อยกว่าฉัน ใครสั่งให้ฉันเป็นพี่ชายของนายละ” หวังเคอโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “จริงๆแล้วตอนนั้น ฉันก็ชอบกินเนื้อมาก แต่กินยังไงก็ไม่เคยพอ ตอนนี้ฐานะดีแล้ว สามารถกินเนื้อได้เต็มที่ แต่ทุกครั้งหลังจากที่ตั้งใจต้มซุปหม้อใหญ่ กินได้นิดเดียวก็อิ่มแล้ว สุขภาพไม่ดีเหมือนก่อน ฉันเองก็ไม่ใช่หนุ่มวัยรุ่นแล้ว อีกอย่างหลังจากที่ทำงาน สภาพความเป็นอยู่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตอนนี้ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าตอนเด็กอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามองนายกินน่องไก่ของฉันตอนนั้น อร่อยที่สุด”

หวังเคอคีบเนื้ออีกหนึ่งชิ้น แล้วใส่ปากของตัวเอง หลังจากกินเสร็จจึงถอนหายใจหนึ่งที

โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่ออกมา ไม่พูดอะไร เขาได้แต่นั่งพิงกำแพงในห้องครัวอย่างเงียบๆ มองดูควันสีขาวลอยฟุ้งและมองดูชีวิตที่ผันผวนและการถอนหายใจของผู้ชายวัยกลางคนคนนี้

“พูดปัญหาของนายเถอะ โดยข้อเท็จจริง ปัญหาอยู่ที่ตัวของนาย พูดตามจริงนะ เมื่อก่อนตอนที่เป็นหมอสบายใจที่สุดใช่ไหม ไม่ว่างานจะมีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะเจอคนพูดจาปากกวานก้นเปรี้ยวขนาดไหน ไม่ว่าจะถูกปฏิเสธหรือกดดันยังไง เวลาที่มีคนไข้ถูกส่งมาอยู่ตรงหน้านาย ก็ต้องช่วยชีวิตคน ซึ่งถูกต้องอยู่แล้ว มันสอดคล้องกับลักษณะงานของนายมาก และสอดคล้องกับศีลธรรมจรรยาของสังคมมนุษย์ มีประโยคที่ว่าหมอมีใจรักเหมือนพ่อแม่ สามารถทำให้นายมองข้ามฐานะของคนไข้ มองข้ามนิสัยของคนไข้มองข้ามว่าคนไข้ทำอะไรมาก่อนหน้านี้ เป็นคนดีหรือคนเลว เป็นคนจนหรือคนรวย ขอเพียงถูกส่งมาอยู่ตรงหน้านายสิ่งที่นายจำเป็นต้องทำเพียงอย่างเดียว ก็คือช่วยชีวิตเขา แต่ตอนนี้ นายประสบปัญหาต่อการเลือก และในตัวเลือกเหล่านี้นายจำเป็นต้องพิจารณาสถานการณ์อีกมากมาย และระดับของปัญหา นายจำเป็นต้องย่อยด้วยตัวเอง จึงไม่เหมาะสมกับนายเป็นอย่างมาก และยังทำให้นายรู้สึกลำบากใจมากด้วย นายอยากใจแข็งเป็นตัวของตัวเอง เหมือนกับตัวละครในนิยายกำลังภายใน ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด แต่นายกลับถูกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ขัดขวางอย่างช่วยไม่ได้ ความจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ อาเจ๋อ เมื่อก่อนนาย จริงๆ แล้วอวดดีเกินไป ฉันกับนายต่างเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหมือนกัน พวกเราเคยเจอเรื่องโชคร้ายในวัยเด็ก ตอนเป็นวัยรุ่นก็เคยรู้สึกกดดันและน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ตัวเองไม่มีครอบครัว ในความเป็นจริงนั้น พวกเราสองคน อาจจะมีปัญหาทางจิตไม่มากก็น้อย นี่คือเมล็ด และวันนี้มันได้ผลิดอกออกผลบนตัวของนายแล้ว นายบอกว่านายไม่มีจิตสำนึกที่ดี แต่จริงๆ แล้วมันยังอยู่ ตัวของนายปฏิเสธมันโดยสัญชาตญาณรู้สึกเกลียดมันโดยอัตโนมัติ แต่นายไม่มีทางที่จะตัดมันทิ้งได้ ดังนั้นจิตใต้สำนึกของนาย จึงสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา มโนสำนึกถูกนายกินไปแล้ว และสามารถมองข้ามมันได้อย่างสิ้นเชิง”

“อย่างนั้นควรจะแก้ไขยังไง” โจวเจ๋อถาม

“เว้นเสียแต่ว่ามีปรมาจารย์ด้านจิตวิทยาปรากฏตัวขึ้นมาคนหนึ่ง สามารถควบคุมนายได้ ทำลายพันธนาการที่อยู่ในใจของนาย สามารถที่จะทำให้นายต่อต้านการยอมรับการสะกดจิตได้มากพอ ไม่อย่างนั้น หากอาศัยตัวนายเองค่อยๆ ฆ่ามันอย่างช้าๆ บางทีนายสามารถฆ่ามันทิ้งได้ หรือไม่มันก็จะฆ่านาย”

หวังเคอดื่มน้ำซุปอีกหนึ่งคำ รสชาติน่าจะอร่อยและสดชื่นมาก เพราะใบหน้าของเขาเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา“พี่ชายอย่างฉันฝีมือไม่พอ หรืออาจจะพูดว่า ฉันพอจะมีวิธีจัดการปัญหาทางด้านจิตวิทยาสำหรับคนทั่วไป แต่นายไม่ใช่คนทั่วไป”

โจวเจ๋อพยักหน้า “ดังนั้น ทั้งหมดนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

“นายไม่ต้องไปต่อต้านมัน ตรงกันข้ามสามารถยอมรับมันได้ ถึงขนาดมองมันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มองว่าเป็นอีกด้านหนึ่งของนาย” หวังเคอพยายามคิดหาวิธีแก้ไขให้ตัวเอง “ฉันพูดเป็นนามธรรมไปนิด นายสามารถเข้าใจได้ก็พอ หากไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ได้เหมือนกัน”

เมื่อวางชามและตะเกียบลง หวังเคอกับโจวเจ๋อจึงเดินมาที่ห้องรับแขก หวังเคอต้มน้ำชากาใหม่

ในโทรทัศน์กำลังออกอากาศข่าวท้องถิ่นในเมืองทงเฉิง และบังเอิญว่าในข่าวที่ออกอากาศมีคนที่โจวเจ๋อคุ้นหน้ามาก เป็นคนหน้าตาซื่อๆ เขากำลังร้องไห้ เขากำลังแผดเสียงพูด

แต่มีข่าวออกอากาศไปมากแล้วก่อนหน้านั้น และดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว

หวังเคอมองโจวเจ๋อที่กำลังดูข่าว แล้วอธิบายว่า “ช่วงนี้เรื่องนี้เป็นกระแสมาก ลูกชายของเขาเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว อยากจะหาลูกสาวคนที่สองของตัวเองที่ส่งไปให้คนอื่น หลังจากใช้พลังของสื่อจึงตามหาเจอในที่สุด แต่ลูกสาวคนที่สองของเขากับพ่อแม่บุญธรรมปฏิเสธการบริจาค เขากับภรรยาของเขาจึงไปหาถึงบ้าน ขวางหน้าประตูบ้าน ตะโกนด่าลูกสาวตัวเองว่าไร้น้ำใจ จากนั้นก็ยังไปติดป้ายตัวเบ้อเร่อที่โรงเรียนมัธยมปลายของลูกสาวคนที่สอง กล่าวโทษตำหนิลูกสาวคนที่สองของตัวเอง บังคับให้ลูกสาวคนที่สองของตัวเองออกมาบริจาค”

“อ้อ”

โจวเจ๋อยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วดื่มหนึ่งที

“แต่ปีนี้ มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย” หวังเคอพูดอย่างทอดถอนใจ

โจวเจ๋อมองหวังเคอ พลางเอ่ยออกมา “จริงๆ แล้วเมื่อก่อนก็มี แต่เมื่อก่อนข่าวสารอินเทอร์เน็ตไม่ได้พัฒนาเยอะขนาดนี้”

“นายหมายถึงอะไรอีก”

“เปล่า”

“อย่าดูถูกพี่ชายสิ” หวังเคอพูดอย่างจังจังทันที

โจวเจ๋อส่ายหน้า

“ทุกคน ล้วนมีจุดลำบากของตัวเอง พี่ชายเองก็ไม่อยากทำ แต่พี่ชายอย่างฉันสามารถปล่อยวางได้”

“ฉันกลับก่อนนะ ขอบใจการรักษาของนายในวันนี้”

“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันเคยพูดแล้ว ต่อไปฉันจะไม่ไปหานายอีก แต่ถ้านายมีธุระอะไรก็มาหาฉันได้ตลอดเวลา”

ภายใต้การมาส่งของหวังเคอ โจวเจ๋อเดินออกจากบ้านของเขา จากนั้นก็หันไปมองระเบียงตรงชั้นสอง สาวน้อยโลลิไม่อยู่

ใช่แล้ว

สาวน้อยโลลิเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ เธอน่าจะพาผู้หญิงไร้หน้าและยมทูตคนอื่นมุ่งหน้าไปเมืองหรงเฉิงแล้ว

เมื่อได้รถแท็กซี่แล้ว เขาเข้าไปนั่งในรถ แล้วคนขับรถหันมาถามว่า “พี่ชาย จะไปไหนครับ”

“ที่ไหนวุ่นวายที่สุดก็ไปส่งผมที่นั่น” โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นฝ่ายออกไปทำอะไรหน่อย เพื่อทำผลงาน

“ว้าว พี่ชายเป็นนักเขียนเหรอ ออกไปหาแรงบันดาลใจใช่ไหม”

“จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับ”

“โอเค ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่งจริงๆ”

คนขับรถตบหน้าอกรับประกันว่า จะช่วยโจวเจ๋อตามหาสถานที่ดีแห่งหนึ่ง และที่นั่นก็ดูอัปมงคลเป็นอย่างมากคนทั่วไปตอนเย็นจะไม่กล้าผ่านแถวนั้น

จากนั้น คนขับรถก็พาโจวเจ๋อมาส่งที่หน้าประตู ‘ร้านหนังสือยามวิกาล’

นกกาน่าหมั่นไส้ตัวนั้นปรากฏออกมาอีกครั้ง ร้อง ‘กาๆๆ’ บินผ่านกลางอากาศอย่างช้าๆ มันเหมือนจะถนัดมากบินออกมายามที่ต้องการมันจริงๆ

สายลมอ่อนพัดใบไม้ร่วง ตอนที่เท้าของโจวเจ๋อแตะถึงพื้น เสียง ‘ใบไม้ร่วง’ ก็ดังขึ้น

โจวเจ๋อหันไปมองรถแท็กซี่ที่แล่นออกไปไกลแล้ว

ทันใดนั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องรีบปรึกษาเรื่องย้ายร้านกับสวี่ชิงหล่างแล้ว

เมื่อผลักประตูห้องนอน หวังเคอเดินเข้าไปในห้อง ภรรยาของเขากำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง เมื่อเห็นสามีของตัวเองเดินเข้ามา เธอจึงเปลี่ยนท่าเป็นมีเสน่ห์เย้ายวนชวนมอง

“เขากลับไปแล้วเหรอคะ”

“อืม กลับไปแล้ว” หวังเคอหัวเราะเล็กน้อยแล้วนั่งลงข้างเตียง จากนั้นก็ยื่นมือไปลูบแก้มของภรรยาแล้วเอ่ย

“อายุมากแล้ว เนื้อมันแข็งเกินไป ติดฟัน”

ขณะที่พูด หวังเคอได้เหยียดนิ้วแคะเศษเนื้อที่ติดตามซอกฟันออกมา

“ไม่ต้องลดน้ำหนักแล้ว”

…………………………………………………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด